กลางดึกคืนนั้นเด็กๆ ทั้งสี่คนของสองบ้านก็เป็นไข้ตามที่ ซูเหยาคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทางบ้านหมิงนั้นยังไม่ลำบากเท่าไหร่นัก เพราะตงหยางเป็นเด็กที่โตพอจะบอกว่าตัวเองเป็นอย่างไรได้
ซึ่งแตกต่างจากบ้านของมู่หานในเวลานี้ ที่มู่หานและซูเหยาได้ตัดสินใจนำลูกๆ เข้ามานอนอยู่ในห้องนอนของซูเหยา
โดยที่คนทั้งสองต่างสลับกันดูแลเด็กสามคนกันตลอดเวลาจนไม่ได้หลับได้นอน จนกระทั่งคนทั้งคู่ต่างก็ผล็อยหลับไปในช่วงเวลาใกล้เช้าของอีกวัน
“อาเหยา ลูกเขยเปิดประตูให้แม่ที” เสียงตะโกนจากหว่านชิงดังขึ้นหน้าบ้านของมู่หาน เมื่อเธอเห็นว่าสายแล้วแต่ภายในบ้านของลูกสาวยังไร้การเคลื่อนไหวซึ่งค่อนข้างจะผิดปกติ
สามพี่น้องที่ตอนนี้ไข้ลดลงและมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ได้ลืมตาตื่นขึ้นกันทั้งสามคนเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงยายตะโกนเรียกจากหน้าบ้าน
“พี่ใหญ่ เสียงคุณยาย” เจ้ารองที่ลืมตาลุกนั่งขัดสมาธิหันไปมองรอบๆ แล้วสายตาก็สบเข้ากับพี่ชายคนโตที่กำลังมองมาทางตน
“พี่ใหญ่ พี่รองเบาๆ ค่ะ พ่อ แม่หลับอยู่” เสียงเจ้าตัวเล็กของบ้านส่งเสียงบอกพี่ชายเสี
เจ้าลูกชิ้นตัวกลมทั้งสองคน ยกเว้นเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักหว่านชิงอยู่แล้ว ต่างเดินเข้ามาหายายอย่างเชื่อฟัง“ตัวเย็นกันหมดแล้วนี่ แสดงว่าน่าจะหายกันดีแล้ว” หว่านชิงพูดขึ้น ตอนนี้เองท้องของเด็กๆ ตัวน้อยก็ได้ร้องขึ้น เมื่อพวกเขาได้กลิ่นหอมๆ ที่ลอยออกมาจากในครัว“ใครทำอาหารหรือคะ” ซูเหยาถามแม่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน“พี่สะใภ้ทั้งสองของลูกกับอาซิงยังไงล่ะ แม่กลัวว่าพวกเด็กๆจะหิว และก็ไม่รู้ว่าลูกจะตื่นเมื่อไหร่ ก็เลยให้ทั้งสามคนไปช่วยกันทำอาหารในครัว” หว่านชิงตอบ“มู่หานวันนี้คุณจะหยุดก็ได้นะคะ หลังจากกินข้าวเสร็จฉันว่าคุณไปนอนต่อสักหน่อยดีกว่า เด็กๆ ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรแล้ว” ซูเหยาพูดกับสามีเมื่อเธอเห็นตาที่ปรือๆ ของเขา“ครับ” มู่หานเองก็รับคำโดยไม่อิดออด เพราะตอนนี้เขารู้สึกง่วงมากจริงๆหลังจากที่ครอบครัวของซูเหยากินข้าวเช้าเสร็จ มู่หานก็แยกตัวไปนอน ซูเหยาที่เห็นว่าเด็กๆ น่าจะอาการดีแล้วแต่เธอยังไม่วางใจมากนัก จึงให้ลูกๆ กินยาแล้วก็พาไปนอนที่ห้องของตนก่อนที่เธอจะออกมาหาแม่ และพี่ส
เรื่องของสถานการณ์ความวุ่นวายภายในเมือง ไม่ได้มาถึงหูของซูเหยาที่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติของตนกับครอบครัวหากเธอได้รู้ว่าสถานที่แห่งนั้นอาจเปิดได้เร็วมากกว่าที่คิดเธอคงจะดีใจมากอย่างแน่นอน มู่หานที่ได้นอนพักเต็มที่เขาก็เริ่มรู้สึกมีแรงมากขึ้น“ภรรยาครับ คุณต้องการที่วางสบู่เพิ่มไหมครับ ผมจะไปทำให้ ตอนนี้ผมมีแรงมากขึ้นแล้ว” มู่หานเมื่อเดินออกมาจากห้องแล้วเห็นว่าซูเหยากำลังทำสบู่อยู่ เขาจึงได้อาสาตัวออกมา“ทำเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะสามี” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างยินดีพร้อมกับยิ้มออกมามู่หานที่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของภรรยาก็เหมือนกับว่าได้ยาเสริมกำลัง เขาจึงมีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นอย่างมากหว่านชิงที่เห็นท่าทางลูกเขยแบบนี้เธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกขบขัน ตอนนี้เธอรู้สึกว่าบรรยากาศของลูกสาวลูกเขยของตนดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากหากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ก็จะเห็นแต่ลูกสาวคอยแต่จะพูดจาไม่ดีใส่ทั้งลูกเลี้ยงและสามีซึ่งผิดกับตอนนี้‘ดูเหมือนว่าลูกสาวของเธอจะมีความคิดความอ่านมากขึ้นและโตขึ้นแล้วจริงๆ’ หว่า
ตั้งแต่ที่ตงหยางกับฮุ่ยหมิ่นเจอพ่อแม่ของพวกเขาทั้งสองก็มีความสุขมากกว่าแต่ก่อนทางด้านสี่พี่น้องเจียงที่ได้ทราบเรื่องนี้ก็ได้แจ้งไปยังน้องสาวบุญธรรมของตนเพื่อให้หล่อนได้แจ้งไปยังครอบครัวของคนทั้งสองอีกครั้งอย่างน้อยคนแก่อย่างคนเป็นพ่อแม่ก็จะได้มีกำลังใจในการอยู่ต่อเพื่อที่จะได้พบหน้าลูกชายของพวกเขา“ใครโทรมาหรือครับคุณถึงดูมีสีหน้าดีใจแบบนั้น” เทียนหานที่กำลังอุ้มเจ้าลูกชายตัวแสบถามกับภรรยาสาวด้วยความสงสัย นอกจากเรื่องเงินแล้วภรรยาเขาจะมีเรื่องอะไรให้ดีใจได้อีก“ที่ถามแบบนี้คุณต้องคิดว่าฉันได้เงินเพิ่มจากไหนแน่เลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาถามสามีที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีอย่างรู้ทัน“อะแฮ่ม...ผมเอ่อ” คนเป็นสามีที่ถูกภรรยากล่าวย้อนทำให้พูดไม่ออกจะปฏิเสธก็ไม่ได้จะยอมรับก็ใช่ที่“เอาเถอะค่ะฉันไม่ได้คิดโกรธคุณเสียหน่อย เรื่องที่ทำให้ฉันดีใจเป็นเรื่องของครอบครัวของหมิงกับฮุ่ยต่างหาก”“เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือครับ” สามีที่อดทนรอไม่ไหวรีบถามออกมาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้กับภรรยาสาว ส่วนเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนก็ได้เดินไปหาคนเป็นแม่ทันทีที่พ่อคลายอ้อมแขนออก“ก็ฉันกำลังจะบอกอยู่นี่ยังไงล่ะคะ ตอนน
มู่หานและคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อได้เห็นท่าทางการกระทำของซูเหยาแบบนี้ พวกเขาต่างก็คิดเหมือนกันว่าในจดหมายจะต้องเป็นข่าวดีอย่างแน่นอน“ฉันขอไปเขียนจดหมายตอบก่อนนะคะ เอาไว้หลังจากที่ทหารนายนั้นกลับไปแล้วฉันจะเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ” ซูเหยาพูดออกมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ลูกเขยเอาน้ำและของว่างไปรับรองแขกหรือยัง” หว่านชิงถามกับลูกเขยที่กำลังยืนมองลูกสาวของเธอตาปรอย“อ๊ะ..ผมลืมครับ หวังว่าทหารนายนั้นจะไม่โมโหผมนะนี่” มู่หานพูดขึ้นอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะเข้าไปจัดการเตรียมน้ำและของว่างออกไปรับรองแขกด้านนอกในลานบ้านที่ทหารนายนี้นั่งอยู่ ตอนนี้เขากำลังได้รับการต้อนรับจากเจ้าของบ้านตัวเล็กสองคน“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณลุง” เสียงเล็กๆ ที่นำโดยเสี่ยวเฉินที่ละสายตาออกมาจากการคัดตัวอักษร และน้องสาวตัวเล็กแสนซนทักทหารที่นั่งอยู่ในลานบ้านเสียงใส“สวัสดีสหายตัวน้อย พวกหนูเป็นลูกของคนบ้านนี้หรือเปล่า” ทหารที่รู้สึกเอ็นดูเด็กชายหญิงด้านหน้าถามออกมาเสียงอ่อน“ใช่ครับ/ค่ะ พวกเราสามคนเป็น
มู่หานที่เห็นภรรยายิ้มแย้มอย่างมีความสุขเขาก็ดีใจตามไปด้วย เขาคิดว่าภรรยาของเขาในตอนนี้เป็นเหมือนคนละคนกับคนเก่าชนิดหน้ามือเป็นหลังมือหาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย ในระหว่างที่ครอบครัว มู่หานกำลังรู้สึกยินดีกับความสุขที่ได้รับ บ้านมู่เดิมกลับมีแต่ความวุ่นวายฉินเจียวและเพื่อนอีกสองคนเมื่อวิ่งมาถึงบ้านมู่ พวกเธอก็รีบวิ่งหาจิวเหลียนเหมือนแมลงวันไร้หัว เนื่องจากไม่มีใครถามมู่ฟางมาก่อนว่าย่าเป็นลมอยู่ที่ไหน“เจอแล้ว ฉันเจอแล้ว” เสียงเพื่อนร่างผอมของฉินเจียวตะโกนขึ้น เมื่อเธอที่ได้วิ่งมาที่หน้าคอกหมู แล้วเห็นฉินเจียวนอนสลบกองอยู่กับพื้นสภาพที่เธอเห็นนั้นหญิงชราเอามือกุมท้องนอนคุดคู้อยู่ และถ้าหากเธอมีความสังเกตอีกสักนิด จะเห็นได้ว่ามีกองอาเจียนอยู่ห่างไม่มากจากตัวของฉินเจียวจิวเหลียนและเพื่อนรูปร่างเตี้ยกว่าเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนตัวเอง เธอทั้งสองก็รีบวิ่งตามเสียงนั้นมายังคอกหมูที่อยู่หลังจากบ้านทันทีจิวเหลียนไม่รอช้าเธอรีบอุ้มแม่สามีของตนเข้ามาในอ้อมแขน แล้วรีบนำตัวของฉินเจียวมาวางบนเสื่อที่ปู
การกระทำของเธอนั้นได้เรียกให้ชาวบ้านรู้สึกน้ำตาซึมออกมา เนื่องจากพวกเขาคิดว่าสะใภ้ผู้นี้ช่างมีใจกตัญญูต่อแม่สามีเสียจริง ซึ่งผิดกับลูกชายอย่างมู่ปิงที่แม้ว่าเขาจะตกใจ แต่ใบหน้านั้นปราศจากร่องรอยของความเสียใจให้ได้เห็นการแสดงของจิวเหลียนถือว่าเป็นการแสดงที่สวยงามเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่คนที่ก้มหน้าอยู่อย่างจิวเหลียนหากใครได้มองเห็น จะได้รู้ว่าเธอมีรอยยิ้มที่กว้างเพียงใด“ผู้ใหญ่บ้านเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ ถึงให้คนไปตามพวกผมมาที่นี่กัน” เสียงมู่จางถามกับผู้ใหญ่บ้านเมื่อเขาได้เดินเข้ามาในลานบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตนและที่เขาต้องยอมเสียมันไปก็เพื่อความสงบสุขของเขาและลูกชายอย่างมู่หาน มู่อันเพียงเท่านั้น“สหายมู่จาง ยายเฒ่าฉินตายแล้ว” ฉีอันพูดขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงของมู่จาง“หล่อนเป็นอะไรตายอย่างนั้นเหรอ หล่อนมีร่างกายแข็งแรงกว่าฉันเสียอีก” มู่จางถามขึ้นด้วยความสงสัย โดยไม่มีความเสียใจอาวรณ์ใดๆ ให้กับหญิงใจดำคนนี้คนที่ตามหลังมู่จางมาอย่างมู่หาน ซูเหยา มู่อันและซือซิงก็ได้หามีท่าทางโศกเศร้าเสียใจเหมือนอย
“มู่หานคะ พรุ่งนี้คุณช่วยไปลางานที่คอมมูนเพื่อเดินทางเข้าเมืองไปเป็นเพื่อนฉันส่งสบู่หน่อยได้ไหมคะ” ซูเหยาถามกับมู่หานด้วยสายตารอคอยอย่างคาดหวัง‘ก็นะ อ้อนเขาบ้าง อะไรบ้าง ให้รางวัลเขาสักนิด ดูๆ ไปเท่าที่ผ่านๆ มาผู้ชายคนนี้ก็จัดว่าใช้ได้ดีทีเดียว’ ซูเหยาคิดอย่างเหม่อพลางมองหน้าสามีของตนอย่างสำรวจมู่หานที่เห็นสายตาของภรรยามองมาที่ตนด้วยความคาดหวังแบบนี้ เขาจะสามารถปฏิเสธไปได้อย่างไร และการเดินทางไปเป็นเพื่อนภรรยาก็สำคัญมากเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไร ดังนั้นการไปเป็นเพื่อนเมียคือสิ่งที่ควรทำอย่างที่สุด“ผมไปเป็นเพื่อนคุณได้ครับ เนื่องจากช่วงนี้ยังไม่เก็บเกี่ยว แต่ถ้าหลังจากพรุ่งนี้ไปแล้วหากคุณคิดจะเข้าเมืองอีกครั้งรอให้ผ่านพ้นช่วงเก็บเกี่ยวไปก่อนนะครับ ผมไม่อยากให้คุณไปคนเดียว” มู่หานพูดกับภรรยาด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง“ได้ค่ะ ฉันฟังคุณ” ซูเหยาพูดรับคำอย่างเต็มใจ เธอเองก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไร เป็นผู้หญิงแม้จะเก่งแต่บางครั้งก็ต้องทำตัวให้ดูอ่อนแอบ้างไรบ้างมู่หานท
แต่สภาพด้านในของตัวบ้านไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากประตูที่หลุดออกมาหนึ่งบาน นอกนั้นโดยรวมเธอว่าบ้านหลังนี้ยังคงจัดอยู่ในสภาพดีทีเดียว แค่ต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่สักหน่อย“วันไหนที่มีเวลาเราคงต้องหาทางมาจัดการเก็บกวาดบ้านกันสักหน่อยแล้วค่ะ ฉันจะเอาไว้เป็นที่พักสินค้าให้คนมารับที่นี่” ซูเหยาพูดความคิดของตนหลังจากที่เดินสำรวจรอบๆบ้านแล้ว“หากว่าคุณทำแบบนั้นเราจะไม่มีปัญหาตามมาหรือครับ” มูหานถามออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกังวล“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ ฉันจะบอกเรื่องนี้กับพี่ ซิวหลานเอง รับรองว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดขึ้นใบหน้าแสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยม“ผมเชื่อคุณครับ แต่ถ้ามันมีปัญหาจริงๆ ผมก็พร้อมจะยืนอยู่ข้างคุณอย่างแน่นอน” มู่หานพูดแสดงจุดยืนของตัวเองออกมาบ้าง“ขอบคุณนะคะ คุณน่ารักมากเลยค่ะ” ซูเหยาพูดขึ้นอย่างไม่หวงคำชมมู่หานเมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูดกับตน ในหัวของเขาตอนนี้นั้นมีแต่คำว่าน่ารัก น่ารัก เต็มไปหมดซูเหยาที่ได้เห็นท่าทางของ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ