เมื่อคนลากรถรู้ว่าพวกเธอจะไปที่ไหนเขาถึงกับตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่แต่งตัวดูดีอย่างซูเหยาจะไปเยือนสถานที่แบบนั้น แต่ในเมื่อเขาจ้างและจ่ายเงิน คนลากก็มีหน้าที่คือพาไป
ซูเหยาที่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าของตนแล้ว ในยามนี้กลับเป็นสาวเปรี้ยวยุคหกศูนย์ไปเสียแล้ว ชนิดที่ว่ารับรองไม่มีใครสามารถทำตามเธอได้แน่นอน
เมื่อลงจากรถลาก มู่อันก็ไปเดินข้างซือซิง ซูเหยาซึ่งได้ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิง ได้ก้าวเดินนำหน้าคนทั้งสองอย่างมุ่งมั่นไปข้างหน้า โดยที่ไม่สนใจสายตาของคนที่มองทางเธอเลยสักคน
สายตาที่มองมาที่เธอมีทั้งหญิงและชาย ผู้ชายบางคนมองด้วยสายตาหยาบโลน ส่วนผู้หญิงก็มองมาอย่างอิจฉา บางคนมองด้วยความสงสัย
ซือซิงและมู่อันที่เห็นท่าทางการเดินของพี่สะใภ้ พวกเขาก็อดที่จะก้มมองตัวเองไม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงได้ทำตัวขี้ขลาดแบบนี้กัน
“พี่มู่อัน ฉันต้องการเป็นอย่างพี่สะใภ้ ที่เดินอย่างไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด” ซือซิงพูดกับสามีออกมาด้วยความมุ่งมั่น
มู่อันเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงสูดเอาลมเข้าปอดของตัวเองลึกๆ เพื่อเ
“พี่สะใภ้ระวัง/พี่สะใภ้หลบ” เสียงที่ดังขึ้นสองเสียงเป็นเสียงของซือซิงและมู่อัน ส่วนเด็กน้อยเขาถึงกับตกใจยืนตัวแข็ง “น้านางฟ้า” เด็กน้อยตะโกนเสียงดังตุ๊บ!! “โอ้ย” แต่ใครจะคาดคิดกันล่ะว่า เสียงที่ร้องด้วยความเจ็บปวดที่กองอยู่กับพื้นจะเป็นของชายอ้วนซูเหยายืนปัดมือของตนไปมา พรางมองชายอ้วนด้วยสายตาแห่งความเย็นชาและสมเพช“อยากเจ็บตัวอีกไหม ถ้าอยากก็เข้ามา” ซูเหยาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวชายอ้วนเขารู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขาจำได้แค่ว่าเขาพุ่งตัววิ่งเข้าหาผู้หญิงคนนี้ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพกลับหัว แล้วเขาก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น“พวกเรารีบไปทำธุระกันต่อเถอะ” ซูเหยาพูดกับพวกของตนแล้วก็เดินไปจูงมือเด็กน้อยให้ก้าวไปด้านหน้าด้วยกันโดยไม่สนใจชายอ้วนที่นั่งกองอยู่กับพื้นอีกต่อไป เพราะมันเสียเวลาหาเงินของเธอ ทุกการกระทำของซูเหยาได้ถูกมองเห็นจากใครบางคนด้วยดวงตาพราวระยับอย่างถูกใจ“ภรรยาคุณรู้จักหล่อนหรือครับ” จ้าวเจียงถามภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“หล่อ
“พี่สะใภ้คะ ฉันถามพี่ได้ไหม ว่าชุดแบบไหนกันที่ยอมให้นายหญิงเซียงถึงกับยอมจ่ายตั้งหนึ่งพันหยวน แบบไม่ต่อรองกับพี่เลยสักคำ” ซือซิงถามกับซูเหยาด้วยความอยากรู้ เมื่อพวกเขาทั้งสี่ได้กลับมาถึงบ้านแล้ว“เอาไปดูสิ เธอคิดว่าเย็บได้หรือเปล่า” ซูเหยาส่งแบบชุดนอนไม่ได้นอนให้กับซือซิงทันทีอย่างไม่คิดอะไรแปะ แปะ “มู่อัน” ซูเหยาตะโกนขึ้นเสียงดังเมื่อเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง“ครับพี่สะใภ้” มู่อันที่ยังคงไม่รู้สึกตัวขานรับซูเหยา“ละ..เลือด” ซูเหยาพูดได้คำเดียว พร้อมชี้นิ้วของตนไปยังเลือดที่ไหลออกจากจมูกของมู่อัน“ตายแล้ว” ซือซิงที่ตกตะลึงกับสมุดภาพที่ซูเหยาส่งมาให้ร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเธอเห็นว่ามีหยดเลือดมากมายหยดใส่ภาพในหนังสือเล่มนี้“ผะ...ผมเลือดออกได้ยังไงกัน” มู่อันที่เริ่มรู้สึกตัวเอามือของตนป้ายที่จมูกตามที่ซูเหยาชี้ ก็เห็นว่ามีเลือดมากมายออกจากรูจมูกของเขา‘โอ้ยพ่อหนุ่มน้อยเห็นภาพแบบนี้เลือดกำเดาไหลแล้ว และอย่างนี้จะทำลูกได้ยังไงกัน’ ซูเหยาค
เด็กๆ ของตนต่อไป โดยไม่สนใจพ่ออย่างมู่หานเลยสักนิดแม้แต่หางตาก็ไม่แลมอง“ภรรยาครับ เหมือนผมจะถูกเด็กๆ เมิน” มู่หานทำตาละห้อยหันไปพูดกับซูเหยาเสียงอ่อย“..” ซูเหยาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับผู้ชายตัวโตยังไงดี“เฉินน้อยหนูรู้อายุตัวเองไหมคะ” ซูเหยาถามกับเด็กชายตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ต้นปีหน้าผมจะเจ็ดขวบครับ” เฉินน้อยตอบคำถามหลังจากนับนิ้วมือของตนตามที่แม่เคยสอน“ถ้าอย่างนั้นหนูเป็นพี่ชายคนโตนะคะ ส่วนเสี่ยวเฟยจะเป็นพี่รอง และเสี่ยวผิงก็เป็นน้องสามตกลงไหมจ๊ะ” ซูเหยาพูดพร้อมกับเอามือเรียวของตนลูบหัวเด็กน้อยไปทีละคนอย่างรักใคร่“ครับ /ค่ะ” เด็กทั้งสามตอบรับขึ้นพร้อมกัน“มู่หานคะ พรุ่งนี้คุณไปที่บ้านลุงผู้ใหญ่กับฉันก็แล้วกัน เราจะได้จัดการเรื่องรับเสี่ยวเฉินเป็นลูกบุญธรรมให้เรียบร้อย” เมื่อจัดการถามเด็กๆ เรียบร้อย ซูเหยาก็หันไปบอกกับสามีที่นั่งเหมือนไร้การสนใจต่อทันที“ครับ ภรรยาว่ายังไงผมก็ว่าตามนั่นแหละครับ” มู่หานตอบรับภรรยาอย่างเชื่อฟั
“ว่าแต่พวกเธอมาทำไมกันอย่างนั้นหรือ แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกัน” ฉีอันถามขึ้นกับผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วได้ถามถึงเด็กน้อยเสี่ยวเฉินด้วยซูเหยากับมู่หานจึงได้สลับกันเล่าเรื่องราวของเด็กน้อยที่พวกเธอสองคนต้องการจะรับเป็นลูกออกมา“โชคดีของเด็กคนนี้นะ ที่จะได้มาอยู่กับครอบครัวพวกเธอ ยุคนี้ใครๆ ต่างก็รัดเข็มขัดกันทั้งนั้น เรื่องเอกสารพวกเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการให้วันนี้เลย” ฉีอันพูดออกมาจากใจ“เจ้าหนูต่อไปก็ต้องกตัญญูกับพ่อแม่ให้มากนะรู้ไหม อย่าทำตัวเกเรล่ะ” ฉีอันเมื่อพูดกับผู้ใหญ่จบเขาก็บ่ายหน้าไปพูดกับเด็กน้อยที่มองมาทางเขาตาแป๋ว“ครับ” เด็กน้อยรับครับเสียงดังการดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ ก็ผ่านไป ซูเหยาก็ได้กลับมายังบ้านของตน เพื่อแบ่งงานให้กับซือซิงและพี่สะใภ้ทั้งสองซูเหยาตั้งใจที่จะสอนการแต่งหน้าทำผมให้กับพี่สะใภ้ เพราะเธอคิดว่าทุกคนจะได้มีงานทำโดยไม่ต้องแย่งงานกันเองส่วนเธอก็คอยเป็นผู้ชักจูง (ไม่ใช่สิคอยเป็นผู้แนะนำอยู่เบื้องหลังก็แล้วกัน) อะไรที่ต้องลงมือทำเองเหยาไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก เธอขอแ
ส่วนนายพลมาเฟียยังถือว่าโชคดีอยู่มากเพราะเป็นทหาร แต่เขาก็แค่ใช้ชีวิตและอำนาจไม่ถนัดเหมือนกับตอนนี้เพียงเท่านั้นด้วยเหตุนี้เขาจึงได้กลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งตลาดมืดยังไงล่ะ เอ๊ะจะว่าไปตลาดมืดที่นิยายกล่าวถึงก็คือตรอกผิงจูสองนี่ ซูเหยาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกของบ้านหลังนี้โดยไม่รู้ตัว“พวกคุณเชิญนั่งรอก่อนนะคะ ฉันขอไปตามคุณนายน้อยก่อน” แม่บ้านสูงวัยกล่าว“คุณคิดว่าทั้งสามเป็นยังไงคะ” ซิวหลานถามสามีที่มองไปยังคนทั้งสามอย่างทำการวิเคราะห์ให้ถึงเนื้อใน จากชั้นสองของตัวบ้าน“ดูดีกว่าทุกคนที่เคยเข้ามาในบ้านหลังนี้ ผู้หญิงที่เดินนำหน้ามีความมั่นใจ ไม่สนใจสิ่งรอบด้าน ไม่มีความโลภยามมองเห็นบ้านหลังใหญ่แบบนี้ส่วนผู้หญิงอีกสองคนแม้จะมีสีหน้าตกใจในตอนแรก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา จากนั้นก็เดินก้าวตามผู้หญิงที่คุณรู้จักเหมือนกับยกให้เธอเป็นผู้นำซึ่งผมเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมดาของคนในชนบททั่วไป แต่เพื่อนของคุณแม้บ้านจะอยู่เกือบถึงอำเภอแต่ก็ไม
ซูเหยาผู้ที่นอนกอดอยู่กับลูกน้อยของตนในเวลานี้ ไม่ได้รับรู้เลยว่าตนเองกำลังจะมีงานและเงินเข้ามาหาอย่างรัวๆเช้าวันต่อมาหลังจากที่ทุกชีวิตของคนบ้านซูขายอาหารเช้าดั่งเช่นทุกวันหมดลงแล้ว ต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ผู้ชายก็ไปสร้างบ้านกันตามเดิมโดยมีหว่านชิงเป็นคนไปทำหน้าที่ทำกับข้าวและคอยดูแลเด็กๆ ช่วยมู่จาง ที่ตอนนี้เริ่มมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับเนื่องจากซูเหยาได้นำของบำรุงออกมาให้กินหนึ่งในนั้นมีเห็ดหลินจือที่เธอยังไม่ได้เอาไปขายรวมอยู่ด้วย เนื่องจากซูเหยาคิดว่าจะรอไปอีกสักพัก โดยอ้างอิงตามเนื้อเรื่องเดิมจะมีคนใหญ่คนโตมีอาการเจ็บป่วยและต้องการเห็ดชนิดนี้และผู้ที่นำเห็ดหลินจือไปขายก็คือนางเอกของเรื่องที่เป็นคนเก็บเห็ดได้ด้วยความบังเอิญ เมื่อได้มาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้นั่นเอง“แม่ครับ/คะ หอมพวกหนูด้วยค่ะ/ครับ” เจ้าลูกชิ้นทั้งสามได้พากันเดินมาหาซูเหยา ในขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พร้อมกับจับมือของเธอซูเหยาจึงได้ก้มหน้าของตัวเองลง และก็ได้เห็นเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ที่เงยหน้าขึ้นมองมาที่เธอ ดวงตาสื่อประกายเต็มไปด้วยควา
“เธอเรียกฉันป้าเซี่ยก็ได้จ้ะ ฉันมีชื่อว่าเซี่ยฟางเซียน พวกเธอมีชื่อว่าอะไรกันบ้างอย่างนั้นหรือ” ฟางเซียนแนะนำตัวหลังจากที่เชิญพวกซูเหยานั่งเรียบร้อยแล้ว“หนูชื่อซูเหยา คนนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่ของฉันค่ะ ชื่อฟางหรงไม่มีแซ่ ส่วนคนนี้พี่สะใภ้รองค่ะ ชื่อลี่มี่” ซูเหยากล่าวแนะนำพร้อมกับแนะนำพี่สะใภ้ทั้งสอง“สวัสดีน้องเหยา ขอโทษที่ให้รอนะ” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของอันหลินทักทายซูเหยาอย่างสนิทสนม“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันก็เพิ่งจะมาถึง” ซูเหยากล่าวกับอันหลินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“น้องเหยาแล้วสองคนนี้คือใครอย่างนั้นเหรอ” อันหลินกระซิบถามกลับซูเหยาเมื่อเธอนั่งลงแล้วซูเหยาจึงได้แนะนำพี่สะใภ้ทั้งสองให้กับอันหลิงได้รู้จัก แล้วยังกระซิบบอกอีกว่าเธอพาพี่สะใภ้ของตนมาทำอะไร“จริงอย่างนั้นเหรอ แต่กว่าพี่จะไปงานดูตัวก็ตั้งอีกสองวันเลยนะ” อันหลินพูดขึ้นด้วยความเสียดาย“นับจากพรุ่งนี้พี่ก็หัดแต่งหน้าและลองทำผมตามแบบที่ฉันทิ้งไว้ก่อนสิคะ หากไม่ได้จริงๆ พี่ก็ไปหาฉันที่บ้านในวันที่จะ
ฟางหรงและลี่มี่เมื่อได้รับเงินจากการแบ่งให้ของซูเหยาในวันนี้ พวกเธอถึงกับมือไม้สั่นน้ำตาคลอหน่วยเพราะพวกเธอไม่คิดว่าวันนี้ตนจะได้จับเงินถึงห้าร้อยหยวนในวันเดียวจะมีจริง และไม่ใช่แค่สองสาวนี้เท่านั้นที่รู้สึกตื้นตันกับเงินที่ได้รับเนื่องจากเช้าวันต่อมาซูเหยาก็นำเงินค่าชุดที่ได้ทั้งสองวันไปแบ่งให้กับซือซิงที่ก้มหน้าก้มตาเย็บชุดให้กับนายหญิงเซียงด้วย“พี่สะใภ้คะ นี่มันไม่มากเกินไปหรอกหรือ พี่คิดเงินให้ฉันผิดหรือเปล่า พี่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเอาเปรียบพี่ไม่ได้นะคะ” ซือซิงเมื่อได้รับเงินที่ซูเหยามอบให้ เธอถึงกับต้องถามย้ำเพื่อให้เกิดความแน่ใจอีกครั้ง“ไม่ผิดหรอกเงินพวกนี้เป็นของเธอจริงๆ เธอเป็นคนเย็บเสื้อผ้าพวกนั้น รายได้เท่านี้ก็สมควรแล้วว่าแต่ชุดของนายหญิงเซียงเธอเย็บเสร็จหรือยัง” ซูเหยาตอบกลับซือซิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงถามออกมา“เสร็จแล้วค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้พี่เรียบร้อยแล้ว” ซือซิงตอบคำถามซูเหยาเสียงตื่น เมื่อเธอได้รับการยืนยันจากซูเหยาว่าเงินที่อยู่ในมือหนึ่งพันหยวนนี้เป็นของตนเองจริงๆ&ldquo
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ