เย็นวันนั้น ฟางฉือห่าวนำอาหารเข้าไปกินพร้อมกับน้องสาวที่กระโจมของนาง พอเข้าไปแล้วเขาเห็นว่าน้องสาวกำลังฝึกฝนลมปราณอยู่ ซูซูที่รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาภายในกระโจมของนาง นางจึงได้หยุดเดินลมปราณแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ พอเห็นว่าเป็นพี่ใหญ่ของนาง ซูซูจึงส่งยิ้มให้กับพี่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งพี่ชายของนางจัดเรียงอาหารเอาไว้เสียแทบจะเต็มโต๊ะ
“รีบกินกันเถอะ จะได้รีบไปพักผ่อน มะรืนนี้พี่ใหญ่ต้องออกไปสั่งการรบแล้ว เจ้าอยู่ที่ค่ายก็ทำตัวดี ๆ เข้าใจหรือไม่”
“อืม… ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านอย่ากังวลเลยน่า กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้วอ่ะ”
“ตกลง ๆ เจ้าลองชิมนี่ดู พี่ใหญ่ให้พ่อครัวทำให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ”
ฟางฉือห่าวคีบเนื้อชิ้นใหญ่ส่งลงในถ้วยข้าวน้องสาวพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาดีใจที่ได้นั่งกินอาหารกับน้องสาวเช่นนี้ เพราะเขาเองก็
ซูซูบังคับกระบี่บินของนางคอยปกป้องตนเองและต่อสู้กับแม่ทัพแคว้นจ้านอย่างดุเดือด เหล่าองครักษ์และรองแม่ทัพแคว้นจ้านพากันต้านกระบี่บินกันเป็นพัลวัน พวกเขาไม่มีแม้แต่จังหวะจะเข้าใกล้ซูซูด้วยซ้ำ อ๋องเฉิงขี่ม้าฝ่าเข้าไปเพื่อช่วยเหลือซูซู เหล่าองครักษ์ของท่านอ๋องและรองแม่ทัพเองก็ต่างเร่งไสม้าตามไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้กองทัพที่รออยู่ด้านข้างได้รุกเข้ามาแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้เกรงกลัวกองทัพของแคว้นจ้านแม้แต่น้อย จังหวะที่กองทัพแคว้นเจิ้งต่างกรูกันออกมาจากป่าข้างทาง แม่ทัพแคว้นจ้านจะออกคำสั่งให้ถอยทัพก็ไม่ทันเสียแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางกองทัพนับแสนของแคว้นเจิ้งแล้ว แม่ทัพแคว้นจ้านได้แต่กัดฟันต่อสู้กับซูซูไปได้เกือบร้อยกระบวนท่า ก่อนที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่บินของซูซูตวัดเฉือนเข้าที่ลำตัวจนตกจากหลังม้าเพราะหากเขาไม่หลบลงไปเขาต้องตายภายในกระบี่เดียวแน่
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ทหารในกองทัพต่างพากันเก็บกระโจมที่พักทั้งหมดแล้วบรรทุกลงไปยังเกวียนเหมือนขามา ส่วนเสบียงของพวกเขาก็ยังเหลืออีกไม่น้อย ทหารทั้งหนึ่งแสนนายสามารถอยู่ได้อีกหลายเดือน นี่ต้องขอบคุณตระกูลฟางที่ให้คนมาส่งมอบเสบียงตามรายทางจนมาถึงเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกพร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมาก ซูซูไปรับม้าของนางมาก่อนที่จะขี่มันไปยังข้างรถม้าของพี่ใหญ่นางดังเช่นที่ทำเป็นปรกติตั้งแต่ตอนเดินทางมายังเมืองชายแดน อ๋องเฉิงที่มองการเก็บกวาดค่ายก็ส่งคนไปส่งข่าวให้กับแม่ทัพกวนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว รวมทั้งยังส่งพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อแจ้งเสด็จลุงของเขาว่าจะบุกต่อไปยังแคว้นจ้าน อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่เขาจะเข้ายึดเมืองหลวงแคว้นจ้านได้และเขาจะส่งข่าวกลับไปเป็นระยะ ๆ หลังจากเห็นว่าทหารทุกคนเก็บสิ่งของเรียบร้อยแล้ว อ๋องเฉิงก็สั่งการให้กองทัพออกเดินทางไปยังค่ายชายแดนแคว้นจ้าน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เร่งรี
ฟางฉือห่าวเห็นว่าน้องสาวส่งหมูป่าให้กับเหล่าพ่อครัวแล้วก็หันไปสั่งการองครักษ์ของเขาที่ตามมาว่าให้รออาหารแล้วค่อยนำไปส่งเขากับน้องสาวที่กระโจมของนางทีหลัง“ขอรับท่านกุนซือ ข้าจะรออาหารที่นี่ให้ขอรับ เชิญท่านกุนซือพาคุณหนูไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ”“อืม ขอบใจเจ้ามาก” ซูซูเดินมาถึงที่ที่พี่ชายรออยู่พอดี ฟางฉือห่าวจับมือน้องสาวพาเดินกลับไปที่กระโจม ระหว่างทางเขายังสั่งทหารให้นำอ่างอาบน้ำและน้ำอุ่นไปส่งที่กระโจมของซูซูด้วย เพราะเขาเห็นว่าน้องสาวตัวเลอะไปด้วยคราบเลือดของหมูป่าจนกลิ่นสาปโชยออกมา ซูซูได้แต่แลบลิ้นอย่างทะเล้นให้กับพี่ใหญ่ นางไม่รู้ตัวเลยว่ากลิ่นเลือดของหมูป่าจะรุนแรงจนทำให้พี่ใหญ่ของนางทนไม่ไหว แต่ในเมื่อพี่ใหญ่อำนวยความสะดวกให้นางในการอาบน้ำเช่นนี้ ซูซูก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธความหวังดีของพี่ชายสุดที่รักเช่นเดียวกัน อ๋องเฉิงท
ซูซูเดินลุกจากเตียงไปนั่งยังเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้าง ๆ พี่ใหญ่ของนาง นางบอกพี่ใหญ่เกี่ยวกับเรื่องลมปราณของนางที่เพิ่มขึ้นมากพอที่จะช่วยสนับสนุนกองทัพของเขาได้“เฮ้อ น้องพี่ เจ้าช่างมีความพยายามที่จะออกไปสู้รบเสียจริง ๆ พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าหวังดี เพียงแต่พี่ใหญ่ก็เป็นห่วงเจ้าหากพลาดพลั้งขึ้นมา เจ้าอย่าลืมว่าดาบกระบี่นั้นไร้นัยน์ตา หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า พี่ใหญ่จะอยู่ได้อย่างไร”“พี่ใหญ่เจ้าคะ คราวนี้ข้าจะอยู่ใกล้ ๆ กับพี่ใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่จะใช้วิชากระบี่บินช่วยสนับสนุนทหารของเราเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพต้องสูญเสียทหารในการรบ พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงมากนักเลยนะเจ้าคะ”“อืม...หากเจ้าว่าเช่นนั้น พี่ใหญ่ก็จะเชื่อใจเจ้า ในเมื่อเจ้าบอกจะอยู่ใกล้ ๆ พี่ใหญ่เวลาออกรบ พี่ใหญ่จะรอดูว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่บอกหรือไม่”“พี่ใหญ่เชื่อใจน้องสาวของท่านได้เลยเจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าจะไม่ซุ
หลังอาหารเช้าวันต่อมา บรรดาทหารที่มีหน้าที่เก็บข้าวของและกระโจมขึ้นยังเกวียนที่นำมาด้วยรีบทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนอ๋องเฉิง ซูซู และฟางฉือห่าวเองก็เตรียมพร้อมกันหมดแล้วที่จะออกเดินทาง หนึ่งชั่วยามต่อมา ขบวนทัพของแคว้นเจิ้งก็ตั้งแถวพร้อมที่จะเดินทางไกลกันอีกครั้ง อ๋องเฉิงเห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วจริง ๆ จึงออกคำสั่งเดินทัพทันที ทหารทุกคนต่างร้องรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกันเสียงดัง ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองถัดไปของแคว้นจ้านนั้น อ๋องเฉิงคิดเอาไว้แล้วว่าพระองค์จะไม่สังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ หากเจ้าเมืองและทหารรักษาเมืองยินยอมที่จะให้พวกเขาผ่านทางแต่โดยดี พระองค์เองก็จะไม่ทำร้ายใครและเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นจ้านเท่านั้น กองทัพนับแสนของแคว้นเจิ้งมาถึงเมืองกุ้ยในอีกหนึ่งเดือนต่อมา แน่นอนว่าอ๋องเฉิงนั้นใช้พลังลมปราณเปล่งเสียงออกไปสอบถามที่หน้า
หลังออกจากเมืองหวนหลง อ๋องเฉิงก็สั่งการให้ทุกคนพักบ่อยขึ้นและออกไปล่าสัตว์เป็นการยืดเส้นยืดสาย เพราะหลังจากผ่านเมืองหวนหลงแล้วจะเป็นเมืองหลวงของแคว้นจ้านที่พวกเขาจะต้องสู้รบด้วย ดังนั้น อ๋องเฉิงจึงต้องการให้ทหารของตนเองรักษาพละกำลังเอาไว้ให้ได้มากที่สุดสามเดือนต่อมา กองทัพอ๋องเฉิงเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงแคว้นจ้านแล้ว ซึ่งความจริงกองทัพพวกเขามาถึงก่อนหน้าประมาณห้าวันก่อน แต่อ๋องเฉิงสั่งตั้งค่ายห่างจากประตูเมืองห้าร้อยก้าว เพื่อพักผ่อนให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมที่สุด ซูซูเองก็หมั่นฝึกฝนกระบี่บินของนางอย่างขยันขันแข็ง ครั้งนี้นางคิดว่าน่าจะเป็นศึกใหญ่ไม่น้อย แต่นางก็ยังคิดว่าจำนวนทหารของแคว้นเจิ้งน่าจะมีมากกว่าเหล่าทหารรักษาเมือง จึงพอจะทำให้ซูซูเบาใจได้บ้างว่านางน่าจะปกป้องคนของแคว้นเจิ้งได้อย่างแน่นอน &nb
หลังจัดการเรื่องคนในวังเสร็จ อ๋องเฉิงก็สั่งการให้รองแม่ทัพนำกำลังเข้ามาเฝ้าที่วังหลวงสองหมื่นนาย ส่วนทหารที่เหลือให้พักอยู่โดยรอบกำแพงเมืองหลวงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในเมืองหลวง ส่วนเรื่องบริหารราชการแผ่นดินนั้น พระองค์รอข่าวจากเสด็จลุงส่งกลับมาเสียก่อน เพราะก่อนหน้านี้พระองค์ให้องครักษ์ส่งพิราบสื่อสารกลับไปยังวังหลวงแล้วว่ายึดแคว้นจ้านได้แล้ว ตอนนี้พระองค์มีหน้าที่เพียงแค่รักษาความสงบของเมืองหลวงเอาไว้จนกว่าคนที่เสด็จลุงส่งมาให้ปกครองแคว้นจ้านจะมาถึงเท่านั้น อ๋องเฉิงยังให้ทหารไปเรียกแม่ทัพรักษาเมืองมาสอบถามเรื่องเกี่ยวกับแคว้นจ้านเพิ่มเติมด้วย ซูซูที่เห็นว่าไม่มีอะไรที่นางช่วยได้ นางจึงขออนุญาตพี่ใหญ่ของนางออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงแทน“เจ้าจะไปจะมาก็ระวังตัวด้วยเล่า แล้วนี่เจ้ามีเงินติดตัวบ้างหรือไม่ พี่ใหญ่จะได้เอาให้เจ้าไปใช้จ่ายก่อน ท่านพ่อกับท่านแม่ฝากเงินเอาไว้ที่พี่ใหญ่มาไว้ให้เจ้าไม่น้อย”
ซูซูที่เห็นว่าสิ่งของที่นางเข็นอยู่มากเกินไปแล้ว นางจึงคิดจะกลับไปยังวังหลวงแทนที่จะเดินหาร้านเครื่องประดับต่อ อย่างไรรอให้พี่ใหญ่ของนางเสร็จงานก่อนก็ยังไม่สายที่นางจะให้พี่ใหญ่พามาหาซื้อของฝากให้ท่านพ่อกับท่านแม่ เมื่อกลับเข้าไปยังวังหลวงแล้ว ซูซูที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพักที่ไหนจึงได้แต่ยกรถเข็นกับห่อผ้าห่อใหญ่ขึ้นไปยังท้องพระโรงเพื่อสอบถามพี่ใหญ่ของนางว่าจะให้เก็บผลไม้แห้งพวกนี้ไว้ที่ไหน บรรดารองแม่ทัพนายกองต่างตกตะลึงที่เห็นว่าที่พระชายายกรถเข็นขนาดกลางซึ่งมีกระสอบใหญ่อยู่เต็มคันรถมาพร้อมรอยยิ้ม ฟางฉือห่าวที่เห็นน้องสาวเช่นนี้ได้แต่อยากเอาเท้าก่ายหน้าผาก นี่น้องสาวเขาจะทำเหมือนคนทั่วไปบ้างได้หรือไม่กันหนอ ส่วนอ๋องเฉิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า“พี่ใหญ่เหตุใดทำหน้าเช่นนั้นเล่า นี่ข้าอุตส่าห์ไปเหมาซื้อผลไม้แห้งมาไว้ให้พวกท่านทานตอนประชุมกันเสียมากมายเลยนะ แท
องครักษ์ที่นำถ้วยขนมไปให้หมอหลวงตรวจสอบส่วนผสม ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่แยกส่วนผสมออกมาแล้ว ส่งให้เขานำกลับไปให้ท่านอ๋องและพระชายา แน่นอนว่าในส่วนผสมนั้นมีชะมดเชียงตามที่พระชายาสงสัยจริง หมอหลวงที่อยากสอบถามเรื่องราวว่าใครกล้าทำเช่นนี้แต่กลัวว่าภัยจะลามมาถึงตัว เขารู้ดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนำออกจากวังหลวงไปได้ง่าย ๆ อีกอย่างร้านยาทั่วไปไม่สามารถขายชะมดเชียงที่เป็นสินค้าต้องห้ามในแคว้นได้ นอกจากในวังหลวงที่ใช้บ้างในการรักษาโรคบางชนิด เขาจึงทำได้เพียงส่งข้อมูลให้กับองครักษ์นำไปแจ้งแก่ท่านอ๋องเฉิงเท่านั้น องครักษ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนอ๋องในทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในวังหลวงมากนัก ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ส่วนองครักษ์ที่ทำการสอบสวนนางกำนัลนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการและมีวิธีนำยาแปลกปลอมเข้ามาในจวนอ๋องได้อย่างไร พวกเขารี
หนึ่งเดือนต่อมา วันนี้เป็นวันที่หมอหลวงนัดตรวจดูการตั้งครรภ์ของซูซู อ๋องเฉิงที่ไปขออนุญาตเสด็จลุงมาคอยดูแลซูซูที่จวนได้เกือบครึ่งเดือนแล้วจึงพานางไปนั่งรอหมอหลวงที่ห้องโถงรับแขก โดยมีแม่นมฉู่บอกให้บ่าวนำของว่างและน้ำชามาให้ทั้งสองพระองค์นั่งกินนั่งดื่มเพื่อฆ่าเวลา ซูซูกับอ๋องเฉิงนั่งคุยกันอยู่ได้เกือบสองเค่อ ก่อนที่องครักษ์ของจวนจะเดินนำหมอหลวงเข้ามาคารวะทั้งสองพระองค์ แล้วลงมือตรวจชีพจรของพระชายาตามหน้าที่ หมอหลวงตรวจไม่นานนักก็ปล่อยมือออกพร้อมกับหยิบผ้าขาวบางออกมาก่อนจะรายงานอาการของพระชายาให้อ๋องเฉิงฟัง“ตอนนี้พระชายาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพะย่ะค่ะ เด็กในครรภ์มีชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอดีมากพะย่ะค่ะ เดือนนี้กระหม่อมจะถวายยาบำรุงครรภ์ให้อีกนะพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พระชายายังมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนอีกหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ข้าไม่มีอาการแล้วหมอหลวง ตอนนี
ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ง่วง ซูซูจึงชวนแม่นมฉู่กับสองบ่าวคนสนิทไปดูของขวัญที่ได้มาเมื่อวาน เพราะพ่อบ้านมาแจ้งนางเอาไว้แล้วว่าเขาส่งของขวัญเหล่านั้นไปไว้ที่เรือนเล็กของนางให้ตรวจสอบแต่เช้าแล้ว“พระชายาจะไม่พักผ่อนก่อนจริง ๆ หรือเพคะ”“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่นาแม่นมฉู่ นะ นะ เราไปตรวจดูของขวัญกันก่อนดีกว่า”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ พระชายาค่อย ๆ เดินนะเพคะ”“อืม… ข้ารู้น่า แม่นมอย่ากังวลนักเลย” ซูซูที่กำลังคิดจะเดินเร็ว ๆ จึงได้แต่ต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมฉู่มีเรื่องไปฟ้องอ๋องเฉิงทีหลัง ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องของเขาเป็นแน่ แม่นมฉู่ที่เห็นว่าพระชายาเดินช้าลงแล้วก็ได้แต่เป่าปากอย่างโล่งอก นางอยากเป็นคนประ
อ๋องเฉิงเชิญพ่อตาแม่ยายและพี่ชายภรรยาให้นั่งลงดื่มชากินของว่างกันก่อน พวกเขาจึงได้นั่งลงตรงที่ว่างก่อนที่เจียงเหม่ยและเจียงฮวาจะรินชากับนำของว่างมาวางเพิ่มให้บนโต๊ะ จากนั้นพวกนางรวมทั้งแม่นมฉู่ก็ถอยออกไปรอที่ด้านหน้าศาลาตามมารยาท“ซูซูเป็นยังไงบ้างลูก” มู่อิงเอ๋อที่เป็นห่วงลูกสาวรีบถามขึ้นมาก่อนใครเพื่อน“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เมื่อวานข้าเหม็นกลิ่นอาหารจนแทบอาเจียน ท่านอ๋องจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงมาตรวจ จึงได้รู้ว่าข้าตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”“แล้วตอนนี้เจ้ากินสิ่งใดได้บ้างเล่า หรือจะให้แม่ทำอาหารให้เจ้าลองกินดู”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้พ่อครัวรู้แล้วว่าข้ากินอาหารแบบใดได้บ้าง วันนี้ข้าก็กินได้เยอะขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลย”“เฮ้อ เจ้าจะไม่ให้แม่ไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชอบซุกซนนัก ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่
อ๋องเฉิงได้แต่มองภรรยาของพระองค์พร้อมรอยยิ้มบาง ในที่สุดพระองค์ก็กำลังจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว ภรรยาผู้ซุกซนของพระองค์หลังจากนี้คงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้แล้ว พระองค์ได้แต่หวังว่านางจะคิดถึงลูกให้มาก ๆ และไม่ทำสิ่งใดสุ่มเสี่ยงต่อการบาดเจ็บระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์“นี่ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าลูกเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันน่ะ”“อืม… ข้าคิดว่าน่าจะผู้ชายนะ”“อ้าว เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นผู้ชายล่ะ ข้าอยากได้ลูกสาวนี่นา หรือว่าเจ้าไม่อยากได้”“เปล่าสักหน่อย ข้าเพียงคิดตามที่แม่นมฉู่บอกเมื่อครู่ว่าเสด็จแม่ของข้าก็มีอาการเช่นเดียวกับเจ้าอย่างไรเล่า ข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นลูกชายก็เท่านั้นเอง อีกอย่างนะ ไม่ว่าเจ้าจะคลอดลูกชายหรือหญิง ข้าก็รักทั้งคู่นั่นแหละ เพราะนั่นคือลูกของเรา”“เฮ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เอ้อ แล้วเราจะส่งคนไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ที่จวนดีหร
ขันทีประจำพระองค์เมื่อกลับถึงวังหลวงแล้วก็รีบรายงานทุกอย่างให้ฮ่องเต้ทราบ รวมทั้งข้อสังเกตของเขาที่มีต่อเสนาบดีหลานอีกด้วย“อืม…เช่นนั้นส่งองครักษ์เงาของเราไปคอยติดตามเสนาบดีหลานอย่าให้คลาดสายตา ข้าเชื่อว่าหากเขาคิดแก้แค้นจะต้องมีสักวันที่เขาทำตัวผิดปกติ เรื่องนี้เจ้ายังไม่ต้องส่งคนไปบอกหลานชายของข้า ปล่อยให้องครักษ์เงาของข้าสืบเรื่องราวมาให้ได้เสียก่อนค่อยวางแผนกันก็ไม่สาย”“พะย่ะค่ะฝ่าบาท”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็จะไปทานข้าวที่ตำหนักเฟิ่งหวงกับฮองเฮาสักหน่อย ป่านนี้ไม่รู้ว่านางรู้ข่าวเรื่องหลานสะใภ้หรือยัง”“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลาพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้โบกมือให้ขันทีประจำพระองค์อย่างเคยชิน จากนั้นพระองค์สั่งขันทีวัยกลางคนที่เป็นผู้ช่วยของขันทีชราว่าให้เตรียมเกี้ยวไปยังตำห
ด้านแม่ทัพรักษาเมืองที่จัดการเรื่องราวนี้ก็พาคนไปจับกุมชายวัยกลางคนที่เป็นคนติดต่อกับคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลาน จากนั้นเสนาบดีกรมอาญาก็สั่งทหารให้นำหมายไปจับกุมฮูหยินใหญ่ องครักษ์คนสนิทของนาง และบุตรสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างวานฆ่าพระชายาอ๋องเฉิงในคราวนี้ เสนาบดีกรมอาญาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยขันทีข้างกายพระองค์มาส่งคำสั่งด้วยตนเองหลังจากที่แม่ทัพรักษาเมืองส่งคนไปรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารนับร้อยคนพร้อมกับเสนาบดีกรมอาญาที่เดินทางไปยังจวนเสนาบดีคลังด้วยตนเองต้องพบกับการขัดขวางของเสนาบดีหลาน“ท่านจะไม่ยอมเปิดทางให้พวกข้าไปจับกุมคนจริง ๆ หรือเสนาบดีหลาน เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทโดยตรงให้มาจับกุมคนไปตัดสินคดีในครั้งนี้”“ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงได้ข่าวลวงมากกว่า ฮูหยินและบุตรสาวของข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ ท่านรอให้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเส
ซูซูหยุดม้าที่หน้าห้องโถงรับแขกของจวนก่อนจะกระโดดลงไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า นางมองเห็นทุกคนกำลังนั่งรอนางอยู่จริง ๆ ยิ่งทำให้ซูซูในตอนนี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลแม้แต่นิดเดียว นางสั่งบ่าวให้พาม้าของนางไปพักผ่อนก่อนที่จะวิ่งปรื๋อเข้าไปในห้องโถงรับแขกอย่างรวดเร็ว ซูซูกระโดดเข้าไปกอดท่านแม่พร้อมกับหอมแก้มนางไปมาอย่างซุกซน ทำเอามู่อิงเอ๋อได้แต่หัวเราะบุตรสาวสุดที่รักของนางที่ชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ หลังจากที่ซูซูหอมแก้มท่านแม่จนชื่นใจแล้ว นางที่ถูกท่านแม่ตีเข้าที่บาดแผลโดยไม่ได้ตั้งใจถึงกับร้องออกมาโอ้ย!!!“อะไร! ลูกแม่เป็นอะไร แม่ขอโทษลูก ไหนเจ้ามาให้แม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอะไร” ความจริงฟางเซียนหลงกับฟางฉือห่าวนั้นเห็นเลือดที่แขนของซูซูตั้งแต่นางวิ่งเข้ามาแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้มู่อิงเอ๋อตกใจจึงไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พวกเขาเองก็อยากร
ทหารรายงานอ๋องเฉิงว่าท่านกุนซือมาถึงแล้ว อ๋องเฉิงจึงออกจากกระโจมไปคุยกับฟางฉือห่าวเรื่องที่พระองค์คิดเอาไว้ และแน่นอนว่าฟางฉือห่าวขอวันลากับพระองค์จริง ๆ อ๋องเฉิงอนุญาตให้สหายลาได้หนึ่งวันโดยไม่อิดออด พระองค์รู้ดีว่าสหายตนนั้นคลั่งรักน้องสาวมากขนาดไหน นี่ก็หลายสัปดาห์แล้วที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง นอกจากวันเยี่ยมบ้านเดิมแล้ว ซูซูก็ยังไม่ได้กลับบ้านเดิมอีกเลย จึงทำให้ฟางฉือห่าวผู้คิดถึงรอยยิ้มซุกซนของน้องสาวอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องขอลาไปอยู่เป็นเพื่อนนางสองวันต่อมา ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงออกไปทำงานหลังทานอาหารร่วมกันแล้วก็สั่งคนไปนำม้าของนางมาทันที วันนี้ซูซูแต่งกายด้วยชุดชาวยุทธที่นางไม่ได้ใส่เสียนานตั้งแต่เข้าจวนอ๋องมา แม่นมฉู่ได้แต่บอกให้พระชายาระมัดระวังในการเดินทางเหมือนดังเช่นสามีนางที่กำชับก่อนออกไปทำงาน“ข้ารู้แล้วน่าแม่นมฉู่ ท่านอย่าได้กังวลมากนักเลย ข้าเป็นพระชายาจวนอ๋องนะ ไม่ใช่คุ