ฟางหรงและลี่มี่เมื่อได้รับเงินจากการแบ่งให้ของซูเหยาในวันนี้ พวกเธอถึงกับมือไม้สั่นน้ำตาคลอหน่วย
เพราะพวกเธอไม่คิดว่าวันนี้ตนจะได้จับเงินถึงห้าร้อยหยวนในวันเดียวจะมีจริง และไม่ใช่แค่สองสาวนี้เท่านั้นที่รู้สึกตื้นตันกับเงินที่ได้รับ
เนื่องจากเช้าวันต่อมาซูเหยาก็นำเงินค่าชุดที่ได้ทั้งสองวันไปแบ่งให้กับซือซิงที่ก้มหน้าก้มตาเย็บชุดให้กับนายหญิงเซียงด้วย
“พี่สะใภ้คะ นี่มันไม่มากเกินไปหรอกหรือ พี่คิดเงินให้ฉันผิดหรือเปล่า พี่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเอาเปรียบพี่ไม่ได้นะคะ” ซือซิงเมื่อได้รับเงินที่ซูเหยามอบให้ เธอถึงกับต้องถามย้ำเพื่อให้เกิดความแน่ใจอีกครั้ง
“ไม่ผิดหรอกเงินพวกนี้เป็นของเธอจริงๆ เธอเป็นคนเย็บเสื้อผ้าพวกนั้น รายได้เท่านี้ก็สมควรแล้ว
ว่าแต่ชุดของนายหญิงเซียงเธอเย็บเสร็จหรือยัง” ซูเหยาตอบกลับซือซิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงถามออกมา
“เสร็จแล้วค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้พี่เรียบร้อยแล้ว” ซือซิงตอบคำถามซูเหยาเสียงตื่น เมื่อเธอได้รับการยืนยันจากซูเหยาว่าเงินที่อยู่ในมือหนึ่งพันหยวนนี้เป็นของตนเองจริงๆ
&ldquo
ตอนนี้ซูเหยาได้มาเยือนหอไม้แดงอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ซึ่งผิดกับพี่สะใภ้ทั้งสองคน ที่เมื่อรู้ว่าน้องสามีพามาที่ไหนพวกเธอถึงกับเหงื่อตกหน้าเปลี่ยนสี“ชุดแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะทำออกมาได้ดีแบบนี้ ฉันจะลองเอาไปให้เด็กๆ ลองใส่ได้เลยไหม” นายหญิงเซียงถามขึ้นเมื่อเธอได้หยิบชุดที่ว่าขึ้นมาดูฟางหรงและลี่มี่ที่เพิ่งเห็นชุดที่ซูเหยานำมาส่ง เธอสองคนถึงกับหน้าแดงหูแดงกันทีเดียวพร้อมคิดว่ามันไม่น่าจะเรียกว่าชุดได้เลย มันน้อยชิ้นและบางมาก ปกปิดอะไรก็ไม่ได้ ทั้งสองจึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมซูเหยาถึงต้องให้ซือซิงเย็บคนเดียวแล้วก็เก็บเป็นความลับถ้ามีคนเห็นชุดแบบนี้แล้วรู้ว่ามาจากซูเหยาแล้วล่ะก็ รับรองว่าได้โดนคำครหามากมายอย่างแน่นอน“นายหญิงเซียงคะ นี่เป็นพี่สะใภ้ของฉันทั้งสองคน ที่จะมาช่วยสาธิตการแต่งหน้าและทำผมให้ดูในวันนี้ซึ่งครั้งแรกนี้ฉันจะทำให้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายนะคะ พร้อมกับแถมวิธีการแต่งหน้าและทำผมให้สามแบบครั้งต่อไปถ้าอยากจะให้แต่งหน้าหรือทำผมให้ ฉันคิดต่อคนครั้งละห้าสิบหยวน ส่วนเครื่องสำอางสาม
นับตั้งแต่ที่ซูเหยาทำการค้ากับขาทองคำในเรื่องตามที่นิยายได้กล่าวไว้ ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่สี่แล้ว เวลาในตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะเกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนแผ่นดินที่เธออยู่ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน บ้านช่องของผู้ที่อยู่ในชนชั้นศักดินา ซูเหยาเองก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเช่นกันแต่เธอก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอกดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ก็คือเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองและครอบครัวให้ได้มากที่สุด วันนี้เป็นวันที่เธอได้มาเยือนบ้านของลาสบอสเพื่อส่งชุดของฤดูใบไม้ผลิให้ภรรยาของบอสซูเหยาเคาะประตูอยู่ไม่นานก็ได้มีคนมาเปิดประตู เธอกับพี่สะใภ้ทั้งสองที่มักจะทำงานด้านนอกด้วยกันตลอดก็พากันเดินเข้าไปซูเหยารู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นว่าข้าวของมีค่าภายในบ้านหลังนี้ดูเหมือนจะหายไปพอสมควร ‘ใกล้แล้วสินะเหตุการณ์วิปโยค’ ซูเหยาคิดหากอ้างอิงตามนิยายเดิม เนื้อเรื่องจะให้ขาทองคำทั้งหลายรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในกลางเดือนหน้า“เชิญคุณซูเหยาและพี่สะใ
นายหญิงเซียงก็รู้สึกงุนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่ซูเหยากล่าว เธอจึงได้ปล่อยผ่านไป คล้อยหลังซูเหยาไปไม่นานเธอจึงได้สั่งให้เด็กๆ เก็บของ ตามที่ผู้เป็นเจ้าของหอตัวจริงได้สั่งเอาไว้“วันนี้พวกเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ” ซูเหยากล่าวกับพี่สะใภ้ทั้งสองเมื่อออกมาจากหอแห่งนี้เมื่อคนทั้งสามกลับมาถึงบ้านซูในตอนเย็น ทั้งสามคนก็ช่วยกันทำอาหารเย็นรอคนที่บ้านกลับมาเหมือนทุกวันกิจวัตรประจำของคนในบ้านซูช่วงนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่เหมือนเดิม ตอนเช้าไปหมู่บ้านตงไห่ ตอนเย็นกลับบ้านซูที่อยู่ในเมือง“แม่คะ/ครับพวกเรากลับมาแล้ว” เสียงเล็กๆ ของเจ้าลูกชิ้นน้อยสามลูก พากันเดินเร็วๆ เข้ามาหาเธอที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว“ไปล้างมือล้างเท้ากันมาหรือยังคะ” เสียงซูเหยาที่ผละออกจากหม้อที่อยู่บนเตา หันมามองลูกชิ้นขาวอวบที่พากันมองมาที่เธอตาแป๋ว“เรียบร้อยแล้วครับ/ค่ะ” เสียงเด็กน้อยตอบรับประสานเสียงพร้อมกันซูเหยากับพี่สะใภ้ทั้งสองถึงกับยิ้มให้กับความน่ารักของเด็กน้อยทั้งสาม ที่นับวันไม่หลงเหลือเคร้าโ
เช้าวันต่อมาคนในครอบครัวซูก็บอกลาบ้านหลังที่พวกเขาได้อยู่กันมาหลายปี โดยซูเหยาแนะนำให้คนในครอบครัวปิดบ้านที่ว่างเปล่า โดยเฉพาะหน้าต่างเอาไว้ให้แน่นหนายกเว้นประตูทางเข้าห้องโถงหลักของบ้าน เนื่องจากเธอต้องการให้ปิดไว้โดยไม่ต้องล็อค เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงพวกที่เข้ามาโดยมีเจตนามุ่งร้าย จะได้ไม่ทุบทำลายบ้านให้เสียหายมากนักเมื่อพวกเขาเปิดประตูแล้วมีแต่ห้องโล่งๆ เธอคิดว่ามันน่าจะออกไปโดยที่ไม่สนใจอะไรอีก ส่วนประตูหน้าบ้านหลักเธอก็ตั้งใจทำเช่นเดียวกัน“ลูกแน่ใจว่าจะไม่ล็อคจริงๆ ใช่ไหม” ซูป๋อถามย้ำกับลูกสาวเมื่อทุกคนออกมายืนอยู่หน้าบ้านในตอนนี้“ค่ะ พอเหตุการณ์ต่างๆ เข้าที่เข้าทางเราค่อยกลับมาดู ถ้าหากเราล็อคคนพวกนั้นอาจจะทุบทำลายประตูบ้านเราเสียหายได้” ซูเหยาพูดออกมาอย่างหนักแน่นซูป๋อเมื่อได้ยินร่างเทพจำแลง (พ่อและครอบครัวเชื่อกันแบบนี้) พูดเขาก็ยินดีทำตามโดยไร้ข้อโต้แย้งคนบ้านซูทั้งหมดจึงได้เดินเท้าออกมาจ้างเกวียนที่สามารถบรรทุกสิ่งของพอให้ชาวบ้านได้เห็นนิดหน่อยว่าพวกเขาไม่ได้มาตัวเปล่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา
ทางซูเหยาหลังจากที่เธอบอกกับครอบครัวแล้ว เธอจึงได้เดินเข้าบ้านหลังแรกที่เป็นบ้านของเฉินหลงพี่ชายใหญ่ของตนก่อนซูเหยาได้มองซ้ายมองขวาอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะนำสิ่งของที่อยู่ในมิติออกมาวางให้เข้าที่เข้าทางกับบ้านหลังนี้เธอใช้เวลาอยู่ไม่นานจึงได้เดินไปบ้านหลังถัดไปซึ่งเป็นบ้านของพี่รอง และเธอก็ได้ทำแบบเดียวกันจนกระทั่งมาถึงบ้านของพ่อแม่คนในครอบครัวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างเฝ้ามองการกระทำของเธอด้วยความงุนงง และในที่สุดการเฝ้ามองก็สิ้นสุดลง เมื่อซูเหยาเดินออกมาสมทบกับพวกเขาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านทั้งห้าหลัง“ทุกคนเข้าไปในบ้านของตัวเองกันได้แล้วค่ะ ถ้ามีอะไรไม่ถูกใจหรืออยากได้อะไรเพิ่ม ก็มาบอกฉันได้นะคะ” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างกำกวมคนทั้งหมดในครอบครัวต่างก็ไม่รอช้า เมื่อสิ้นเสียงของซูเหยาพวกเขาก็พากันแยกไปยังบ้านของตนกันอย่างรวดเร็วซูเหยาที่เห็นท่าทางเร่งรีบของคนในบ้าน เธอก็ถึงกับยิ้มออกมา “มู่หานคะ คุณอยู่กับเด็กๆ ที่ลานหน้าบ้านสักครู่นะคะ” ซูเหยาบอกกับมู่หาน ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในบ้านของครอบครัวตัวเองซูเหยาได้เข้
ช่วงนี้คนในบ้านซูทั้งสามหลังและบ้านมู่อีกสองก็ใช้ชีวิตกันด้วยความสงบสุข เก็บตัวเงียบไม่ออกไปวุ่นวายกับใคร พวกเขาทำเหมือนเป็นคนไร้ตัวตนก็ว่าได้“พี่สะใภ้คะ ใส่ของเหลวที่พี่บอกลงในพิมพ์แบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันทำถูกหรือเปล่า” ซือซิงถามซูเหยาในขณะที่เธอได้เทของเหลวที่พี่สะใภ้บอกลงในพิมพ์สี่เหลี่ยม“ใช่ทำอย่างนั้นแหละถูกต้องแล้ว” ซูเหยาหันหน้าไปมองตามเสียงเรียกแล้วจึงตอบกลับไป“น้องสามี พี่ใส่กลิ่นลงไปเท่านี้พอไหมจ๊ะ” ฟางหรงเองก็ถามซูเหยาที่กำลังกวนบางสิ่งที่อยู่บนเตาขึ้นมาบ้าง“พอแล้วค่ะ กลิ่นหอมลอยมาถึงนี่แล้ว” ซูเหยาที่ละสายตาจากหม้อที่อยู่บนเตาด้านหน้าตัวเองหันไปตอบ“เสี่ยวเหยา ดอกไม้แห้งพวกนี้ลูกจะใส่ลงไปตามสีและกลิ่นเลยใช่ไหม” หลวนชิงถามย้ำกับลูกสาวขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดความแน่ใจ หลังจากที่ลูกสาวเคยบอกตนไปแล้วหนึ่งครั้ง“ถูกแล้วครับคุณยาย ผมจำได้” เสียงเจ้าลูกชิ้นลูกใหญ่ที่ช่วยยายของตนแยกกลีบดอกไม้ตามชนิดพูดขึ้น“โอ้หลานยายช่างเก่งกาจ” หลวนชิงเองก็ไม่หว
ที่เขาไม่เชื่อเพราะว่าเขาไม่คิดว่าจะเกิดการล้มล้างทางด้านการศึกษาด้วย หากไม่มีการศึกษาประชาชนจะอ่านออกเขียนได้ยังไงกัน ประเทศจะไม่ย่ำแย่กว่านี้อย่างนั้นเหรอเขาที่ชะล่าใจจึงได้ทำให้ครอบครัวของตนพลอยลำบากไปด้วย แต่อย่างน้อยที่เขาก็ยังคงเหลือทางรอดเอาไว้ให้กับตัวเองและครอบครัวก็คือฉีอันเพื่อนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาก่อนช่วงหนึ่ง ก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่เมืองหลวงแห่งนี้เขาหวังว่าฉีอันน่าจะเตรียมที่ทางเอาไว้ให้เขาตามที่เขาได้ฝากจดหมายไป หมิงป๋อเหวินคิดขึ้นในตอนนี้ เมื่อเขาได้อยู่ตามลำพังในระหว่างที่เขากำลังคิดหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองอยู่นั้น ก็ได้มียุวชนแดงได้เดินเข้ามาหาเขาที่นั่งอยู่ในบ้านด้วยท่าทีสงบ“พวกผมได้รับคำสั่งให้มาเชิญคุณ โปรดไปกับพวกเราแต่โดยดี หากขัดขืนอย่าหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ” เสียงหัวหน้าของยุวชนแดงกล่าวขึ้นเสียงเหี้ยม“หัวหน้าในบ้านไม่มีคนอื่นอีกแล้วครับ” เสียงของยุวชนแดงนายหนึ่งรายงานกับหัวหน้าของตน“คุณนี่ก็เป็นนกรู้เหมือนกันนะ แต่ก็ช่างเถอะ หัวหน้าใหญ่ของพวกเราต้องการตัวคุณเพียงเท
รถเกวียนที่บรรทุกคนแปลกหน้าทั้งสี่คนได้มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่หมู่บ้านตงไห่ที่คนขับเกวียนได้เดินทางเข้ามาค่อนข้างบ่อยจึงได้คุ้นเคยโดยที่ไม่ต้องถามกับใครหลังจากที่ผู้ใหญ่สามเด็กชายหนึ่งได้ลงจากเกวียนพวกเขาก็ยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของฉีอันอย่างเคว้งคว้างและไม่กล้าเรียกคนที่อยู่ด้านในคนขับเกวียนที่เห็นท่าทางของคนทั้งสี่แบบนี้เขาก็รู้สึกสงสาร จึงได้เดินลงมาจากเกวียนแล้วเดินไปที่หน้าบ้านของฉีอัน“มาแล้วๆ” ฉีอันได้เดินออกมาหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนดังขึ้น“ขอบคุณนะคะ/ครับ” คนทั้งสี่ได้กล่าวขอบคุณพร้อมกับก้มหัวให้แก่คนขับเกวียนด้วยความซาบซึ้งใจ“ไม่เป็นไรไม่ต้องเกรงใจ ผมไปก่อนนะ ขอให้พวกคุณโชคดี” ชายขับเกวียนกล่าวอวยพรหลังจากนั้นเขาก็ได้บังคับวัวของตนออกจากหมู่บ้านแห่งนี้“สวัสดีครับ/คะ ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่บ้านของที่นี่อยู่หรือเปล่าครับ” เสียงแหบแห้งของชายวัยชราเป็นคนถามขึ้นมาเมื่อ ฉีอันเปิดประตูบ้านแล้ว“ผมนี่แหละครับเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ พวกคุณเป็นใคร
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ