“เจ้า!นางหญิงบ้านี่” จูจ้งสบถเสียงลั่น อยากลุกมาทุบตีคนที่ลงมือทำร้ายตนเองใจแทบขาดทว่าความเจ็บปวดจากกระดูกนิ้วที่บิดเบี้ยวทำให้เขาทรมานแทบตาย ไม่ต้องให้เยว่อวิ๋นลงมือซ้ำ เขาก็ร่ำไห้กรีดร้องขอความเมตตาไม่หยุดปากแล้ว“แม่นาง ท่านหมอจูเสียมารยาทจึงถูกสั่งสอนก็สมควรแล้ว แต่เรื่องของคุณหนูพวกเรานั้นหมดหนทางแล้วจริงๆ ขอร้องท่านโปรดให้ความช่วยเหลือด้วยเถอะขอรับ” เฉียนซานไม่สนใจหมอจู เขาก้าวเข้ามาประสานมือขอร้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างนอบน้อมเยว่อวิ๋นมีความสงสารเด็กน้อยอยู่เป็นทุนเดิม ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ออกปากเตือนจูจ้งแต่แรก อีกทั้งยังลงมือทำบางอย่างลงไปด้วย“นำทางสิ” หากไม่เพราะนางจงใจสั่งสมุนไพรเฉ่าเย่ที่สามารถออกฤทธิ์ทางกลิ่นออกมาในยามนั้น อาการของเด็กน้อยมีหรือแสดงออกให้เห็นเร็วเพียงนี้เพราะกลิ่นของเฉ่าเย่ไปกระตุ้นตัวยาที่ถูกสั่งจ่ายให้ออกฤทธิ์เร็วขึ้น ต่อให้พวกเขาไม่มาตามหานาง ก็ต้องพาเด็กไปหาหมอคนอื่น เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เจ้าหมอเถื่อนนี่สั่งยาไม่เหมาะกับอาการของเด็กก็จะถูกเปิดเผยออกมาเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเจ้าหมอเถื่อนนี่จะมีมากนัก จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับเกือบจะคาดเดา
เยว่อวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย ฟังจากคำพูดพอเดาได้ว่าคงเป็นเจ้านายของหงจือหลิน ทว่าเสียงของผู้มาใหม่นั้นฟังดูอ่อนเยาว์จนคาดไม่ถึง นางจึงอดหันมองไปยังต้นเสียงมิได้ครั้นหันไปมองสายตาก็เห็นเห็นบุรุษหนุ่มวัยประมาณยี่สิบปีผู้หนึ่ง คนผู้นั้นก้าวเข้ามายืนนิ่งอยู่หน้าประตู ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเรียบเฉย ทว่าความเย็นชาและความน่าเกรงขามที่สะท้อนออกมานั้นทำให้คนมิอาจมองข้าม“ถ้าหากนางรักษาเยี่ยนเยี่ยนได้ ก็แสดงว่าเจ้าวินิจฉัยผิดพลาด ถึงตอนนั้นหมอจูเจ้าจะต้องยอมรับผลที่ตามมา”“นายท่าน!” จูจ้งอุทาน ใบหน้าซีดขาว “เรื่องนี้…”กู้เหยียนเซียวไม่รอให้หมอจูพูดต่อก็ยกมือห้าม ชายหนุ่มหันไปทางเยว่อวิ๋นแล้วก่อนจะเอ่ยเนิบๆ “รบกวนแม่นางแล้ว”“นายท่าน อย่าหลงเชื่อนางนะขอรับ นางก็แค่พวกสิบแปดมงกุฏที่หวังคิดจะมาหลอกเอาเงิน ไม่ใช่หมอมีฝีมืออะไร” จูจ้งตะโกนค้านเสียงดังเพื่ออนาคตของตัวเอง จูจ้งรู้ดีว่าไม่ควรให้มีการรักษาเกิดขึ้น เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าความผิดพลาดเกิดจากการที่เขาตรวจโรคผิด จนทำให้อาการคุณหนูทรุดมานานขนาดนี้ เขาต้องถูกขับออกจากหงจือหลินเป็นแน่เห็นเยว่อวิ๋นขมวดคิ้วชะงักมือที่กำลังจะลงเข็มค้างไว้ ความเย็นชาในแ
นางเอ่ยคำพูดเรียบง่ายทว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เฉียนซานกับหลันอีจะตกตะลึงพูดไม่ออก กู้เหยียนเซียวที่มีท่าทีสุขุมมาตลอดเองยังนิ่งอึ้งอยู่เป็นนานที่แท้บุญคุณของพวกเขาก็สามารถทดแทนได้ด้วยเงิน กู้เหยียนเซียวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อำนาจความมั่งคั่งที่พวกตนยึดติด ในใจสตรีชาวบ้านคนหนึ่งยังมิสู้เงินตำลึงเสียด้วยซ้ำคิดพลางเผยรอยยิ้มอ่อนจางสายหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เยว่อวิ๋นไม่มองท่าทีประดักประเดิดของเขา นางไม่มีความคิดอยากประจบประแจงผู้อื่นอยู่แล้ว ทำไมต้องสนใจว่าอีกฝ่ายจะมองตนอย่างไรด้วยเล่าความเงียบก่อตัวขึ้นในห้อง หลันอีไม่เข้าใจถึงคลื่นใต้น้ำระหว่างน้องสามีกับเยว่อวิ๋น ทว่านางมองออกถึงท่าทีขีดเส้นแบ่งแยกของหญิงสาวตรงหน้า จึงไม่กล่าวคำพูดอะไรออกมาอีก“เยี่ยนเยี่ยน เป็นอย่างไรบ้างลูก” เห็นร่างเล็กบนเตียงมีการเคลื่อนไหว หลันอีส่งเสียงขึ้นมาอย่างยินดี เยว่อวิ๋นเดินเข้าไปคว้าข้อมือเด็กหญิงมาตรวจดูชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะกล่าว“ที่ไข้ไม่ยอมลดเพราะในตัวเด็กมีพิษร้อนสะสมอยู่ ข้าได้ฝังเข็มขับความร้อนออกมาแล้ว ให้กินยาตามที่เขียนไว้ต่ออีกห้าวัน ในช่วงนี้หากมีอาการตัวร้อนก็ให้ใ
“พี่สะใภ้ พวกเขาไม่ได้สร้างความลำบากให้ท่านใช่หรือไม่”เห็นเยว่อวิ๋นเดินออกมา ชิงหลัวที่รออยู่ก็รีบเข้ามาไต่ถามด้วยความเป็นห่วงทันที สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนเห็นหมอจูถูกลากออกมา ในใจนางหวาดกลัวแค่ไหน“ไม่นี่ จบเรื่องแล้วพวกเราไปซื้อขนมแล้วกลับกันเถอะ” เยว่อวิ๋นกล่าวยิ้มๆ ในใจยิ่งรู้สึกดีกับสาวน้อยตรงหน้าขึ้นมาอีกโข ทั้งที่หวาดกลัวแต่อีกฝ่ายก็ยังยืนหยัดรอนางออกมาไม่ยอมจากไปก่อนโดยไม่รอฟังคำตอบ เยว่อวิ๋นก็ลากชิงหลัวมุ่งหน้าไปยังร้านขนมฝั่งตรงข้ามหงจือหลินทันที นางใช้จ่ายดุจพายุไปอีกเกือบสองตำลึง จากนั้นจึงค่อยพากันเร่งฝีเท้ากลับยังจุดจอดเกวียนที่นัดไว้กับเซี่ยต้าจินตอนที่พวกนางมาถึงที่เกวียนวัวจอด ก็เห็นเซี่ยต้าจินกำลังคอยอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล เยว่อวิ๋นรู้ว่าตนเองทำให้ผู้อื่นต้องเสียเวลาแล้ว จึงเข้าไปกล่าวขออภัยอย่างตรงไปตรงมา“ข้าทำธุระนานไปหน่อย ทำให้พี่ต้าจินต้องรอแล้ว”เซี่ยต้าจินเป็นคนเรียบง่าย เดิมเขาเห็นชิงหลัวกับเยว่อวิ๋นถึงเวลาแล้วยังไม่มา ในใจก็นึกร้อนรนเกรงว่าพวกนางจะมีอันตราย สีหน้าที่แสดงออกจึงไม่ค่อยดีนัก ยามนี้เห็นคนกลับมาไม่มีปัญหาอะไร รอยยิ้มอารมณ์ดีพลันค่อยกลับคื
อู๋ซื่อเสแสร้งเสียจนเคยชิน ยามนี้ถูกเยว่อวิ๋นเอาความจริงมาพูดแบบตรงไปตรงมา นางพลันพูดไม่ออกได้แต่ยืนบื้อใบ้ไร้คำกล่าว ใบหน้าเห่อร้อนราวกับถูกคนตบก็ไม่ปานแน่นอนว่าอู๋ซื่อย่อมนึกอยากโต้แย้งเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง ว่าสิ่งที่เยว่อวิ๋นเอ่ยมานั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทว่านางกลับคิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดีทางด้านหลัวซื่อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร นางไม่เข้าใจจริงๆ ยามปกติเวลาผู้หญิงในหมู่บ้านทะเลาะกัน ใครบ้างเล่าไม่ก่นด่าร่ำไห้โวยวายหาข้อให้ตนเองได้เปรียบนางไม่เคยเห็นผู้ใดเป็นเหมือนคนตรงหน้า ที่แค่เอ่ยปากไม่กี่คำก็จะลงมือตบตีคนเสียแล้ว“สะใภ้รองเซี่ย เจ้ารังแกคนเกินไปแล้ว” หลัวซื่อกล่าว นางโกรธจนแทบพูดไม่เป็นคำพูด เยว่อวิ๋นเลิกคิ้วสูง เอ่ยประโยคสั้นๆ คล้ายไม่ใส่ใจ “เจ้าจะลองดูก็ได้นะ”ไม่ใช่ว่าหลัวซื่อไม่อยากลอง แต่พอคิดถึงภาพเซี่ยหยวนชางเมื่อตอนเช้า นางก็ไม่กล้าเสี่ยงหาเรื่องเจ็บตัว“ฮึ! ถือว่าข้าตาบอดไปเองแล้วกัน” เซี่ยหยวนชางเป็นบุรุษยังถูกอีกฝ่ายฟาดจนศีรษะแทบทิ่มนางหรือจะรอดเมื่อหลัวซื่อกับอู๋ซื่อยอมถอย จ้าวซื่อกับหญิงสาวที่ชื่อสวีเหยาก็ไม่กล้าสอดปากวุ่นวายอีก เยว่อวิ๋นก
เซี่ยต้าจวงเห็นว่านางมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ จึงเป็นฝ่ายประณีประนอม “ได้ ต่อไปเจ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็มาบอกข้าแล้วกัน”เยว่อวิ๋นยิ้มรับ นางส่งต้าจวงจากไป ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านเพื่อจัดการสิ่งของที่ซื้อมาในห้องครัว สองพี่น้องกำลังช่วยกันจัดเรียงข้าวของอย่างขมักเขม้น มองบรรดาเครื่องปรุงที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ในใจเยว่อวิ๋นยิ่งอดนึกเอ็นดูไชเท้าสองหัวของตนไม่ได้ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจริงๆหญิงสาวพับแขนเสื้อ ยกข้าวสารที่ซื้อมาเทลงถัง ไม่นานถังเปล่าก็บรรจุแน่นไปด้วยเมล็ดข้าวสีขาวสะอาดตา จากนั้นจึงเริ่มนำซีอิ้ว เกลือ แป้ง รวมถึงเนื้อทั้งหลายออกมาจัดเข้าที่ ต้าเป่ากับเสี่ยวอวี้มองห้องครัวที่อุดมสมบูรณ์แล้วอ้าปากค้าง“ท่านพี่ ข้าฝันไปหรือเปล่าเจ้าคะ” เสี่ยวอวี้หันไปถามพี่ชายเบาๆ ต้าเป่าส่ายหน้าไม่พูดอะไร แต่คิดในใจว่า ถ้าเป็นฝันจริงเขาจะไม่ยอมตื่นโดยเด็ดขาดสามแม่ลูกใช้เวลาอยู่ในครัวพักใหญ่ จึงสามารถจัดการข้าวของที่ซื้อมาได้หมด เยว่อวิ๋นที่เหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อโทรมกายหันไปมองหน้าลายประหนึ่งแมวป่าของเด็กสองคนข้างกาย ก่อนจะหัวเราะขบขันออกมามองแสงแดดที่เริ่มอ่อนลงแล้ว เยว่อวิ๋นจึงตัดสินใจพาเ
ชายหนุ่มคิดแล้วค่อยผ่อนคลายความระแวดระวัง เยวอวิ๋นที่กำลังไล้ปลายมีดผ่านตามคางและแก้มชายหนุ่ม สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายลดการป้องกันลงแล้ว ก็ผงกศีรษะขึ้นลงอย่างพอใจนางรำคาญเจ้าสิ่งนี้บนใบหน้าเขามานานแล้ว จะป้อนอาหารหรือยาก็ล้วนลำบาก ต้องมานั่งทำความสะอาดทีหลังให้วุ่นวายอีกอย่าง…หากวัดจากความชอบที่มีต่อบัณฑิตหนุ่มรูปงามเช่นเซี่ยฉงอวิ๋นกับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาหุ่นหมีหน้าโหดหนวดเคราเฟิ้ม นางค่อนข้างจะโอนเอียงไปทางฝ่ายแรกมากกว่านิดหน่อยไม่สิอาจมากๆ เลยก็ว่าได้ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่รู้สึกว่าเจ้าสิ่งดำๆ บนใบหน้าเซี่ยฉงอวิ๋นดูรกตาขนาดนี้หรอก“วันนี้ข้าพบสะใภ้ใหญ่และเซี่ยหยวนชางตอนไปตลาดด้วย” เยว่อวิ๋นเล่าเรื่องราวทั้งตอนเช้าที่พบคนบ้านใหญ่ กับตอนขากลับที่นางปะทะกับอู๋ซื่อและหลัวซื่อให้อีกฝ่ายฟัง นางไม่ได้เรียกขานพี่สะใภ้หรือน้องสี่ แต่กับเอ่ยชื่อพวกเขาออกมาตรงๆ แสดงท่าทีที่มีต่อคนเหล่านั้นให้เห็นอย่างชัดเจนเซี่ยฉงอวิ๋นขบคิดอยู่ชั่วครู่ ในใจพลันกระจ่างว่าภรรยาในนามของตนต้องการสื่อสิ่งใด ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มบางเบา นางช่างเป็นคนตรงไปตรงมาเหมือนคนผู้นั้นเหลือเกิน“เจ้าสามารถทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้
เมื่อสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างต้องการบรรลุผล การพูดคุยก็ง่ายดายขึ้นชั่วเวลาสั้นๆ เยว่อวิ๋นกับเซี่ยฉงอวิ๋นก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อกัน โดยเฉพาะเยว่อวิ๋น นางนึกไม่ถึงเลยว่าสามีที่ชาวบ้านมองว่าโง่เขลาของนาง จะเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้แล้วที่ผ่านๆ มาคืออะไร โรคโง่งมกำเริบเป็นบางเวลางั้นหรือ ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ถ้าแค่กำเริบเป็นบางเวลา เขาคงไม่ปล่อยให้ตนเองกับลูกตกอยู่ในสภาพนี้เป็นแน่คาดว่าน่าจะเพิ่งฉลาดขึ้นหลังจากบาดเจ็บ ศีรษะกระแทกชีวิตเกือบสิ้นจึงได้เบิกเนตรเปิดปัญญาตื่นรู้ขึ้นมาเป็นแน่เยว่อวิ๋นคิดพลางปัดเศษหนวดเคราที่ตกปกคลุมใบหน้าอีกฝ่ายออกเบาๆ กิริยาเนิบช้าไม่คุ้นเคยทว่าไร้ความผิดพลาด เพราะอย่างน้อยๆ บนใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าก็ไม่มีริ้วรอยมีดทิ้งไว้ให้เห็นอืม…ถึงจะป่วยจนซูบเซียวไปบ้าง ทว่าใบหน้านี้ก็ยังคงหล่อเหลาน่ามองไม่เปลี่ยนแปลงไม่เปลี่ยนแปลง…นี่ไม่ถูกต้อง!เห็นชัดว่าคนตรงหน้านางคือ “เซี่ยฉงอวิ๋น” แต่ก็หาใช่ “เซี่ยฉงอวิ๋น” ในความทรงจำ แล้วเหตุใดใบหน้านี้จึงมีความคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้เล่า!เห็นรูปโฉมดุจพานอัน[1] ในตำนานที่แสนคุ้นเคย แวบแรกของเยว่อวิ๋นคือความยินดีที่ไม่อาจกล่า
ฟังเสียงร้องที่ดังแต่ไร้ความจริงใจ มุมปากเยว่อวิ๋นคล้ายจะกระตุกเล็กน้อยกับความปลอมของอีกฝ่าย นางกับเซี่ยหู่ขึ้นเกวียนไปรอรับร่างสามี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“ออกเดินทางกันเถอะพี่ต้าจวง”แม่เฒ่าเซี่ยถูกเมินเฉยจนตั้งตัวไม่ติด นางคิดไว้แล้วว่าหากถูกเยว่อวิ๋นด่าทอลงมือ ก็จะร้องร่ำไห้คุกเข่าสำนึกผิดตรงนี้ หรือว่าหากอีกฝ่ายห่วงหน้าตาไม่ทำอะไรตัวเอง ก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ติดตามไปด้วยทว่าคิดเสียเยอะแยะกลับไม่เป็นอย่างใจ ความจริงไหนเลยเยว่อวิ๋นจะหันมาสนใจนาง อีกฝ่ายไม่แม้จะมองดูนางด้วยซ้ำ“หยุดนะ!” เห็นเซี่ยต้าจวงทำท่าจะบังคับเกวียนออก แม่เฒ่าเซี่ยก็รีบโดดไปจับเกวียนไว้ทันที ทว่ายังไม่ทันได้แตะถูก วัตถุสีดำบางอย่างก็พุ่งกระทบถูกมือนางเสียก่อน แม่เฒ่าเซี่ยพลันเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา“โอ๊ย!”เยว่อวิ๋นไม่สนท่าทีเจ็บปวดของแม่เฒ่าเซี่ยสักนิด นางหลุบมองก้อนหินเล็กๆ ในมือตัวเองพลางขมวดคิ้วแน่น หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดว่าหากเซี่ยซื่อยังกล้าสร้างความวุ่นวายอีกนางจะดีดลูกหินใส่ดวงตาแม่สามีให้บอดเสียเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านมาสร้างความรำคาญให้นางอีกทว่าคิดยังไม่ทันลงมือ เซี่ยฉงอวิ๋นก็ยื่
“ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าผิดเองขอรับ เป็นเพราะข้าเปิดประตูให้พวกท่านย่าจึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น ข้าผิดไปแล้วขอรับ” ต้าเป่าเอ่ยรับผิด เด็กชายกล่าวต่อ “ท่านแม่ ท่านลงโทษข้าเถอะขอรับ”เยว่อวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงหรี่เปลือกตาลงต่ำพลางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง“ดีนี่ ปกป้องความผิดกันเอง แล้วโกหกข้าสีหน้าไม่เปลี่ยน ช่างเถอะ ข้าคงลงโทษพวกเจ้าไม่ไหวหรอก”ต้าเป่าได้ยินก็ตกตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่ามารดารู้ได้อย่างไรว่าตนเองโกหก แต่ฟังจากน้ำเสียงเขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้ท่านแม่มีโทสะแล้วจริงๆแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้าเป่าไม่ได้รู้สึกไปเอง เยว่อวิ๋นโกรธแล้วจริงๆ พี่น้องรักใคร่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การที่อีกฝ่ายโกหกก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเช่นกันอ่างน้ำที่ยังไม่ได้เทน้ำทิ้งกับเซี่ยฉงอวิ๋นในเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำให้เยว่อวิ๋นคาดเดาได้ว่าต้าเป่าน่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับบิดาอยู่ ส่วนเสี่ยวอวี้ที่ไม่เคยเห็นหมูป่ามาก่อนก็น่าจะออกมาดูมัน จากนั้นคนบ้านใหญ่ที่ได้ยินว่านางจับหมูป่าได้ก็น่าจะมาเพื่อส่วนแบ่งต้าเป่าอยู่ข้างในด้านนอกมีเพียงเสี่ยวอวี้ เด็กหญิงถูกคนบ้านใหญ่ทำร้ายมานาน มีความเกรงกลัวซึมลึกถึง
เยว่อวิ๋นใช้ไม้กระบองในมือส่งบ้านใหญ่ออกไป เซี่ยต้าจวงที่เลี่ยงออกมาเห็นว่าพวกเขาจากไป ก็รีบกลับมาจัดการร่างหมูป่าตามความตั้งใจเดิม โดยไม่สนใจจะถามถึงเรื่องที่นางทุบตีคนสักนิดแม้เซี่ยต้าจวงจะเป็นคนซื่อทว่าเขาไม่ได้โง่ ที่ผ่านมาอาสะใภ้สี่ถือดีว่าพวกเขาทำอะไรนางไม่ได้ เอาเปรียบบิดาเขาสร้างปัญหาให้ไว้เว้นวันมายามนี้ในใจเซี่ยต้าจวงจึงคิดเพียงว่าภรรยาฉงอวิ๋นตีได้ดีนัก เหมาะแล้ว สมควรยิ่งคนอย่างอาสะใภ้สี่ก็สมควรต้องเจอแบบนี้แหละ!“น้องสะใภ้ เจ้าจะให้เก็บส่วนไหนไว้หรือไม่” เซี่ยต้าจวงยกร่างหมูป่ามาล้างน้ำเสร็จก็หันมาถามเยว่อวิ๋นเยว่อวิ๋นคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้เซี่ยต้าจวงตัดส่วนที่นางต้องการเก็บไว้ ด้วยความชำนาญของอีกฝ่าย ไม่นานส่วนที่ต้องการก็ถูกชำแหละออกมาตามที่ต้องการเห็นดังนั้นเยว่อวิ๋นจึงเดินไปเปิดประตูรั้วออกกว้าง ให้ชาวบ้านที่ต้องการซื้อเนื้อหมูป่าเข้ามาได้หลายคนที่รอด้านนอกพอเห็นประตูเปิด ก็รีบพากันกรูเข้ามาทันที เนื้อหมูป่าได้มายากกว่าหมูบ้าน อีกทั้งเยว่อวิ๋นก็ยังขายให้ในราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย ทำให้เยว่อวิ๋นถูกรุมล้อมจนหัวหมุน“พี่สะใภ้ พวกข้ามาช่วยแล้วเจ้าค่ะ” ในขณะที่กำลังยุ่
“หยุดนะ! แข็งข้อแล้ว! สะใภ้รองเจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!” แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกหลานตัวเองที่ถูกตีจนดิ้นพล่านกับพื้นพลางกรีดเสียงร้องโหยหวนเยว่อวิ๋นไม่สนใจเสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าเซี่ย และยิ่งไม่คิดใส่ใจต่อเสียงก่นด่าของคนที่ถูกนางตี นางเตะพวกเขามานอนเรียงรายกันบนพื้น แม้แต่เซี่ยจินกับอู๋ซื่อที่พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองสุดชีวิตแล้ว ก็ยังถูกนางสังเกตเห็นและลากจับมารวมกลุ่มทุบตี“เซี่ยหู่ เจ้าไปตามหมอจางมาที พี่ต้าจวงข้ารบกวนพี่ออกไปเฝ้าประตูไว้ให้ทีนะเจ้าคะ เพราะอีกเดี๋ยวคนที่จะมาซื้อเนื้อหมูป่าคงจะมากันแล้ว”เซี่ยหู่หรือจะกล้าขัดขืน เขาเห็นสภาพบ้านสี่แล้วยังนึกสยดสยองไม่หาย ไม่รอให้เยว่อวิ๋นเอ่ยซ้ำเป็นรอบที่สอง ก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าตามคำสั่งแต่โดยดีทันที“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปดูคนให้นะ” เซี่ยต้าจวงกล่าวอย่างอึกอัก พยายามหลบเลี่ยงสายตาขอความช่วยเหลือของแม่เฒ่าเซี่ยสุดชีวิต พลางก่นว่าน้องชายที่ตัดช่องน้อยเอาตัวรอดคนเดียวในใจไม่หยุด“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ก่อกบฏงั้นสินะ” เยว่อวิ๋นพลันรู้สึกขันจนพูดไม่ออก ชาติที่แล้วนางก็ตายตกด้วยข้อหานี้มิใช่หรือ “ข้าก่อกบฏอย่างไร พวกเจ้าเป็นเชื้อพร
มุมปากแม่เฒ่าเซี่ยเบี้ยวไปชั่วขณะ คล้ายคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้“จะ เจ้า เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโส” กล่าวจบนางก็ทำท่าจะหวีดร้องโวยวาย ทว่ากลับเห็นเยว่อวิ๋นหมุนร่างไปสั่งเซี่ยหูเสียก่อน“ปิดประตูซะ”เซี่ยหู่ที่ตามหลังมาพลันสะดุ้งเฮือก เขาสบสายตาเย็นชาของเยว่อวิ๋นแล้วรีบปิดประตูรั้วเสียงดังโครมโดยไม่ต้องให้เอ่ยย้ำ“สะ… สะใภ้รองเจ้าคิดจะทำอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยข่มความหวาดกลัวพลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว“ฝีมือใคร” เยว่อวิ๋นไม่ได้ตอบคำถามของแม่เฒ่าเซี่ย ทว่ากลับเดินไปหยุดตรงหน้าเด็กสองคน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้ากลมเล็กของเสี่ยวอวี้เบาๆ “ใครเป็นคนทำ”เสี่ยวอวี้อยู่ร่วมกับเยว่อวิ๋นจนคุ้นชินแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ลึกถึงกระดูก เด็กหญิงพลันบังเกิดความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่ายอย่างไร้สาเหตุ“ซะ… เซี่ยเสี่ยวเกอ กะ กับท่านอาเล็กเจ้าค่ะ”พอเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา เซี่ยเสี่ยวเกอก็โวยวายจะเอาขนมในมือนาง พอนางไม่ยอมให้ท่านอาเล็กที่เดินตามมาก็ตบหน้านาง คิดแล้วเสี่ยวอวี้ก็ดวงตาแดงก่ำ น้ำใสๆ ร่วงหล่นราวสายน้ำหลากตั้งแต่แยกครอบครัวมา เสี่ยวอวี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เยว่อวิ๋นอย่าว่าแต
เกิดเติบโตมายี่สิบกว่าปี ครั้งแรกที่รู้สึกสนใจสตรีนางหนึ่ง ก็พบว่าหนทางเชื่อมหาคนถูกปิดตายหมดเสียแล้ว กู้เหยียนเซียวพลันส่ายหน้าจนใจบนถนนที่ขรุขระมีเสียงฝีเท้าและลมหายใจของม้าดังให้ได้ยินเป็นระยะ จึงไม่มีใครสังเกตถึงเสียงถอนลมหายใจอ่อนเบาของใครบางคนช่างน่าเสียดาย…เยว่อวิ๋นที่กำลังดีใจไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังนึกเสียดายโชคชะตาที่มาช้าไปนี้หญิงสาวกลับเข้าห้องไปบอกเรื่องราวกับเซี่ยฉงอวิ๋น ถึงกำหนดการผ่าตัดขาของเขาในวันพรุ่งนี้อย่างอารมณ์ดีหลังจากพูดคุยกับสามีเรื่องเดินทางไปหงจือหลินวันพรุ่งนี้จบ เยว่อวิ๋นก็เข้าครัวจัดการอาหารมื้อเช้าของครอบครัวอย่างเรียบง่าย ก่อนจะสะพายตะกร้ามุ่งหน้าขึ้นภูเขา โดยทิ้งให้ต้าเป่ากับเสี่ยวอวี้คอยอยู่ดูแลบิดาช่วงที่ผ่านมาเยว่อวิ๋นฟื้นร่างกายกลับมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด นางใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่นานก็มาถึงหลุมกับดักสัตว์เพราะที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนเนื้อสัตว์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เยว่อวิ๋นที่มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมายในแต่ละวัน จึงแวะเวียนมาดูสัตว์ในหลุมสองถึงสามวันต่อครั้งเท่านั้นเสียงกู่ร้องของสัตว์บาดเจ็บดังกั
ต้นยามเหม่า[1] ท้องฟ้ายังมืดสลัวไม่สว่างดี เยว่อวิ๋นที่ตื่นมาล้างหน้าล้างตาแต่เช้า ก็พาสองซาลาเปาน้อยออกมาฝึกร่างกายเหมือนทุกทีหลายวันมานี้ช่วงเช้าเยว่อว๋นจะพาทั้งคู่ออกมาฝึกท่านั่งม้าตลอด จากที่แรกๆ เคยยืนขาสั่นตัวเอียง ยามนี้แม้แต่เสี่ยวอวี้น้อยก็สามารถยืนได้มั่นคงแล้ว“ท่านแม่ ครบชั่วยามหรือยังขอรับ” ต้าเป่าร้องถามมารดา ใบหน้าน้อยๆ ผุดไรเหงื่อชื้นไม่ต่างจากน้องสาวเยว่อวิ๋นมองแขนที่เริ่มตกกับขาที่เริ่มสั่นเพราะความล้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ความจริงยังขาดไปอีกสองเค่อ แต่หญิงสาวก็พยักหน้าให้บุตรชาย“ต้าเป่ามานี่สิ” เยว่อวิ๋นก้าวมาหยุดยืนหน้าเสาไม้ต้นหนึ่งในลาน ซึ่งเสาไม้เหล่านี้ล้วนเป็นนางที่นำมาปักไว้ทั้งสิ้น“ขอรับ” ต้าเป่าได้ยินก็รีบวิ่งมาตามคำสั่งทันที เสี่ยวอวี้เห็นดังนั้นก็วิ่งตามพี่ชายมาอีกคน“เมื่อวานแม่บอกจะสอนวิชาหมัดให้เจ้า จำได้ไหม”“จำได้ขอรับ” เด็กชายรับคำดวงตาเป็นกายยินดี ต่อให้มีนิสัยสุขุมแค่ไหนอย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เยว่อวิ๋นพาเขาฝึกท่านั่งม้ามาหลายวัน ต้าเป่าที่ไม่เข้าใจว่านี่คือการฝึกพื้นฐานก็อดเบื่อไม่ได้อยู่ดี“วิชานี้ชื่อว่าวิชาหมัดเหล็ก เดิมทีเจ้าของวิชาไ
นับว่าเป็นความโชคดีของสวีเหยา ที่เสียงคำรามของนางถูกข่มกลั้นไว้แค่ในลำคอ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเยว่อวิ๋นได้ยินคงหันกลับมาประเคนฝ่าเท้าให้นางอีกทีเป็นแน่เห็นว่าไม่มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว บรรดาชาวบ้านมุงก็พากันแยกย้ายสลายตัว ในลานบ้านที่เงียบสงัดจึงเหลือเพียงแม่ลูกสกุลจางกับสวีเหยาและเซี่ยหว่านหรูหลัวซื่อคิดถึงเงินห้าตำลึงที่จะต้องเสีย ในใจเจ็บปวดแทบหลั่งเลือด นางนึกก่นด่าตัวเองเป็นร้อยรอบ ว่าทำไมตอนที่เยว่อวิ๋นมาพูดเรื่องบุตรชายรุมทุบตีต้าเป่า ตัวเองถึงได้ไปยั่วโมโหอีกฝ่ายจนเรื่องราวลุกลามใหญ่โตเช่นนี้กันมาถึงตอนนี้ต่อให้ยอมรับผิดก็ไร้ประโยชน์แล้ว คิดถึงใบหน้าสามีหลังรู้ว่านางทำให้ต้องเสียเงินถึงห้าตำลึง หลัวซื่อก็แทบร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด พอเห็นสวีเหยากับเซี่ยหว่านหรูความขุ่นเคืองก็ยิ่งพุ่งสูงจนไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น“เพราะเจ้า…” หลัวซื่อกัดฟันคำรามลั่น นางอยากวิ่งเข้าไปตบคนตรงหน้าสักหลายที ทว่าถึงสวีเหยาจะเป็นลูกของน้องสาวสามี แต่หลัวซื่อก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ไปตบตีอีกฝ่าย นางจึงได้แต่หันหน้าหนี ถือคติตามองไม่เห็นใจก็ไม่คิดเสียทว่าพอหันหนีมาอีกด้านสายตาก็พลันสบกับเซี่ยหว่านหรู ในใจ
เยว่อวิ๋นไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ หากนางรู้คงปรบมือให้พวกเขาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า ‘ยินดีด้วย พวกเจ้าเดาถูกแล้ว’ เป็นแน่ถูกแล้ว นางจงใจพูดทำลายชื่อเสียงเซี่ยหว่านหรู ก็แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายป่าวประกาศไปทั่วว่านางคบชู้ แล้วทำไมนางจะโยนคำว่าบ้าผู้ชายใส่ศีรษะอีกฝ่ายบ้างไม่ได้ล่ะโดนตบแก้มซ้ายแล้วยังจะให้ยื่นแก้มขวาให้โดยไม่ตีคืนงั้นหรือ เฮอะ! ฝันไปเถอะ นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย!ผู้ใหญ่บ้านเองก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น แต่เขาก็เห็นด้วยกับที่เยว่อวิ๋นบอกเหมือนกัน จึงหันไปถามกับหลัวซื่ออีกครั้ง“หลัวซื่อ ที่เถี่ยตั้นพูดมาทั้งหมด ที่แท้มาจากตัวเจ้าเองที่กล่าวใช่หรือไม่!”หลัวซื่ออ้าปากอึกอัก นางไม่คิดว่านิสัยพูดไม่คิดของเซี่ยหว่านหรูจะเปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองออกมาในเวลานี้ ยิ่งเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของผู้ใหญ่บ้าน คำพูดบอกปัดที่คิดเอาไว้ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก“ข้า…”“ในฐานะสตรีคนหนึ่ง ชื่อเสียงถือได้ว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิต การปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมา ก็เหมือนกับคนผู้นั้นต้องการฆ่าข้า หากวันนี้เรื่องราวไม่กระจ่าง ข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่ว่าการ” ก่อนที่หลัวซื่อจะพูดต่อ เสียงราบ