ซูซูกับม้าของนางเดินทางผ่านภูเขามาแล้วถึงสามลูก ระหว่างการเดินทางนางก็คอยหาล่าสัตว์ป่ามากินบ้าง วันไหนขี้เกียจนางก็นำเนื้อตากแห้งที่ซื้อเอาไว้มาย่างกินง่าย ๆ สิบกว่าวันมานี้ นางกับม้าไม่ได้เหนื่อยล้าอะไรมากนัก เหมือนกับว่าซูซูเพียงแค่มาเที่ยวชมภูเขาเพียงเท่านั้น นางโชคดีที่บนภูเขามีสมุนไพรอยู่บ้าง ซูซูจึงเก็บเอามาไว้ขายในเมืองเฉียนโจว คราแรกนางไม่คิดจะเข้าไปในเมือง แต่พอเห็นว่าตนเองนั้นไม่ได้นอนในโรงเตี๊ยมดี ๆ มาสิบกว่าวันแล้ว นางจึงอยากพักผ่อนดี ๆ สักคืนก่อนออกเดินทางตามแผนที่ต่อไป อีกอย่างคือเนื้อแห้งของนางเองก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย ซูซูจึงอยากซื้อเนื้อแห้งเป็นเสบียงเอาไว้อีกหน่อย
หนึ่งคนหนึ่งม้าเดินทางออกจากภูเขาไปตามทางปกติเมื่อเห็นว่าในแผนที่เส้นทางนั้นหมดช่วงของภูเขาแล้ว ซูซูฮัมเพลงไปขี่ม้าไปอย่างไม่เร่งรีบ ม้าของนางเองก็เคยชินกับการใช้ชีวิตร่วมกับซูซูแล้ว และดูเหมือนมันจะอารมณ์ดีเวลาที่ซูซูร้องเพลงของนางไปตามทางเสียด้วย ม้าวิ่งตามจังหวะการร้องเพลงของซูซูจนนางรู้สึ
หลังรับเงินแล้ว ซูซูก็ขอตัวออกจากร้านไป นางขึ้นม้าแล้วขี่หาโรงเตี๊ยมดีๆ สักแห่งในเมืองนี้ โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่ไม่มีที่สำหรับดูแลม้านั้นซูซูทำเพียงแค่เดินทางผ่านไปเท่านั้น กระทั่งมาถึงถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่มีร้านขายของมากมายอยู่ตามสองข้างทาง ซูซูมองเห็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก นางจึงให้ม้าเดินเร็วขึ้นนิดหน่อยเพื่อที่จะได้ให้ม้าของนางพักผ่อนเสียทีหลังจากเดินทางกันโดยไม่หยุดพักมาหนึ่งวันเต็ม ๆ ซูซูมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมเรียกหาเสี่ยวเอ้อให้นำม้าของนางไปดูแลทันที พร้อมกับให้เงินหนึ่งตำลึงเป็นค่าดูแลเหมือนเคย แต่ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปสั่งอาหารขึ้นไปกินบนห้อง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาอย่างหยาบโลน จนทำให้ซูซูหันไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่พอใจ นางพบว่าที่โต๊ะด้านในมีชายสี่คนที่ดูจะมีวรยุทธอยู่บ้างที่เป็นพวกปากมากมาแซวนาง“ว่าอย่างไรน้องสาว มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนพวกพี่ชายสักหน่อยดีหรือไม่”“ฮึ ข้าหรือจะมีพี่ชายหน
ซูซูที่กินข้าวและอาบน้ำแล้วก็นอนพักผ่อนอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้นางจะเดินทางต่อตั้งแต่หลังอาหารเช้า นางสอบถามเสี่ยวเอ้อแล้วว่าม้าของนางยังสบายดีอยู่และได้รับการดูแลอย่างดีจึงได้เบาใจ รุ่งเช้าวันต่อมา ซูซูรีบตื่นแต่เช้าและเปิดประตูรอให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตา ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูขอเอาน้ำเข้าไปให้นาง ซูซูส่งเสียงบอกให้เขาเข้ามาได้เลย นางไม่ได้ล็อกประตู เสี่ยวเอ้อรีบเข้าไปนำอ่างล้างหน้าไปวางให้ซูซูที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนที่เขาจะสอบถามว่านางต้องการทานอะไรในเช้าวันนี้บ้าง เขาจะได้ไปเตรียมนำมาส่งให้นางที่ห้อง“เอาอาหารขึ้นชื่อของเจ้ามาสามสี่อย่าง นี่เงินหนึ่งตำลึง เงินทอนไม่ต้องคืนข้า เจ้าแวะไปดูม้าให้ข้าด้วยว่ามันได้กินน้ำกินหญ้าแล้วหรือยังตอนเอาอาหารมาให้ข้าค่อยมาบอกทีเดียว”“ขอบคุณขอรับแม่นาง ประเดี๋ยวข้าจะไปดูให้ขอรับ ข
วันนี้ซูซูกับม้าของนางไม่ได้หยุดพักค้างคืน แต่ซูซูสร้างคบไฟส่องทางให้ม้าของนางเดินทางต่อในช่วงกลางคืน พรุ่งนี้เช้านางค่อยหยุดพักพร้อมกับม้าของตนเองก็ยังไม่สาย เพราะการเดินทางในป่าเขานั้น ม้าของนางแทบจะไม่ได้ออกแรงวิ่งอะไรมากมายนัก มันเพียงแต่วิ่งเหยาะ ๆ อย่างช้า ๆ เท่านั้นเอง ซูซูกับม้าของนางเดินทางไปจนฟ้าสางสว่าง ตรงหน้านางไม่ไกลมองเห็นกระท่อมโทรม ๆ อยู่แห่งหนึ่ง นางได้แต่หันมองซ้ายมองขวาว่ามีเจ้าของกระท่อมหรือไม่ เมื่อมองอย่างไรก็น่าจะเป็นกระท่อมร้าง ซูซูจึงหยุดม้าเพื่อให้มันพักผ่อนกินน้ำกินท่าเสียก่อน อีกย่างกระท่อมหลังนี้ยังอยู่ใกล้กับลำธารสายหนึ่งด้วย นับว่าสะดวกที่นางจะซักเสื้อผ้าและกรอกน้ำใส่กระบอกไม่น้อย รวมทั้งคืนนี้ซูซูไม่ต้องขึ้นไปนอนบนต้นไม้ด้วย ซูซูปล่อยม้าให้เดินไปกินน้ำกินหญ้าเองอย่างเคยชิน ส่วนนางเดินเข้าไปสำรวจกระท่อมก็พบว่ามีเตียงไม้ไผ่อยู่เพียงอันเดียวเท่านั้น ในกระท่อมนี้ไม่มีสิ่
เมื่อซูซูขี่ม้าไปถึงบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว นางจึงลงจากหลังม้าแล้วร้องเรียกหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ไม่นานนักก็มีชายสูงวัยมาเปิดประตู“เจ้ามีอะไรถึงได้มาเรียกข้าที่บ้านแม่นาง”“ข้าอยากทราบว่าที่หมู่บ้านนี้พอจะมีบ้านว่างให้ข้าเช่าพักสักคืนหรือไม่เจ้าค่ะ รวมทั้งข้ายังอยากขอซื้ออาหารที่ท่านทำจากท่านด้วยเจ้าค่ะ”“อ้อ เช่นนั้นเจ้าตามข้าไปดูบ้านว่างก่อนก็แล้วกัน รอข้าที่หน้าบ้านประเดี๋ยวนะ ข้าจะเข้าไปเอากุญแจบ้านก่อน”“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก” ซูซูยืนรอที่หน้าประตูบ้าน ไม่นานนักหัวหน้าหมู่บ้านก็นำกุญแจออกมาพร้อมกับภรรยาของเขาก็ออกมาด้วยเช่นกัน เพราะที่บ้านนั้นไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว นางจึงคิดที่จะไปทำความสะอาดให้กับแม่นางน้อยหน้าตาสะสวยคนนี้ที่มาขอเช่าบ้านพวกนาง“เจ้าจ
หลังจากดูแลม้าเสร็จแล้ว ซูซูก็เดินไปปิดรั้วหน้าบ้านก่อนที่จะเดินเข้าบ้านพร้อมกับล็อกกลอนเอาไว้ป้องกันคนเข้ามา ส่วนม้าของนางก็นอนเฝ้าอยู่ด้านนอก ซูซูเดินถือตะเกียงที่สองผัวเมียหัวหน้าหมู่บ้านนำมาให้เข้าไปในห้องนอน ก่อนที่นางจะดับไฟแล้วนอนลงไปเพื่อพักผ่อน ไฟที่บ้านหวางในคืนนี้ยังไม่ทันดับลง เด็กน้อยที่ถูกส่งไปดูว่าซูซูหลับไปหรือยังรีบวิ่งกลับบ้านเมื่อเห็นว่าแสงไฟในบ้านหายไปแล้ว เมื่อถึงบ้านแล้วเขาก็รีบรายงานสถานการณ์ที่บ้านของซูซูให้ทุกคนฟังทันที“อืม เช่นนั้นพวกเรารออีกสักหนึ่งชั่วยาม รอให้นางหลับลึกเสียก่อนค่อยลงมือ หากไปตอนนี้นางน่าจะได้ยินเสียงผิดปรกติเอาได้”“ท่านแม่ แล้วท่านจะให้ข้าเข้าบ้านนางอย่างไรขอรับ”“เจ้านี่นะ เจ้าก็ปีนเข้าไปเองสิ ส่วนบ้านด้านในเจ้าก็หาประตูหรือหน้าต่างที่ดูซอมซ่อหน่อยพังเข้าไปก็สิ้นเรื่องแล้ว หากนางหลับลึกขนาดนั้นคงไม่ได้ยินเส
ซูซูใช้วิชาตัวเบาไปยังบ้านหัวหน้าหมู่บ้านไม่ถึงหนึ่งก้านธูป นางร้องเรียกหัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาว่านำถ้วยชามมาให้แล้ว หัวหน้าหมู่บ้านรีบออกมาเปิดประตูให้ซูซูทันทีพร้อมกับรับถ้วยชามมาถือเอาไว้“ไม่ทราบแม่นางจะให้พวกข้านำอาหารไปส่งเลยหรือไม่ขอรับ เหลืออาหารอีกหนึ่งอย่างก็เสร็จแล้วขอรับ”“ไม่เป็นไร ข้าจะยกไปเอง ข้าขอยืนรอถาดอาหารตรงนี้ก็แล้วกัน ท่านรีบเข้าไปเตรียมอาหารใส่ถาดก่อนเถอะ หลังกินข้าวแล้วข้าจะออกจากหมู่บ้านเลย พวกท่านก็ไปเก็บจานชามที่นั่นเองก็แล้วกัน”“ขอรับแม่นาง ข้าต้องขอโทษเรื่องเมื่อคืนอีกครั้งนะขอรับ เดี๋ยวสาย ๆ ข้าจะพาพวกเขาไปที่ว่าการอำเภอไม่ไกลนี้เอง ขอให้แม่นางวางใจว่าพวกเขาจะถูกลงโทษจากทางการอย่างแน่นอนขอรับ”“อืม ขอบคุณท่านมากหัวหน้าหมู่บ้าน” หัวหน้าหมู่บ้านคุยเสร็จก็รีบเดินเข้าไปตักอาหารใส่ถ้
รุ่งเช้าวันต่อมา ซูซูที่ได้นอนเต็มอิ่มก็ลุกขึ้นแต่เช้าไปเปิดประตูเพื่อรอให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำมาให้นางล้างหน้า นั่งรอที่โต๊ะไม่นานนักก็มีเสียงประตูถูกเคาะดังขึ้น ซูซูส่งเสียงบอกให้เขาเข้ามาได้ เสี่ยวเอ้อที่ยกน้ำมาให้นางล้างหน้ารีบยกน้ำเข้าไปวางที่โต๊ะข้างเตียงให้ลูกค้าใหญ่ของเขา“เจ้านำอาหารขึ้นมาให้ข้าหลังจากนี้ด้วยนะ นี่เงินหนึ่งตำลึง ขอเป็นอาหารขึ้นชื่อของเจ้าสักสามสี่อย่างพร้อมข้าวหนึ่งถ้วยก็แล้วกัน หนึ่งตำลึงนี่พอหรือไม่?”“พอขอรับแม่นาง เดี๋ยวข้าจะไปสั่งพ่อครัวให้ท่านนะขอรับ ท่านรอสักครู่”“อืม เช่นนั้นเงินทอนเจ้าไม่ต้องเอามาคืนข้า เจ้าเก็บเอาไว้ได้เลย”“ขอบคุณขอรับแม่นาง” เสี่ยวเอ้อรีบไปทำตามคำสั่งพร้อมรอยยิ้ม ค่าอาหารอย่างมากก็ไม่เกินหกร้อยอีแปะ เขายังคงได้รับเงินทอนเป็นค่าดูแลนางอีกครั้ง ทำให้เสี่ยวเอ้อตั
ซูซูสะพายห่อผ้าห่อใหญ่อย่างไม่หนักแรงและคิดจะเดินไปร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยมของนาง ซูซูเดินดูร้านรวงต่าง ๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วไปตามทาง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีร้านใดที่นางจำเป็นจะต้องซื้อของนอกจากร้านเครื่องประดับ ซูซูจึงเดินเร็วขึ้นอีกหน่อยเพื่อรีบไปที่ร้านนั้นก่อนที่แดดจะแรงไปมากกว่านี้ แต่ก่อนที่ซูซูจะเลี้ยวไปยังถนนที่โรงเตี๊ยมของนางอยู่นั้น กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิตคร่ำครึมาขวางนางไว้เสียก่อน“ขออภัยแม่นางที่ข้าต้องเสียมารยาท ไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไร และกำลังจะไปที่ไหนหรือ?”“เจ้าเป็นใคร! เหตุใดจึงมาขวางทางข้าเช่นนี้ แล้วข้าชื่ออะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถอยไป!!!”“แม่นางใจเย็น ๆ สิ ข้าแค่เข้ามาสอบถามเพราะอยากรู้จักแม่นางเท่านั้น ข้าเป็นถึงบัณฑิตของเมืองนี้เชียวนะ ปีหน้าข้าก็จะเข้าไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว แม่นางไม่คิดอ
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้ อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม
ก่อนเข้าไปยังโถงรับแขกของเรือนหลัก ฟางฉือห่าวสั่งให้บ่าวเก็บของฝากลงมาให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วเดินตามหลังทุกคนเข้าไปนั่งตามตำแหน่งเดิม“ซูซู ลูกเป็นยังไงบ้าง เหตุใดจึงได้ดำคล้ำเช่นนี้เล่า”“แฮะ ๆ ลูกขี่ม้าตากแดดเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาขาวเหมือนเดิมแล้วนะเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ เช่นนั้นช่วงนี้แม่จะให้แม่นมกับคนของแม่ไปดูแลช่วยบำรุงผิวให้เจ้าจนกว่าจะหายก็แล้วกัน เจ้ายิ่งดูแลตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ของพวกนี้เป็นของฝากจากแคว้นจ้านที่ข้ากับน้องซื้อมาฝากพวกท่าน ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่นะขอรับ” ฟางฉือห่าวเห็นบ่าวยกสิ่งของต่าง ๆ เข้ามามากมายจึงรีบออกหน้าให้พ่อกับแม่ของเขาก่อนที่จะบ่นน้องส