สามวันต่อมา
ครอบครัวฟางพากันไปยังวัดนอกเมืองหลวงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขาใช้รถม้าคันใหญ่นั่งด้วยกันเพื่อจะได้คุยกันไปตามทาง ด้วยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปด้วยกัน ทุกคนจึงอยากใช้เวลากับซูซูอย่างเต็มที่
รถม้าเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาที่มีวัดตั้งอยู่ด้านบน ทั้งสี่คนลงจากรถม้าแล้วชวนกันเดินขึ้นด้านบนพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“นานมากแล้วที่แม่ไม่ได้มาไหว้พระที่นี่ วันนี้พวกเราก็ทำบุญให้กับวัดมากหน่อยเพื่อบูรณะวัดและขอพรให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุขดีหรือไม่?”
“ดีสิเจ้าคะท่านแม่ ตั้งแต่จำความได้ ข้าไม่เคยไปวัดเลยสักครั้ง เพราะมัวแต่ทำมาหากินสะสมเงินเพื่อเดินทางมาตามหาพวกท่าน”
“อ่า น้องสาวของพี่ช่างเก่งกาจนัก เจ้าหาเงินมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”
&ldqu
สัปดาห์ต่อมาขณะที่ฟางฉือห่าวมองการจัดทัพของเหล่าทหารอยู่นั้น กลับมีม้าเร็ววิ่งเข้ามาในค่ายแล้วตรงไปยังกระโจมของท่านอ๋องเฉิง เขาสงสัยว่ามีข่าวอันใดกันแน่เหตุใดทหารส่งข่าวจึงได้เร่งร้อนเช่นนี้ ฟางฉือห่าวสั่งพักการจัดทัพก่อนที่จะเร่งเดินไปยังกระโจมท่านอ๋องเพื่อฟังข่าวจากชายแดน ฟางฉือห่าวไปถึงหน้ากระโจมท่านอ๋องก็เป็นเวลาที่อ๋องเฉิงรีบออกจากกระโจมมาพอดี เขาจึงได้สอบถามความกับอ๋องเฉิงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“แคว้นจ้านส่งทัพมาบุกตีชายแดนตะวันออก ข้าจะรีบเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อพาทหารเดินทางไปยังชายแดนโดยเร็ว เจ้าเองก็รีบกลับจวนไปเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบกลับมารวมตัวกันที่นี่เถอะ”“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรีบไปรีบมา”“รองแม่ทัพ สั่งการทหารทั้งหมดในค่ายให้เก็บสิ่งของจำเป็นทั้งหมดและเตรียมออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันออก”“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
อ๋องเฉิงที่สั่งบ่าวเก็บของให้เสร็จแล้วก็นั่งรถม้าออกไปพร้อมกับองครักษ์ส่วนตัวสองคน ส่วนองครักษ์คนสนิทอีกสองคนนั้นต้องอยู่ดูแลจวนอ๋องแทนพระองค์ อีกทั้งในค่ายทหารยังมีทหารองครักษ์อีกไม่น้อย อ๋องเฉิงจึงไม่ได้คิดมากอันใดกับการเดินทางออกรบในครั้งนี้ ด้วยการเดินทางระยะไกล พระองค์จึงต้องนั่งรถม้าไปแทนการขี่ม้าเหมือนทุกครั้ง แต่รถม้าของอ๋องเฉิงนั้นมีม้าถึงสี่ตัวเพื่อการเดินทางที่รวดเร็ว อ๋องเฉิงจึงสั่งการให้เพิ่มม้าเป็นพิเศษในการเดินทางครั้งนี้ ฟางฉือห่าวกับซูซูมาถึงค่ายทหารก่อนอ๋องเฉิงไม่นานนัก เมื่ออ๋องเฉิงมองเห็นม้าที่คุ้นเคยเขาก็รู้ว่าต้องเป็นซูซูแน่ อ๋องเฉิงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วเดินไปหาสองพี่น้องที่ยืนคุยกันอยู่ข้างรถม้าและม้าของซูซู“นี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ซูซู”“เอ้า ข้าก็มาดูแลพี่ใหญ่ของข้าน่ะสิ”“แต่นี่มันค่ายทหาร มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น เจ้าจะเดิน
หลังพักกันครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ขบวนกองทัพก็เดินทางต่อไปยังชายแดนตะวันออกด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด กว่าที่กองทัพจะพักอีกครั้งก็เป็นช่วงกลางดึกของวันแล้ว เหล่าทหารช่วยกันเตรียมอาหารให้กับคนในกองทัพเผื่อเอาไว้กินตอนเช้าก่อนออกเดินทางด้วย ซูซูที่เห็นว่าคืนนี้พวกเขาน่าจะพักกันถึงเช้าจึงขอพี่ชายแยกตัวไปหาล้างหน้าล้างตาที่อีกด้านของลำธาร ความจริงนางอยากไปล่าสัตว์สักตัวสองตัวมาย่างกินเท่านั้น อ๋องเฉิงที่มองซูซูอยู่ตลอดย่อมรู้ดีว่านางซุกซนเพียงใด เมื่อเห็นนางใช้วิชาตัวเบาข้ามลำธารไปอย่างไม่เหนื่อยแรง พระองค์ก็รู้ว่านางคงไม่กลับมาหากไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือมาด้วยเป็นแน่ อ๋องเฉิงเดินไปหาสหายที่กำลังฝึกกระบี่ที่น้องสาวสอนรอเวลาที่ทหารจะนำอาหารมาให้พวกเขาทีหลัง“เจ้าไม่เป็นห่วงน้องสาวหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยนางไปเที่ยวเล่นคนเดียว”“อะไรของเจ้า น้องสาวข้าแค่ไปล้างหน้าล้างตาห่างจากขบวนนิดหน่อยเอง ประเดี๋ยวนางก็
รุ่งเช้าวันต่อมา ขบวนทัพก็ออกเดินทางต่อหลังจากทานข้าวเช้ากันเสร็จพร้อมกับแจกเสบียงกรังให้กับทหารทุกนายเพื่อกินระหว่างทางหากพวกเขาหิว ส่วนซูซูนั้นก็นำเนื้อกวางที่เหลือไม่น้อยมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วร้อยเป็นพวงส่งให้พี่ชายนางเก็บเอาไว้ในรถม้า กระบอกน้ำของนางกับพี่ชายรวมถึงของม้านางก็เติมเอาไว้เต็มเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางเช่นกัน กองทัพเดินทางเช่นนี้ไปจนกระทั่งสองเดือนต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายแดนตะวันออกแล้ว เมื่อเคลื่อนพลเข้าไปในเมืองพวกเขากลับพบว่าในเมืองแทบไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่แล้ว ตอนนี้มีเพียงทหารจำนวนไม่กี่พันคนเท่านั้นที่คอยเฝ้าเมืองเอาไว้ ทหารในเมืองเมื่อเห็นธงกองทัพของท่านอ๋องต่างส่งเสียงอย่างดีใจที่ในที่สุดกองทัพใหญ่ของพวกเขาก็มาถึงแล้ว หลังจากที่พวกเขาพยายามต้านทานกองทัพของแคว้นจ้านหลายหมื่นคนด้วยกำลังพลเพียงสามหมื่นเท่านั้น รองแม่
กว่าที่ซูซูจะเดินทางกลับถึงค่ายฝั่งแคว้นเจิ้งก็เกือบรุ่งสางแล้ว ฟางฉือห่าวที่ตามหาน้องสาวไม่เจอก็กระวนกระวายไม่น้อย อ๋องเฉิงที่รู้ข่าวว่าสหายหาน้องสาวไม่เจอก็ออกมาบอกให้องครักษ์ช่วยกันตามหาด้วยอีกแรง กระทั่งพบเห็นว่าม้าของนางนอนอยู่ที่ป่าอีกฝั่งของค่ายทหาร ทุกคนจึงรวมตัวกันรอนางอยู่ตรงนั้น ซูซูที่เร่งฝีเท้ากลับมาหาม้านางแทบหยุดเท้าไม่ทัน นางตกใจมากที่มีแสงไฟมากมายตรงจุดที่นางให้ม้ารออยู่ กระทั่งนางวิ่งมาถึงจึงเห็นท่าทางกระวนกระวายของพี่ใหญ่ ส่วนอ๋องเฉิงก็ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเป็นห่วงซูซูเช่นกัน นางได้แต่หดคออย่างกลัวว่าจะถูกพี่ชายดุ พอฟางฉือห่าวเห็นน้องสาวกำลังวิ่งมาเกือบถึงพวกเขาแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้าไปกอดซูซูอย่างห่วงใย“เจ้าไปไหนมา รู้ไหมพี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหนน่ะ”“อืม ข้ารู้ ข้ารู้ ขอโทษที่ทำให้พี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เอ่อ...ข้าแค่ไปสืบข่าวมาให้พวกท่านเท่านั้นเองอ่ะ”
เย็นวันนั้น ฟางฉือห่าวนำอาหารเข้าไปกินพร้อมกับน้องสาวที่กระโจมของนาง พอเข้าไปแล้วเขาเห็นว่าน้องสาวกำลังฝึกฝนลมปราณอยู่ ซูซูที่รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาภายในกระโจมของนาง นางจึงได้หยุดเดินลมปราณแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ พอเห็นว่าเป็นพี่ใหญ่ของนาง ซูซูจึงส่งยิ้มให้กับพี่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งพี่ชายของนางจัดเรียงอาหารเอาไว้เสียแทบจะเต็มโต๊ะ“รีบกินกันเถอะ จะได้รีบไปพักผ่อน มะรืนนี้พี่ใหญ่ต้องออกไปสั่งการรบแล้ว เจ้าอยู่ที่ค่ายก็ทำตัวดี ๆ เข้าใจหรือไม่”“อืม… ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านอย่ากังวลเลยน่า กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้วอ่ะ”“ตกลง ๆ เจ้าลองชิมนี่ดู พี่ใหญ่ให้พ่อครัวทำให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ” ฟางฉือห่าวคีบเนื้อชิ้นใหญ่ส่งลงในถ้วยข้าวน้องสาวพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาดีใจที่ได้นั่งกินอาหารกับน้องสาวเช่นนี้ เพราะเขาเองก็
ซูซูบังคับกระบี่บินของนางคอยปกป้องตนเองและต่อสู้กับแม่ทัพแคว้นจ้านอย่างดุเดือด เหล่าองครักษ์และรองแม่ทัพแคว้นจ้านพากันต้านกระบี่บินกันเป็นพัลวัน พวกเขาไม่มีแม้แต่จังหวะจะเข้าใกล้ซูซูด้วยซ้ำ อ๋องเฉิงขี่ม้าฝ่าเข้าไปเพื่อช่วยเหลือซูซู เหล่าองครักษ์ของท่านอ๋องและรองแม่ทัพเองก็ต่างเร่งไสม้าตามไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้กองทัพที่รออยู่ด้านข้างได้รุกเข้ามาแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้เกรงกลัวกองทัพของแคว้นจ้านแม้แต่น้อย จังหวะที่กองทัพแคว้นเจิ้งต่างกรูกันออกมาจากป่าข้างทาง แม่ทัพแคว้นจ้านจะออกคำสั่งให้ถอยทัพก็ไม่ทันเสียแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางกองทัพนับแสนของแคว้นเจิ้งแล้ว แม่ทัพแคว้นจ้านได้แต่กัดฟันต่อสู้กับซูซูไปได้เกือบร้อยกระบวนท่า ก่อนที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่บินของซูซูตวัดเฉือนเข้าที่ลำตัวจนตกจากหลังม้าเพราะหากเขาไม่หลบลงไปเขาต้องตายภายในกระบี่เดียวแน่
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ทหารในกองทัพต่างพากันเก็บกระโจมที่พักทั้งหมดแล้วบรรทุกลงไปยังเกวียนเหมือนขามา ส่วนเสบียงของพวกเขาก็ยังเหลืออีกไม่น้อย ทหารทั้งหนึ่งแสนนายสามารถอยู่ได้อีกหลายเดือน นี่ต้องขอบคุณตระกูลฟางที่ให้คนมาส่งมอบเสบียงตามรายทางจนมาถึงเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกพร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมาก ซูซูไปรับม้าของนางมาก่อนที่จะขี่มันไปยังข้างรถม้าของพี่ใหญ่นางดังเช่นที่ทำเป็นปรกติตั้งแต่ตอนเดินทางมายังเมืองชายแดน อ๋องเฉิงที่มองการเก็บกวาดค่ายก็ส่งคนไปส่งข่าวให้กับแม่ทัพกวนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว รวมทั้งยังส่งพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อแจ้งเสด็จลุงของเขาว่าจะบุกต่อไปยังแคว้นจ้าน อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่เขาจะเข้ายึดเมืองหลวงแคว้นจ้านได้และเขาจะส่งข่าวกลับไปเป็นระยะ ๆ หลังจากเห็นว่าทหารทุกคนเก็บสิ่งของเรียบร้อยแล้ว อ๋องเฉิงก็สั่งการให้กองทัพออกเดินทางไปยังค่ายชายแดนแคว้นจ้าน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เร่งรี
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา