เฟิ่งเชียนอวี่ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามันก็เหมาะสมนะ”“ต่อให้กระเด็นออกมา นั่นก็เป็นของที่ข้ากินเอง ข้าไม่รังเกียจเสียหน่อย ส่วนจะทำให้คนอื่นรังเกียจหรือไม่…”เกี่ยวอะไรกับข้าแม้ไม่ได้พูดคำพูดประโยคหลังออกมา แต่การแสดงออกของเฟิ่งเชียนอวี่เผยออกมาแล้วตงฟางจิ่ง “...”ขมับของเขาเต้นตุบๆ เอามือก่ายหน้าผาก ถอนหายใจ ตัดสินใจข้ามหัวข้อสนทนาที่ทำให้เขาปวดหัวนี้“อีกไม่กี่วันก็เป็นวันขอพรของราชวงศ์ ถึงเวลานั้น ฮองเฮาจะพาสมาชิกผู้หญิงของครอบครัวขุนนางทั้งหมดปีนบันไดพันคน จุดธูปขอพรที่วัดหลงถาน”เฟิ่งเชียนอวี่กะพริบตาปริบๆ “ดังนั้นล่ะ?”“ดังนั้น ด้วยสถานะของเจ้า ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ถึงตอนนั้นอย่าลืมวันและเวลาเสียล่ะ”นางกระแอมทีหนึ่ง “คือว่า ช่วงนี้ข้า…”ตงฟางจิ่งขัดคำพูดของนางโดยตรง “นอกจากเจ้าป่วยจนใกล้จะตายแล้ว ไม่เช่นนั้น ต่อให้คลานก็ต้องคลานไป”พลันนางชะงัก หน้าบึ้งทันที “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากพูดอะไร?”“เหอะ”พลันตงฟางจิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา มองนางด้วยสายตาที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจเฟิ่งเชียนอวี่ “...”นางเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอพรอะไรนั่น ทำอะไรบ้าง?”ตงฟางจิ
หลังจากนั้นห้าวันวันนี้อากาศแจ่มใส หมื่นลี้ไร้เมฆา ห้ามนอนขี้เกียจ เหมาะแก่การเดินทาง เหมาะแก่การขอพรเฟิ่งเชียนอวี่ถูกบรรดาสาวใช้ลากลงจากเตียงแต่เช้า นางหลับตาไว้ ดวงตาไร้วิญญาณเหมือนหุ่นกระบอก ปล่อยให้พวกนางทำนู่นทำนี่กับใบหน้าของตัวเองรอหลังจากที่นางตื่นจริงๆ แล้ว เมื่อลืมตาดูก็พบว่าตัวเองแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเฟิ่งเชียนอวี่อุทานในใจ มาถึงยุคโบราณแห่งนี้ มีสาวใช้ปรนนิบัติ เสื้อมายื่นมือ ข้าวมาอ้าปาก ช่างเป็นชีวิตที่ตกต่ำจริงๆหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ นางพาหลิวซู อิ้งเสวี่ย เหลิ่งหนิง เหลิ่งหานขึ้นรถมา ออกเดินทางไปวัดหลงถานแล้วผู้หญิงทุกคนล้วนไปรวมตัวกันที่เชิงเขาของวันหลงถานเฟิ่งเชียนอวี่มาถึงจุดหมาย ทันทีที่ลงจากรถม้า ก็มองเห็นเหล่าคุณหนูและฮูหยินของขุนนางจับกลุ่มคุยกันตรงนี้สามคน ตรงนั้นสองคนอวิ๋นจิ่นเซ่อมาถึงนานแล้ว“เชียนอวี่ เจ้ามาแล้ว”นางพยักหน้า โพล่งถามกลับไป “อาหญิงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”เมื่ออวิ๋นจิ่นเซ่อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเบิกบานแล้ว “ดีมาก บนร่างกายของอาหญิงข้าไม่มีกลิ่นแปลกแล้วจริงๆ ไม่มีเลยสักนิด”“นักพรตเฟิ่งท่านนั้นสุดยอดจริงๆ ทักษะการแพท
บนใบหน้าเหลิ่งหนิงมีความโกรธปนอยู่ นางเดินเข้ามาอย่างลึกลับ“พระชายา เมื่อครู่ข้าเผลอเดินไปถึงเรือนของคุณหนูใหญ่เฟิ่ง ท่านไม่รู้หรอก นางกับแม่ของนาง กำลังวางแผนทำร้ายท่าน”เฟิ่งเชียนอวี่ตะลึงงัน ค่อยๆ วางตะเกียบลง เลิกคิ้ว “พวกนางคิดจะทำร้ายข้าอย่างไร?”เหลิ่งหนิงเล่าแผนการของเฟิ่งหลิงหลงกับนางหลิ่วโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวบนใบหน้าเหลิ่งหานเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเยือกเย็นทันที “พวกนางบังอาจมาก”หลิวซูกับอิ้งเสวี่ยตกใจจนสะดุ้ง “อะไรนะ? พระชายา พวกเราทำอย่างไรดี? จะแจ้งท่านอ๋องหรือไม่?”“ใช่แล้ว การขอพรวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ หากเกิดข้อผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงมาก”เฟิ่งเชียนอวี่หรี่ตา แววตาสั่นไหวเล็กน้อย มุมปากเผยอยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น ข้ามีวิธีของข้า”อยากทำร้ายนาง? ฝันไปเถอะพริบตาก็ถึงยามเว่ยหนึ่งเค่อที่จริงบันไดพันคนของวัดหลงถานก็คือบันไดที่สูงหลายพันขั้นตรงด้านหลังของภูเขา ข้างบนสุดเป็นแท่นบูชาฝั่งซ้ายและขวาของแท่นบูชาปักธงของราชวงศ์ พลิ้วไหวตามสายลม ตรงกลางมีโต๊ะบูชาและกระถางธูปทองเหลืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ข้างหน้ามีอาหารสำหรับใช้บูชาวางอยู่หลายจาน
“มิทำชั่วขจัดภัยพิบัติ ทำความดีสร้างวาสนา สืบทอดลำดับแห่งสวรรค์ ใช้สิ่งนี้ในการบูชา มีเพียงเทพเซียนเป็นแสงสว่าง น้อมสักการะ ทุกคน คุกเข่า...”สิ้นเสียง ฮองเฮาคุกเข่าช้าๆ แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าเช่นเดียวกันเฟิ่งเชียนอวี่ครุ่นคิด พระสงฆ์รูปนี้เสียงไพเราะ เสียงดังก้องกังวานตามธรรมชาติ ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะดึงสติกลับมาจากความฟุ้งซ่านแบบความรู้สึกช้าแล้วค่อยทำตามทุกคนโชคดีที่เวลานี้ไม่มีใครสนใจนางหลังจากทุกคนคุกเข่า ผู้ทำพิธีหยิบบทสวดแล้วคลี่ออก จากนั้นเริ่มท่องบทสวดใช้เวลาสวดนานหนึ่งก้านธูปกว่าจะจบลง เฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ หัวเข่าที่น่าสงสารของตน บาปกรรมจริงๆเวลานี้ เสียงร้องดังขึ้นจากไกลใกล้เข้ามาเรื่อยๆเห็นเพียงอินทรีย์ดำทั้งตัวบินโฉบมา สยายปีกบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าเฟิ่งเชียนอวี่เคยได้ยินหลิวซูบอกว่านี่คืออินทรีย์ของวัดหลงถาน รู้ภาษามนุษย์ยิ่ง การปรากฏตัวของอินทรีย์ แสดงให้เห็นว่าการอวยพรลำดับสุดท้ายกำลังจะมาแล้วฮองเฮาจุดธูปหอมด้วยตนเอง แล้วยื่นให้ผู้ทำพิธี อินทรีย์โฉบบินลงมา ใช้ปากคาบธูปหอมที่จุดเสร็จแล้ว จากนั้นปักลงในกระถางธูป นี่จึงถือเป็นการจบพิธีสำ
นางหลิ่วผู้เป็นถึงฮูหยินอัครมหาเสนาบดี วันนี้เรียกได้ว่าอับอายขายหน้าอย่างมากสตรีบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ แรกเริ่มพากันตกใจ เวลานี้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นทั้งยังเปิดเผยและแอบสะใจ สายตาแปลกๆ มากมายมองไปที่นางหลิ่วแต่นางหลิ่วไม่อาจรู้สึกอะไรแล้ว ถูกอินทรีย์ทำให้ตกใจจนจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว“อ๊า พวกท่านดูใต้กระโปรงฮูหยินเฟิ่งสิ”อย่างกะทันหัน สตรีชั้นสูงสายตาเฉียบแหลมชี้ไปยังจุดหนึ่งแล้วร้องด้วยความตกใจทุกคนรีบหันไปมอง เห็นเพียงชายกระโปรงหรูสีเขียวเข้มของนางหลิ่วเปียกเป็นวง ชายกระโปรงเกยบนขั้นบันได ทิ้งรอยแดงเอาไว้บรรดาสตรีบรรดาศักดิ์เบิกตากว้างนี่คือเลือดหรือ?พวกนางล้วนเป็นสตรี ชั่วขณะหนึ่ง ต่างเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ของนางหลิ่วผู้ทำพิธีหลับตา กล่าวคำสวด “อมิตาพุทธ”เวลานี้ฮองเฮาจวนจะเป็นลมหมดสติ พระนางในฐานะฮองเฮา เป็นตัวแทนพาบรรดาสตรีทั้งหลายสวดอธิษฐาน เดิมเป็นพรอันประเสริฐแต่ในทางเดียวกันก็มีความกดดันระดับหนึ่งซึ่งก็คือทางที่ดีที่สุดอย่าเกิดข้อผิดพลาด หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด แม้ฮองเฮาไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่นางซึ่งเป็นฮองเฮา สตรีผู้เป็นมารดาของแผ่นดินต้องรับผิดชอบส
โชคดีที่ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาสีหน้าของนางหลิ่วซีดขาว แววตาเลื่อนลอย ตายแล้ว จบเห่แล้วหายใจไม่ทันชั่วขณะ ดวงตากลอกขึ้นแล้วหมดสติไป“ท่านแม่...”เฟิ่งหลิงหลงตกใจ รีบพุ่งตัวไป นางเงยหน้าขึ้นอยากมองหาคนช่วย แต่เวลานี้ ผู้ใดจะสนใจนางสำหรับเฟิ่งเชียนอวี่ นางหนีไปนานแล้วบนรถม้า เฟิ่งเชียนอวี่คลอเพลงอย่างอารมณ์ดี เพียงนึกถึงสีหน้าของนางหลิ่วก็ตลกแล้วตอนกลางวัน ในลานวัดหลงถาน เหลิ่งหนิงบอกแผนการชั่วของสองแม่ลูกให้นางฟังแล้วแท้จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นแผนชั่วอะไร เป็นเพียงความคิดชั่วร้ายเท่านั้นเดิมที ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกทราบเรื่องจากที่ใด รู้เรื่องระดูรอบเดือนก่อนของนางประจวบเหมาะวันสวดอธิษฐานในเดือนนี้ ตรงกับระดูรอบเดือนก่อนของนาง จึงอยากให้นางขายหน้าต่อหน้าผู้คนอินทรีย์วัดหลงถาน ไวกับกลิ่นคาวเลือดอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่นางหลิ่วบังเอิญรู้มาจากอัครมหาเสนาบดีสามีของนางหากไม่ใช่เพราะจวนอ๋องหกความปลอดภัยแน่นหนา ไม่อาจส่งคนเข้าไป พวกนางลงมือไปนานแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆนางหลิ่วและเฟิ่งหลิงหลงอยู่ในเรือนของตนเองด่าทอเฟิ่งเชียนอวี่ สาปแช่งอีกฝ่ายด้วยคำพูดสุดแสนจะร้า
“เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่โง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างปัญหามากมายเพียงใดให้กับจวนอัครมหาเสนาบดี?”“วันนี้เป็นเพราะเจ้า การสวดอธิษฐานตกหยุดลงกลางคัน เจ้าคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์ใดตามมา? ข้าจะบอกเจ้าเอง ทางที่ดีสุดเจ้าจงอธิษฐานขอให้ภายในสามปีนี้ แคว้นตงเยว่ราบรื่น ไร้ภัยพิบัติ”“มิเช่นนั้น หากเกิดภัยพิบัติขึ้น ทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะเจ้า เพราะหญิงโง่อย่างเจ้าทำผิดต่อเทพเซียน เจ้าเข้าใจหรือไม่”นางหลิ่วไม่คิดถึงข้อนี้จริงๆ นางตกใจจนตะลึงงัน ตกใจจนร้องไห้ไม่ออกเฟิ่งอวี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าอยู่ในเรือนทำตัวดีๆ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า หากออกนอกเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว”นางหลิ่วดึงสติกลับมา มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี“ท่านพี่ ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หึ ฮองเฮามีพระเสาวนีย์มาแล้ว ให้เจ้าคิดทบทวนความผิด เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ? เจ้าอยู่ในเรือนแต่โดยดี อย่าออกไปขายหน้าผู้อื่น”“อีกเรื่องหนึ่ง จงมอบเรื่องดูแลตระกูลออกมา ให้หวังซินเหอทำหน้าที่แทนชั่วคราว”“ไม่ได้นะ”เรื่องอื่นยังพอคุยกันได้ แต่เรื่องดูแลตระกูล นางหลิ่วปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดนางเป็นฮูหยินใ
เสื้อผ้าที่เฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนในทุกวัน ล้วนมีสาวใช้ที่ทำหน้าที่ซักและตากไปจัดการไม่ใช่ชุ่ยเตี๋ยบังเอิญเห็นบางอย่างบนเสื้อผ้าของนาง ก็คือได้ยินบางอย่างในเรือนกล่าวโดยสรุป สาวใช้คนนี้น่าสงสัยมากที่สุด“พระชายาเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวตั้งใจทำงานในเรือนหลังทุกวัน ไม่กล้าละเมิดกฎแม้แต่น้อย พระชายา ท่านไม่อาจครหาบ่าวโดยไร้เหตุผลนะเจ้าคะ”ชุ่ยเตี๋ยเรียกร้องความเป็นธรรมเสียงดังเฟิ่งเชียนอวี่กลอกตามองบน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าร้องตะโกนอะไร? เจ้าเป็นคนของเรือนใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะทำหรือไม่ ล้วนไม่ได้ถือว่าข้าใส่ความเจ้า”ชุ่ยเตี๋ยเงียบ“แต่ว่า ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด โดยทั่วไปนั้น ต้องมีหลักฐานจึงจะโน้มน้าวได้ ดังนั้น...เฟิ่งเชียนอวี่พูด เลิกคิ้วขึ้น หยิบพับไฟขึ้นมา เปิดและเป่าเบาๆ เปลวไฟสีส้มผุดขึ้นมา“ชุ่ยเตี๋ย มา มองที่นี่ จ้องมองเปลวไฟนี้ เจ้าเห็นสิ่งใด?”ชุ่ยเตี๋ยไม่เข้าใจ ส่ายหน้า “บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ”“เป็นไปได้อย่างไร เจ้ามองให้ถี่ถ้วน ต้องมีอะไรแน่นอน ขอเพียงเจ้ามองเห็น ข้าจะปล่อยเจ้าไป”ชุ่ยเตี๋ยได้ยินเช่นนั้น ตั้งใจมองทันที“ถูกต้อง เ