หลังอาหารเช้าวันต่อมา บรรดาทหารที่มีหน้าที่เก็บข้าวของและกระโจมขึ้นยังเกวียนที่นำมาด้วยรีบทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนอ๋องเฉิง ซูซู และฟางฉือห่าวเองก็เตรียมพร้อมกันหมดแล้วที่จะออกเดินทาง
หนึ่งชั่วยามต่อมา ขบวนทัพของแคว้นเจิ้งก็ตั้งแถวพร้อมที่จะเดินทางไกลกันอีกครั้ง อ๋องเฉิงเห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วจริง ๆ จึงออกคำสั่งเดินทัพทันที ทหารทุกคนต่างร้องรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกันเสียงดัง
ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองถัดไปของแคว้นจ้านนั้น อ๋องเฉิงคิดเอาไว้แล้วว่าพระองค์จะไม่สังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ หากเจ้าเมืองและทหารรักษาเมืองยินยอมที่จะให้พวกเขาผ่านทางแต่โดยดี พระองค์เองก็จะไม่ทำร้ายใครและเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นจ้านเท่านั้น
กองทัพนับแสนของแคว้นเจิ้งมาถึงเมืองกุ้ยในอีกหนึ่งเดือนต่อมา แน่นอนว่าอ๋องเฉิงนั้นใช้พลังลมปราณเปล่งเสียงออกไปสอบถามที่หน้า
หลังออกจากเมืองหวนหลง อ๋องเฉิงก็สั่งการให้ทุกคนพักบ่อยขึ้นและออกไปล่าสัตว์เป็นการยืดเส้นยืดสาย เพราะหลังจากผ่านเมืองหวนหลงแล้วจะเป็นเมืองหลวงของแคว้นจ้านที่พวกเขาจะต้องสู้รบด้วย ดังนั้น อ๋องเฉิงจึงต้องการให้ทหารของตนเองรักษาพละกำลังเอาไว้ให้ได้มากที่สุดสามเดือนต่อมา กองทัพอ๋องเฉิงเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงแคว้นจ้านแล้ว ซึ่งความจริงกองทัพพวกเขามาถึงก่อนหน้าประมาณห้าวันก่อน แต่อ๋องเฉิงสั่งตั้งค่ายห่างจากประตูเมืองห้าร้อยก้าว เพื่อพักผ่อนให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมที่สุด ซูซูเองก็หมั่นฝึกฝนกระบี่บินของนางอย่างขยันขันแข็ง ครั้งนี้นางคิดว่าน่าจะเป็นศึกใหญ่ไม่น้อย แต่นางก็ยังคิดว่าจำนวนทหารของแคว้นเจิ้งน่าจะมีมากกว่าเหล่าทหารรักษาเมือง จึงพอจะทำให้ซูซูเบาใจได้บ้างว่านางน่าจะปกป้องคนของแคว้นเจิ้งได้อย่างแน่นอน &nb
หลังจัดการเรื่องคนในวังเสร็จ อ๋องเฉิงก็สั่งการให้รองแม่ทัพนำกำลังเข้ามาเฝ้าที่วังหลวงสองหมื่นนาย ส่วนทหารที่เหลือให้พักอยู่โดยรอบกำแพงเมืองหลวงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในเมืองหลวง ส่วนเรื่องบริหารราชการแผ่นดินนั้น พระองค์รอข่าวจากเสด็จลุงส่งกลับมาเสียก่อน เพราะก่อนหน้านี้พระองค์ให้องครักษ์ส่งพิราบสื่อสารกลับไปยังวังหลวงแล้วว่ายึดแคว้นจ้านได้แล้ว ตอนนี้พระองค์มีหน้าที่เพียงแค่รักษาความสงบของเมืองหลวงเอาไว้จนกว่าคนที่เสด็จลุงส่งมาให้ปกครองแคว้นจ้านจะมาถึงเท่านั้น อ๋องเฉิงยังให้ทหารไปเรียกแม่ทัพรักษาเมืองมาสอบถามเรื่องเกี่ยวกับแคว้นจ้านเพิ่มเติมด้วย ซูซูที่เห็นว่าไม่มีอะไรที่นางช่วยได้ นางจึงขออนุญาตพี่ใหญ่ของนางออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงแทน“เจ้าจะไปจะมาก็ระวังตัวด้วยเล่า แล้วนี่เจ้ามีเงินติดตัวบ้างหรือไม่ พี่ใหญ่จะได้เอาให้เจ้าไปใช้จ่ายก่อน ท่านพ่อกับท่านแม่ฝากเงินเอาไว้ที่พี่ใหญ่มาไว้ให้เจ้าไม่น้อย”
ซูซูที่เห็นว่าสิ่งของที่นางเข็นอยู่มากเกินไปแล้ว นางจึงคิดจะกลับไปยังวังหลวงแทนที่จะเดินหาร้านเครื่องประดับต่อ อย่างไรรอให้พี่ใหญ่ของนางเสร็จงานก่อนก็ยังไม่สายที่นางจะให้พี่ใหญ่พามาหาซื้อของฝากให้ท่านพ่อกับท่านแม่ เมื่อกลับเข้าไปยังวังหลวงแล้ว ซูซูที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพักที่ไหนจึงได้แต่ยกรถเข็นกับห่อผ้าห่อใหญ่ขึ้นไปยังท้องพระโรงเพื่อสอบถามพี่ใหญ่ของนางว่าจะให้เก็บผลไม้แห้งพวกนี้ไว้ที่ไหน บรรดารองแม่ทัพนายกองต่างตกตะลึงที่เห็นว่าที่พระชายายกรถเข็นขนาดกลางซึ่งมีกระสอบใหญ่อยู่เต็มคันรถมาพร้อมรอยยิ้ม ฟางฉือห่าวที่เห็นน้องสาวเช่นนี้ได้แต่อยากเอาเท้าก่ายหน้าผาก นี่น้องสาวเขาจะทำเหมือนคนทั่วไปบ้างได้หรือไม่กันหนอ ส่วนอ๋องเฉิงได้แต่หัวเราะเบา ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า“พี่ใหญ่เหตุใดทำหน้าเช่นนั้นเล่า นี่ข้าอุตส่าห์ไปเหมาซื้อผลไม้แห้งมาไว้ให้พวกท่านทานตอนประชุมกันเสียมากมายเลยนะ แท
หกเดือนต่อมา ขบวนเดินทางขององค์ชายสามกับพระชายา รวมทั้งขุนนางใหม่ที่จะมาดูแลราชสำนักในแคว้นจ้านก็มาถึงเมืองหลวงเสียที พวกเขาเดินทางโดยหยุดพักน้อยที่สุดเพื่อเร่งเดินทางมาให้ถึงเร็วที่สุด ด้วยเพราะฮ่องเต้ออกราชโองการให้พวกเขารีบเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพื่อทำให้แคว้นจ้านในอดีต เจริญรุ่งเรืองเทียบเท่ากับแคว้นเจิ้ง ด้านอ๋องเฉิงกับซูซูที่อยู่ร่วมวังเดียวกันถึงครึ่งปี ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พัฒนาไปมากเช่นกัน อ๋องเฉิงหลังจากว่างจากงานแล้ว พระองค์ก็มักจะชวนซูซูออกไปขี่ม้าเล่นเที่ยวชมเมืองต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลเอาไว้ให้เหล่าคนของแคว้นเจิ้งที่จะมาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน แน่นอนว่าทุกที่ที่ไปย่อมมีฟางฉือห่าวไปด้วย ในวันที่ขบวนขององค์ชายสามเสด็จมาถึง โชคดีที่พวกเขาเพิ่งกลับเข้าวังมาได้หนึ่งวันหลังจากออกไปดูความเป็นอยู่ของราษฎร ทุกคนจึงได้ออกมาต้อนรับองค์ชายสาม พ
ก่อนเข้าไปยังโถงรับแขกของเรือนหลัก ฟางฉือห่าวสั่งให้บ่าวเก็บของฝากลงมาให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วเดินตามหลังทุกคนเข้าไปนั่งตามตำแหน่งเดิม“ซูซู ลูกเป็นยังไงบ้าง เหตุใดจึงได้ดำคล้ำเช่นนี้เล่า”“แฮะ ๆ ลูกขี่ม้าตากแดดเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาขาวเหมือนเดิมแล้วนะเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ เช่นนั้นช่วงนี้แม่จะให้แม่นมกับคนของแม่ไปดูแลช่วยบำรุงผิวให้เจ้าจนกว่าจะหายก็แล้วกัน เจ้ายิ่งดูแลตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ของพวกนี้เป็นของฝากจากแคว้นจ้านที่ข้ากับน้องซื้อมาฝากพวกท่าน ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่นะขอรับ” ฟางฉือห่าวเห็นบ่าวยกสิ่งของต่าง ๆ เข้ามามากมายจึงรีบออกหน้าให้พ่อกับแม่ของเขาก่อนที่จะบ่นน้องส
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ครอบครัวฟางทั้งสี่ต่างนั่งรอแม่นมของอ๋องเฉิงที่กำลังจะมาสอนมารยาทและกฎเกณฑ์ให้กับซูซู พวกเขาไม่อยากให้ซูซูต้องรับหน้าคนอื่นด้วยตัวคนเดียว เรื่องนี้ทำให้ซูซูยิ่งรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นที่ทุกคนมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ความจริงซูซูก็หวาดกลัวไม่น้อยที่จะต้องเรียนกับคนไม่รู้จัก“ซูซู ลูกไม่ต้องกังวลนะ แม่จะให้แม่นมอู๋ไปคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกจะพยายามเรียนให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้พวกท่านขายหน้าด้วยนะเจ้าคะ”“เฮ้อ ซูซูลูก เจ้าไม่จำเป็นจะต้องฝืนใจหากเรียนแล้วไม่มีความสุข เข้าใจหรือไม่ พ่อ แม่ กับพี่ใหญ่ของเจ้าไม่เคยคิดสักครั้งว่าเจ้าจะทำสิ่งใดให้พวกเราอับอาย และพ่อก็ชอบที่ลูกเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”“อืม… ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ขอบคุณท่านพ่อที่ไม่รังเกียจกิริยามารยาทที่มีอยู่น้อยนิดของข้านะเจ้าคะ”
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้ อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม