ยมทูตหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ หันไปทำงาน เขาอ่านเอกสารไปก็พยักหน้าไป ชีวิตของนางในชาติที่สองนี้เก็บเกี่ยวมาได้มากจริง ๆ แต่เมื่ออ่านจนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้ายชายหนุ่มก็อ้าปากเหวอ
“นายท่านมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร” ยมทูตหนุ่มหุบปากฉับ กลับมาสงบราวไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาวางเอกสารลงแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของวิญญาณสาวตรงหน้า
“หนิงอัน”
“เจ้าคะ”
“ชีวิตที่สองเจ้าเรียนรู้มาเยอะจริง ๆ”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าอ่านออกเขียนได้ ศาสตร์ศิลป์ทุกประเภทล้วนทำเป็น หมากรุกก็แกล้งแพ้เก่งมาก ยังไม่นับรวมชาที่ข้าชงนั้นหอมกลุ่นใคร ๆก็ต้องติดใจ ท่านยมทูตลองชิมดูสักหน่อยสิเจ้าคะ”
ไม่รู้วิญญาณสาวแอบชงชาไว้ตั้งแต่เมื่อใด แต่กลิ่นหอมกรุ่นทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ยกขึ้นจรดจิบเบา ๆ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนกลับมาไร้อารมณ์เช่นเดิม มองหญิงสาวอย่างชื่นชม
“ชาดี!”
“ข้าคิดว่าคราวนี้ น่าจะเปิดโรงน้ำชาริมทางเล็ก ๆ พอให้เลี้ยงตนเองได้ เปิดโรงเรียนสอนเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กหญิง แบบนี้น่าจะมีความสุขและสงบจนถึงบั้นปลายชีวิตได้”
“ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวและมีความสุขดังหวัง”
“...” หนึ่งยมทูตหนึ่งวิญญาณ จิบชาร่วมกันเงียบ ๆ กระทั่งในที่สุดก็วางจอกเปล่าลงบนโต๊ะ
“หนิงอัน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นชีวิตสุดท้ายแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดี”
“เจ้าค่ะ” หนิงอันเองก็มีความตั้งใจ ว่าชีวิตรอบนี้จะไม่ตายเร็ว นี่กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในชีวิตของนางไปโดยปริยาย
ยังนึกสงสัยว่าที่โดนฆ่าด้วยยาพิษอย่างไม่รู้ตัวนี้ก็เพราะจะไถ่ตัวเองออกจากหอจันทรา ซึ่งเป็นหอนางโลมภายใต้วังมาร จอมมารต้องไม่พอใจถึงมีคำสั่งลงมาให้เก็บนางแน่ ๆ
แต่วิญญาณสาวยังมองโลกในแง่ดีว่ามีเวลาอีกหนึ่งชีวิต ชีวิตที่สองนี้ก็ถือว่าไปหาความรู้เพิ่มเติม ด้วยความรู้และประสบการณ์ชีวิต คราวนี้นางต้องปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาวได้อย่างแน่นอน
“มาคราวหน้าเจ้าจะไม่เจอข้าแล้ว”
“เฮยไป๋อู่ฉางจะมานำทางข้าสู่ปรโลกจริง ๆ แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ทั้งใช่และไม่ใช่ ข้ามีหน้าที่เพียงส่งเจ้าย้อนกลับไป คราวหน้าก็คงไม่เจอกันอีกแล้ว”
“ท่านยมทูตจึงจัดงานเลี้ยงส่งข้าเสียใหญ่โต ขอบคุณนะเจ้าคะ” มองโต๊ะน้ำชาที่มีของกินอยู่มากมายหนิงอันก็เออออไปเอง
ยมทูตหน้าหยกกลอกตาเขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ วิญญาณสาวอยากมองโลกในแง่ดีคิดไปเองอย่างไรเขาก็ไม่ขัด
“ท่านยมทูตท่านช่างน่าเบื่อเสียจริง” หนิงอันเผลอหลุดปากบ่นเสียงในใจออกมา นางรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“ขออภัย ข้าไม่ได้นินทาท่านนะเจ้าคะ” นางแค่เผลอบ่นความในใจออกมาเท่านั้นเอง
“ข้าไม่ถือสา ถึงเวลาเจ้าต้องไปแล้ว”
“ท่านยมทูต ขอบคุณนะเจ้าคะ” กล่าวจบร่างของวิญญาณสาวก็เลือนหายไป พร้อมกันนั้นทุกอย่างในบริเวณนี้ก็มืดดับลง ราวกับที่ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น มีเพียงเสียงของยมทูตหนุ่มที่ยังดังก้องกันวาน
“ขอให้นางได้มีชีวิตยืนยาวสมใจจอมมาร”
“เหลือโอกาสอีกเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น ข้าจะต้องไม่ตายเร็วเหมือนสองชีวิตที่ผ่านมาเด็ดขาด!” การมีอายุยืนยาวถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตนี้หญิงสาวรูปร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านราวกับผ้าขี้ริ้วเมื่อเทียบกับชุดของนางโลมหรือภรรยาขุนนางในสองชีวิตแรก แต่ทั้งชุดกลับสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนรักสะอาด คงมีแต่หน้าตาที่เปรอะเปื้อนฝุ่นและคราบน้ำตา รวมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงทำให้นางดูไม่ได้นัก“แม่นาง เจ้าอยู่บ้านหรือไม่” เสียงเรียกจากหน้ากระท่อมทรุดโทรมของครอบครัวหนิง ทำให้หนิงอันพลันได้สติ‘ที่ควรมาก็มาแล้วสินะ’ สิ่งนี้ยังคงเกิดขึ้นไม่ว่าในชีวิตไหน เดินออกไปหน้ากระท่อม เห็นชายร่างสูงโปร่งใบหน้าท่าทางสุภาพอย่างปัญญาชน แม้เสื้อผ้าจะเก่ามีรอยปะชุนแต่ก็สะอาดเรียบร้อย คนผู้นี้คือสามีเก่าในชีวิตแรก ‘บัณฑิตหาน’“ท่านหานมาหาข้า มีธุระอันใดหรือ” หนิงอันเอียงคอสงสัย มือปาดน้ำตาออกจากหน้าโดยไม่มีท่าทางเหนียมอาย แต่นั่นทำให้ใบหน้าของนางยิ่งเลอะเปรอะเปื้อนมองไม่เห็นเค้าคนงามชายหนุ่มแอบเบะปากหน้าแหยเมื่อเห็นท่าทางสกปรกของหญิงสาว แม้นางจะมีเหตุผลเนื่องจากเพิ่งสูญเสียคนสนิทสุดท้ายไป แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าช่างส
เห็นอย่างนั้นบัณฑิตหานก็กลับมามีท่าทางสงบนิ่งดั่งเทพเซียนลงมาเยือนยังพื้นโลก มองและยิ้มน้อย ๆ ให้หนิงอันอย่างอ่อนโยน เฝ้ารอให้นางกล่าวประโยคถัดมา“พี่ชาย ข้าไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับบัณฑิต ข้าเป็นสาวชาวนาถูกเลี้ยงดูมาอย่างชาวนา หากเลือกได้ข้าก็อยากได้สามีชาวนา มากกว่าสามีที่เป็นบัณฑิต หรือแม้จะเป็นเพียงสหาย หรือพี่ชายน้องชาย ข้าก็อยากได้คนในชนชั้นเดียวกัน มากกว่าบัณฑิตที่สูงส่งเช่นท่าน”“...” คราแรกทุกคนจะกล่าวว่านางคิดมากเกินไป บัณฑิตหานย่อมไม่คิดรับนางเป็นภรรยา แต่คำพูดถัดมาของหนิงอันทำให้ไม่มีใครคิดค้านขึ้นมาอีก ในยุคสมัยนี้แม้ชายหญิงไม่ใกล้ชิด แต่ก็มีสหายและพี่น้องที่คบหากันได้ตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง“...” บัณฑิตหานอ้าปากเหวอ ก่อนกลายเป็นหน้าเสีย รีบหันหลังเดินจากไปโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาโต้แย้ง อย่างไรเขาเป็นบัณฑิต โต้เถียงกับหญิงสาวมีแต่จะเสียกับเสีย“ขอบคุณท่านลุง ท่านป้า ที่มาเยี่ยมเยียนเสี่ยวหนิง บิดามารดาข้าตายจากไปแล้ว ยามนี้ท่านยายหนิงยังตายตามไปอีก ข้าเองก็หมดกำลังใจไม่น้อย แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแน่นอน ขอให้พวกท่านอย่าเป็นกังวล”“ดีแล้วที่เสี่ยวหนิงคิดได้ เช่นนั้นพวก
“ท่านตา ข้าต้องการเข้าเมือง แต่ว่า…ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ ท่านยายตาย ออกจากบ้านข้าก็ยังกลัว ข้ารู้สึกว่าหากมีอะไรที่รับรองความปลอดภัยของตนเองได้ จะรู้สึกดีกว่ามาก ท่านตาคิดว่าหากข้าจ้างทหารรับจ้างในหมู่บ้านจะดีหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้ามีเงินหรือ ทหารรับจ้างใช้เงินไม่น้อย แม้จะเป็นกลุ่มที่แขนขาพิการแต่เป็นทหารเดนตายชายแดนมาก่อน พวกเขามีความสามารถมากก็ใช้เงินจ้างสูงมากตามไปด้วย ที่ข้ารู้จักก็เจ้าหู่ที่อยู่หลังเนินนู่นไง คิดตั้งห้าตำลึงเงินแน่ะ นี่แค่จะเข้าเมืองนะ”“...” หนิงอันอ้าปากเหวอ นางไม่สามารถใช้เงินได้เยอะขนาดนั้น เพราะวางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่มีความคิดขายบ้านเดิม เนื่องจากเสียดายสถานที่แห่งความทรงจำ“เอาอย่างนี้ เจ้ารอไปก่อนสักครึ่งเดือน ได้ยินว่ามีคาราวานหนึ่งจะผ่านทางนี้ ท่านพ่อค้าใจดี หากจ่ายสักสองสามร้อยอีแปะก็คงติดตามไปได้”“ขบวนพ่อค้าเร่หรือเจ้าคะ” หนิงอันตาเป็นประกาย เมื่อครั้งอยู่หอนางโลม นางได้มีโอกาสได้รับแขกต่างบ้านต่างเมืองเป็นพ่อค้าเร่ แต่แท้จริงฐานะกลับสูงส่ง จึงพอจะรู้ว่าขบวนพ่อค้าเร่นั้น แม้จะเป็นขบวนเล็ก ๆ แต่ก็ต้องจ้างสำนักคุ้มภัยมาคุ้มกันสินค้า กลุ่มโจรที
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งสาวงามในภาพวาดเซียนกำลังนั่งหย่อนขาอยู่ริมระเบียง บ้านของท่านยายหนิงเป็นเรือนแบบสองห้องนอน มีครัวแยกต่างหาก ดูเหมือนจะพอมีพอใช้ไม่ขาดมือ เพียงแต่ท่านยายนั้นไร้ญาติขาดมิตร สุดท้ายก็รับหนิงอันเป็นทายาทด้วยความเอ็นดูหากพูดแล้วชาวบ้านล้วนอิจฉาที่หนิงอันได้รับมรดกทั้งจากพ่อแม่ และจากท่านยายหนิงโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า สมบัติจากทางบิดามารดานางก็ได้มาไม่น้อยหน้ากัน ไม่เช่นนั้นคงชุบเลี้ยงบัณฑิตยากจนกระทั่งกลายเป็นขุนนางไม่ได้หนิงอันในชีวิตแรกไม่มีความสามารถใด ๆ นอกจากสินเจ้าสาวที่ติดตัวไป แต่ตอนนี้นางมีทั้งเงินและความสามารถ ย่อมต้องอยู่อย่างสุขสบายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการผิดแผนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจำเป็นต้องวิเคราะห์และวางแผนอย่างรอบคอบ“กองคาราวานจะมาในอีกสามวัน” นับจากวันที่นางไปติดต่อกับท่านตาหวัง ก็ผ่านมานานแล้ว หนิงอันยังเฝ้ารอกองคาราวานทุกวันอย่างใจจดใจจ่อ“สมบัติทุกชิ้นข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เรียบร้อย ยังมีเกราะอ่อนของท่านลุง…” นึกถึงเกราะอ่อนทหารที่ท่านยายมักจะเอามาอวด ทำให้หนิงอันยิ้มน้อ
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากบอกต้าหยางด้วยว่าข้าวางค่าจ้างเอาไว้ให้เขาแล้ว”“เอ้อ! เดินทางดี ๆ รีบ ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันคาราวาน เจ้าเด็กคนนี้นี่ยังไง ระวังด้วยอย่าวิ่งสิเดี๋ยวล้มนะ เอ๊ะ เสี่ยวหนิงซนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ตาเฒ่าหวังโบกมือไล่หญิงสาวที่เอาแต่สั่งลา ไม่ยอมเข้าร่วมคาราวานเสียทีกลุ่มพ่อค้าด้านหลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากหมู่บ้านมากขึ้นทุกทีทำให้ชายชราเริ่มเป็นกังวล เกรงว่าหญิงสาวจะตามไม่ทัน“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งแน่นอน”“เอ้อ ๆ กระโดดเบา ๆ โอ๊ย หัวใจข้าจะขาดแทนวิญญาณบิดามารดาเจ้าแล้วเสี่ยวหนิงเอ้ย!” เห็นหญิงสาวกระโดดเหยง ๆ ขึ้นเกวียนที่กำลังวิ่งเหยาะก็ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่มีหลานสาว หลานชายก็กำลังเล็กแต่พอนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ รับปากทำงานให้เด็กหญิงตาเฒ่าก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้เด็กน้อยทั้งสองมีความลับอะไรกัน ไม่รู้เสี่ยวหนิงจ้างวานอะไรเจ้าเด็กหวังอี้หยางหนิงอันถอนหายใจโล่งอกเมื่อขึ้นเกวียนได้ทัน นางหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางที่ไม่คิดจะรอแถมยังเร่งเดินทางจน
“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก“ใช่เจ้าค่ะ”“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลม
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจ
กระทั่งนางโลมย้ายมาจากเมืองอื่น ยังต้องงดงามและมีความสามารถไม่น้อยจึงจะทำได้ แล้วตัวนางจะกล่าวว่าทำอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสม หนิงอันนอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเพราะถูกต้าเซ่าเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว“ขอบคุณพี่ทหารเจ้าค่ะ ข้าเป็นอาจารย์หญิง ตั้งใจเปิดโรงเรียนสอนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่หมู่บ้านนอกเมืองไม่ไกล หากที่บ้านท่านมีเด็กผู้หญิง ก็สามารถส่งไปเรียนที่ข้าได้”“อาจารย์สอนหญิงงั้นหรือ ดี ดี! เจ้าน่าจะผ่านนะ” ทหารหนุ่มตอบรับ ทำให้หนิงอันมั่นใจมากขึ้นชีวิตที่สองเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่ง ศาสตร์ศิลป์ย่อมไม่มีขาดตกบกพร่อง สามารถยกตนขึ้นเป็นครูได้โดยไม่อาย“ว่าอย่างไร เจ้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงอยากย้ายมาอยู่ในเมือง”เข้าพบผู้ดูแลแล้วหนิงอันไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าการเข้าเมืองแตกต่างจากการสนทนากับต้าเซ่า นางสามารถสร้างเรื่องโกหกได้ แต่อาจมีปัญหาหนักเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริง จึงไม่หยิบยกเรื่องท่านลุงขึ้นมาพูดสักคำ และตอบไปตามตรงก่อนจะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย“ข้ามาจากเมืองทางใต้ห่างไปหนึ่งเมืองเท่านั้น บิดามารดาเสียชีวิตเพราะไข้ป่า ไร้ญาติขา
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อยชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิมหนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”“แต
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจ
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก“ใช่เจ้าค่ะ”“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลม
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากบอกต้าหยางด้วยว่าข้าวางค่าจ้างเอาไว้ให้เขาแล้ว”“เอ้อ! เดินทางดี ๆ รีบ ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันคาราวาน เจ้าเด็กคนนี้นี่ยังไง ระวังด้วยอย่าวิ่งสิเดี๋ยวล้มนะ เอ๊ะ เสี่ยวหนิงซนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ตาเฒ่าหวังโบกมือไล่หญิงสาวที่เอาแต่สั่งลา ไม่ยอมเข้าร่วมคาราวานเสียทีกลุ่มพ่อค้าด้านหลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากหมู่บ้านมากขึ้นทุกทีทำให้ชายชราเริ่มเป็นกังวล เกรงว่าหญิงสาวจะตามไม่ทัน“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งแน่นอน”“เอ้อ ๆ กระโดดเบา ๆ โอ๊ย หัวใจข้าจะขาดแทนวิญญาณบิดามารดาเจ้าแล้วเสี่ยวหนิงเอ้ย!” เห็นหญิงสาวกระโดดเหยง ๆ ขึ้นเกวียนที่กำลังวิ่งเหยาะก็ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่มีหลานสาว หลานชายก็กำลังเล็กแต่พอนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ รับปากทำงานให้เด็กหญิงตาเฒ่าก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้เด็กน้อยทั้งสองมีความลับอะไรกัน ไม่รู้เสี่ยวหนิงจ้างวานอะไรเจ้าเด็กหวังอี้หยางหนิงอันถอนหายใจโล่งอกเมื่อขึ้นเกวียนได้ทัน นางหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางที่ไม่คิดจะรอแถมยังเร่งเดินทางจน
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งสาวงามในภาพวาดเซียนกำลังนั่งหย่อนขาอยู่ริมระเบียง บ้านของท่านยายหนิงเป็นเรือนแบบสองห้องนอน มีครัวแยกต่างหาก ดูเหมือนจะพอมีพอใช้ไม่ขาดมือ เพียงแต่ท่านยายนั้นไร้ญาติขาดมิตร สุดท้ายก็รับหนิงอันเป็นทายาทด้วยความเอ็นดูหากพูดแล้วชาวบ้านล้วนอิจฉาที่หนิงอันได้รับมรดกทั้งจากพ่อแม่ และจากท่านยายหนิงโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า สมบัติจากทางบิดามารดานางก็ได้มาไม่น้อยหน้ากัน ไม่เช่นนั้นคงชุบเลี้ยงบัณฑิตยากจนกระทั่งกลายเป็นขุนนางไม่ได้หนิงอันในชีวิตแรกไม่มีความสามารถใด ๆ นอกจากสินเจ้าสาวที่ติดตัวไป แต่ตอนนี้นางมีทั้งเงินและความสามารถ ย่อมต้องอยู่อย่างสุขสบายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการผิดแผนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจำเป็นต้องวิเคราะห์และวางแผนอย่างรอบคอบ“กองคาราวานจะมาในอีกสามวัน” นับจากวันที่นางไปติดต่อกับท่านตาหวัง ก็ผ่านมานานแล้ว หนิงอันยังเฝ้ารอกองคาราวานทุกวันอย่างใจจดใจจ่อ“สมบัติทุกชิ้นข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เรียบร้อย ยังมีเกราะอ่อนของท่านลุง…” นึกถึงเกราะอ่อนทหารที่ท่านยายมักจะเอามาอวด ทำให้หนิงอันยิ้มน้อ
“ท่านตา ข้าต้องการเข้าเมือง แต่ว่า…ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ ท่านยายตาย ออกจากบ้านข้าก็ยังกลัว ข้ารู้สึกว่าหากมีอะไรที่รับรองความปลอดภัยของตนเองได้ จะรู้สึกดีกว่ามาก ท่านตาคิดว่าหากข้าจ้างทหารรับจ้างในหมู่บ้านจะดีหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้ามีเงินหรือ ทหารรับจ้างใช้เงินไม่น้อย แม้จะเป็นกลุ่มที่แขนขาพิการแต่เป็นทหารเดนตายชายแดนมาก่อน พวกเขามีความสามารถมากก็ใช้เงินจ้างสูงมากตามไปด้วย ที่ข้ารู้จักก็เจ้าหู่ที่อยู่หลังเนินนู่นไง คิดตั้งห้าตำลึงเงินแน่ะ นี่แค่จะเข้าเมืองนะ”“...” หนิงอันอ้าปากเหวอ นางไม่สามารถใช้เงินได้เยอะขนาดนั้น เพราะวางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่มีความคิดขายบ้านเดิม เนื่องจากเสียดายสถานที่แห่งความทรงจำ“เอาอย่างนี้ เจ้ารอไปก่อนสักครึ่งเดือน ได้ยินว่ามีคาราวานหนึ่งจะผ่านทางนี้ ท่านพ่อค้าใจดี หากจ่ายสักสองสามร้อยอีแปะก็คงติดตามไปได้”“ขบวนพ่อค้าเร่หรือเจ้าคะ” หนิงอันตาเป็นประกาย เมื่อครั้งอยู่หอนางโลม นางได้มีโอกาสได้รับแขกต่างบ้านต่างเมืองเป็นพ่อค้าเร่ แต่แท้จริงฐานะกลับสูงส่ง จึงพอจะรู้ว่าขบวนพ่อค้าเร่นั้น แม้จะเป็นขบวนเล็ก ๆ แต่ก็ต้องจ้างสำนักคุ้มภัยมาคุ้มกันสินค้า กลุ่มโจรที