ซูซูสะพายห่อผ้าห่อใหญ่อย่างไม่หนักแรงและคิดจะเดินไปร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยมของนาง ซูซูเดินดูร้านรวงต่าง ๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วไปตามทาง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีร้านใดที่นางจำเป็นจะต้องซื้อของนอกจากร้านเครื่องประดับ ซูซูจึงเดินเร็วขึ้นอีกหน่อยเพื่อรีบไปที่ร้านนั้นก่อนที่แดดจะแรงไปมากกว่านี้
แต่ก่อนที่ซูซูจะเลี้ยวไปยังถนนที่โรงเตี๊ยมของนางอยู่นั้น กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิตคร่ำครึมาขวางนางไว้เสียก่อน
“ขออภัยแม่นางที่ข้าต้องเสียมารยาท ไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไร และกำลังจะไปที่ไหนหรือ?”
“เจ้าเป็นใคร! เหตุใดจึงมาขวางทางข้าเช่นนี้ แล้วข้าชื่ออะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถอยไป!!!”
“แม่นางใจเย็น ๆ สิ ข้าแค่เข้ามาสอบถามเพราะอยากรู้จักแม่นางเท่านั้น ข้าเป็นถึงบัณฑิตของเมืองนี้เชียวนะ ปีหน้าข้าก็จะเข้าไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว แม่นางไม่คิดอ
รุ่งเช้าวันต่อมา ซูซูตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสมากกว่าเมื่อวาน นางตรวจดูสิ่งของว่าลืมสิ่งใดไว้อีกหรือไม่ ก่อนจะรีบเดินไปเปิดกลอนประตูรอให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำมาให้นางล้างหน้า รอไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูอย่างที่ซูซูคิดไว้ นางร้องบอกให้เสี่ยวเอ้อเข้ามาได้ เสี่ยวเอ้อนำน้ำไปวางให้ซูซูที่โต๊ะข้างเตียงเสร็จก็สอบถามว่านางจะกินอะไรเป็นมื้อเช้า“เอาอาหารขึ้นชื่อมาสักสามอย่างกับข้าวหนึ่งถ้วยก็พอ เช้านี้ข้าไม่ค่อยหิวนัก อ้อ เจ้าบอกเสี่ยวเอ้อที่ดูม้าให้ข้าด้วยว่าให้น้ำกับหญ้ามันได้เลย เพราะข้ากินข้าวเช้าเสร็จก็จะออกเดินทางแล้ว นี่เงินค่าอาหารหนึ่งตำลึง ที่เหลือเจ้าเก็บเอาไว้เถอะ”“ขอบคุณขอรับแม่นาง ข้าจะไปบอกเพื่อนให้ขอรับ ท่านรออาหารสักครู่ เดี๋ยวข้านำขึ้นมาให้นะขอรับ”“อืม เจ้ารีบไปเถอะ” เสี่ยวเอ้อรับคำซูซู
คืนนั้นกว่าที่ซูซูจะข้ามผ่านระดับปราณฟ้าได้ก็ปาเข้าไปเกินครึ่งคืนแล้ว นางรีบใช้วิชาตัวเบาวิ่งลงไปในลำธารเพื่อทำความสะอาดคราบสกปรกจากการข้ามระดับในทันที ดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้เปลี่ยนชุดนี้มาสามวันแล้ว ถือว่านางนำผ้ามาซักก็แล้วกัน หลังจากล้างเนื้อตัวจนสะอาดหมดจดแล้ว ซูซูก็ขึ้นจากน้ำแล้วนำเสื้อผ้าออกมาจากกำไลเก็บของเพื่อเปลี่ยนทันที ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของนาง ซูซูก็ใช้พลังลมปราณทำให้แห้งในเวลาไม่นาน ตอนนี้เป็นยามค่ำคืน หากนางตากเสื้อผ้าเอาไว้ก็คงโดนน้ำค้างเปียกเป็นแน่ ซูซูจึงใช้วิธีนี้เพื่อจะได้เก็บเสื้อผ้าเอาไว้ในกำไลเก็บของของนางต่อไป ซูซูเห็นว่าอีกไม่ถึงสองชั่วยามก็จะสว่างแล้ว นางจึงนั่งลงเดินลมปราณเพื่อปรับสมดุลต่อจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นนางจึงลืมตาขึ้นมา ม้าของซูซูได้แต่มองเจ้านายอยู่ห่าง ๆ ก่อนหน้านี้มันรู้สึกถึงพลังกดดันอันมหาศาลออกมาจากเจ้านาย มันจึงตื่นและถอยออกห่างจากจุดที่เจ้านายอยู่ จนถึงตอนที่ซูซูวิ่งเหมือนเหินบินไปยังลำธาร เจ้าม้าจึงได้เดินกลับมาจุดเ
เช้าตรู่วันต่อมา ซูซูลุกขึ้นมาจากกิ่งไม้และกระโดดลงไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธาร นางยังหาปลากับกุ้งมาย่างไฟกินก่อนที่จะออกเดินทางหาสมุนไพรต่อในวันนี้ เจ้าม้าของซูซูเองก็ลุกขึ้นเดินกินหญ้าโดยที่ซูซูไม่ต้องบอกเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มให้กับม้าที่นับวันยิ่งเชื่องมากขึ้นของนาง ซูซูหาปลากับกุ้งไม่นานนักก็ได้เพียงพอที่นางจะกินคนเดียวหมด ซูซูนำปลาไปทำความสะอาดพร้อมเสียบไม้ย่างไว้ กุ้งนางก็ล้าง ๆ และเสียบไม้ไว้เช่นเดียวกัน จากนั้นซูซูก็หาไม้ฟืนมาโยนใส่กองไฟให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางย่างปลากับกุ้งไปพร้อมกับร้องเพลงของนางอย่างอารมณ์ดี“ข้าทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่ว่าใครมาเพ่งเล็งหาเรื่อง ข้าก็ไม่คิดจะกลัว หากใครกล้ามาก่อกวน ปั่นป่วนให้ข้าโมโห กระบี่บินด้ามโตของข้า จะแสดงอานุภาพให้พวกเจ้าเห็นเอง ลา ล้า ลา” ซูซูฮัมเพลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปลากับกุ้งสุก นางเป่ามันก่อนจะค่อย ๆ กินเพราะกลัวว่าอาหารจะลวกปากน้อย ๆ ของนางเสียก่อน กระทั่งหนึ่งคนหนึ่งม้าต่
หลังจากซูซูแยกออกมาอีกทาง นางก็ยังคงมองหาสมุนไพรอย่างไม่เร่งรีบเช่นเคย กระทั่งเดินทางมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์แล้วและนางไม่พบกลุ่มของเจ้าหน้ากากอีก นางจึงคิดว่าพวกเขาคงออกจากหุบเขาไปแล้วเป็นแน่ ซูซูเหงาไม่น้อยที่นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาจึงได้แต่เดินทางต่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับม้าของนางต่อ แต่ขณะที่นางกำลังจะหาที่พักในคืนนี้ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนถือดาบเข้ามาทางนางเสียก่อน“โอ้ แม่นางน้อยช่างสวยจริง ๆ ถ้าเราจับนางไปให้เจ้านายล่ะก็ รางวัลใหญ่ต้องเป็นของเราแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”“นั่นสิ ๆ ไม่คิดเลยว่าหลังจากออกปล้นแล้วกำลังจะกลับ พวกเรายังจะได้ของดีไปฝากเจ้านายอีก ฮ่า ฮ่า” ซูซูได้แต่มองกลุ่มคนกักขฬะนับสิบที่ถือดาบอยู่อย่างเหยียดหยาม นางไม่คิดจริง ๆ ว่าในภูเขาลึกแห่งนี้จะมีรังโจรซ่อนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมันเป็นโจร แน่นอนว่าหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งมีคุณธรรมอย่างนางจะต้องจัดการคนเหล่านี้ใ
หลังออกจากค่ายโจรแล้ว ซูซูก็มองหาม้าของนางจนพบ คราวนี้ซูซูขึ้นม้าขี่กลับไปทางที่นางมาเพื่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อในยามค่ำคืน ซูซูในคืนนี้ไม่ได้จุดคบไฟ เพราะคืนนี้แสงจันทร์ช่างส่องสว่างนัก ทำให้การเดินทางในคืนนี้ไม่ลำบากทั้งนางและม้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเช้า ซูซูให้ม้าหยุดพักและกินน้ำกินหญ้าก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ส่วนนางนั้นนั่งกินเนื้อตากแห้งไปพลาง ๆ และคิดว่าจะออกจากเส้นทางภูเขาลองดูว่านางจะสามารถวิ่งบนเส้นทางปกติได้หรือยัง จะได้ช่วยลดเวลาการเดินทางลงได้บ้าง เพราะตอนนี้ซูซูอยู่ในภูเขาได้หนึ่งเดือนแล้ว นางจึงอยากลองออกไปเดินทางปกติเผื่อว่าจะเจอผู้คนให้ถามทางได้บ้าง หลังจากหนึ่งคนหนึ่งม้าอิ่มท้องแล้ว ซูซูยังคงให้ม้าออกไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จนกระทั่งสามวันต่อมา นางและม้าก็เข้าสู่เส้นทางถนนปกติเสียที ซูซูเห็นว่าม้าเหนื่อยไม่น้อยแล้ว อีกอย่างนางไม่ค่อยได้หยุดพักบ่อยนักและน้ำในกระบอกไม้ไผ่ของนา
หลังจากพักผ่อนจนมีเรี่ยวแรงกลับมาเต็มที่อีกครั้งแล้ว ซูซูก็เดินนำหน้าม้าของนางต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดิม เดินกันอยู่ไม่นานก็พบกับไก่ป่าอีกครั้ง ซูซูใช้กระบี่บินจัดการไก่ป่าอย่างรวดเร็ว นางทำเพียงโยนไก่เข้าไปในกำไลเก็บของเท่านั้น เพื่อที่จะล่าสัตว์ต่อไปได้อย่างสะดวก เดินต่อไปอีกเกือบสามชั่วยาม ซูซูก็มองเห็นหมูป่าตัวใหญ่กำลังกินพืชอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกลนัก นางยิ้มน้อย ๆ แล้วบังคับกระบี่บินไปเสียบเข้าที่คอของหมูป่าทันที มันดิ้นรนอยู่สักพักก็สิ้นลมไป ซูซูใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปถึงที่ที่หมูนอนตายอยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจสอบดูอีกครั้งจนแน่ใจว่าหมูป่าตายแล้ว ซูซูที่คิดจะโยนหมูป่าเข้ากำไลเก็บของก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อนางมองในกำไลของตนเองแล้วเห็นเสื้อผ้าที่เพิ่งซักไว้ นางกลัวว่าเลือดหมูจะทำให้เสื้อผ้านางมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซูซูจึงใช้พลังลมปราณแบกหมูป่าไปยังทิศทางเดิมของนาง ซูซูมองแผนที่ก่อนหน้านี้แล้วว่านางจะออกจากภูเขานี้ได้ในอีกไม่นานและไปถึงถนนใหญ่ แน่นอนว่าอีกไม่
องครักษ์ที่ติดตามอ๋องเฉิงในครั้งนี้ต่างพากันไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะยอมซื้อหมูป่าในราคาสูงถึงหนึ่งพันตำลึงจริง ๆ พวกเขาไม่กล้าสอบถามว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงได้ทำเช่นนี้ องครักษ์ชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่ออกเดินทางไปนอกเมืองหลวงกับอ๋องเฉิง พวกเขาจึงไม่เคยพบซูซูมาก่อน เพราะพวกเขาเป็นองครักษ์คนสนิทที่คอยทำงานในเมืองหลวงให้กับท่านอ๋องเวลาพระองค์ไม่อยู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ทราบที่มาของแม่นางคนงามที่ท่านอ๋องขอซื้อหมูป่าก่อนหน้านี้ พวกเขาได้แต่คิดในใจว่ารอให้ไปถึงค่ายทหารเสียก่อน เขาจะสอบถามองครักษ์ที่ติดตามท่านอ๋องออกนอกเมืองว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็นใคร ภายในเมืองหลวงก็วุ่นวายกันไม่น้อย ด้วยข่าวลือที่แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วว่าอ๋องเฉิงนั้นพูดคุยอย่างสนิทสนมกับแม่นางน้อยรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า แถมยังแข็งแกร่งกว่าหญิงสาวทั่วไปอีกต่างหาก ข่าวลือที่ผิดเพี้ยนไปเพราะกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงกลายเป็นว่า ท่านอ๋องมีไมตรีกับสตรีแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่สามารถเป็นพยานได้หลายคน
หลังจากเสี่ยวเอ้อวางอาหารเรียบร้อยแล้ว ซูซูก็บอกเขาว่าหากนางกินเสร็จจะนำถ้วยชามวางไว้ที่หน้าห้อง เขาค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน และห้ามไม่ให้ใครมารบกวนนางพักผ่อนด้วย เสี่ยวเอ้อพยักหน้ารับคำแขกที่ดูจะร่ำรวยไม่น้อยจนถึงขนาดได้เข้าพักในห้องใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยม แถมอาหารของนางยังมีแต่อาหารขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย เมื่อซูซูสั่งเสี่ยวเอ้อเสร็จนางก็บอกให้เขาออกไปได้ นางจะกินข้าวแล้วจะได้รีบพักผ่อน เสี่ยวเอ้อรีบขอตัวออกไปจากห้องของนางในทันใด เขามัวแต่ตกตะลึงกับความงามของนางจนลืมไปว่านางสั่งงานเขาเสร็จแล้ว โชคดีที่แม่นางน้อยไม่คิดว่าเขาทำกิริยาไม่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเถ้าแก่ไล่ออกเป็นแน่ ซูซูที่เข้าใจดีว่าตนเองสวยสดงดงามมากเพียงใดก็ไม่ได้ถือสาเสี่ยวเอ้อที่มัวแต่ตะลึงในความงามของนาง ซูซูนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นับว่าที่นี่สมแล้วกับที่มีคนแนะนำน
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา