เมื่อได้ยินเสียงนั้น มู่หรงอวี้ก็เห็นท่าไม่ดีเมื่อหันหน้าไป เผชิญกับกู้หว่านเยว่ที่มีรอยยิ้มอันคลุมเครือ ก็ยิ่งเหงื่อตกอย่างฉับพลันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปยังซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ไม่เห็นจะมีสภาพบาดเจ็บตรงไหน“เจ้าโง่ รีบหนีไป!”คนรับใช้จับผิดข้อความอย่างเห็นได้ชัดมู่หรงอวี้ขี่ม้าหนีไปโดยไม่ลังเลเคยมีประสบการณ์ทำหลุดจากมือไปแล้วในคราวก่อน เวลานี้ไม่ว่ากู้หว่านเยว่จะพูดอะไร ก็จะไม่ปล่อยให้มู่หรงอวี้หนีรอดไปได้“ท่านพี่ ไล่ตามไป”กู้หว่านเยว่นำอุปกรณ์ติดตามออกมาจากมิติ ซูจิ่งสิงโอบตัวนางไว้ ก่อนจะเหาะเหินขึ้นไปตามไล่ล่า“พวกเจ้าเข้าไปในถ้ำเพื่อปกป้องคนอื่น ๆ”เล็งอุปกรณ์ติดตามไปที่หลังของมู่หรงอวี้ แล้วปล่อยมันออกไปไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ใด กู้หว่านเยว่ก็สามารถไล่ตามเขาได้“ซวยแล้ว”มู่หรงอวี้กำลังรีบรุดอยู่ข้างหน้า เขาพอจะรู้สึกได้ว่า ครั้งนี้มันอันตรายมากคิดว่าในเมื่อกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ แสดงว่าฝ่ายหญิงลึกลับนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วเขาวิ่งไปที่หลินซีโข่วโดยไม่ลังเลใด ๆ วางแผนที่จะหลบหนีออกจากเขตซีเป่ยโดยทันทีกู้หว่านเยว่อ่านเจตนาของเขาออก ไล่
“ครั้งหนึ่งข้าเคยมีความฝันที่เหมือนจริงมาก” เว่ยเฉิงเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา“ในความฝันข้าสนับสนุนให้มู่หรงอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขากลับคุมขังครอบครัวของข้าทั้งหมด เพราะกลัวว่าข้าจะรู้เรื่องราวในอดีตของเขามากเกินไป ฆ่าลูก ๆ ของข้า ข่มเหงภรรยาผู้เป็นที่รักของข้า...”ดวงตาของเว่ยเฉิงแดงก่ำ เมื่อเห็นดังนั้นหัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้านมีเพียงกู้หว่านเยว่เท่านั้นที่รู้ว่านั่นไม่ใช่ความฝันทั้งหมดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในโลกของหนังสือต้นฉบับ“ไม่ใช่ เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ?” มู่หรงอวี้เหมือนได้ยินเรื่องตลกระดับชาติเขาดูเหมือนจะยอมรับไม่ได้ “เพียงเพราะความฝันเดียว เจ้าก็จะเป็นปฏิปักษ์ต่อข้างั้นหรือ? ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”“ตอนแรกข้าน้อยก็คิดเช่นนี้ ว่านั่นเป็นเพียงความฝัน” เว่ยเฉิงยิ้มเยาะจนกระทั่งเรื่องราวที่อยู่ในความฝันได้กลายเป็นจริงทีละน้อย เขาได้รู้จักกับมู่หรงอวี้ โรคระบาดในเมืองตงโจว...สิ่งเดียวที่แตกต่างจากความฝัน ก็คือคู่สามีภรรยากู้หว่านเยว่ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น เว่ยเฉิงจึงเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขา“แม่นางกู้ ได้โปรดให้โอกาสนี้แก่ข้า”เว่ยเฉิงรีบรุดมายังเ
“มาพึ่งบารมีพวกข้าหรือ?” กู้หว่านเยว่อ้าปากค้าง ผลลัพธ์เช่นนี้นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนสายตาของเว่ยเฉิงเผยความศรัทธาออกมา “ท่านทั้งสองปฏิรูปเจดีย์หนิงกู่อย่างไร ความจริงข้าก็รู้”เขาหลุบตาลง “เว่ยเฉิงเป็นเพียงผู้คงแกเรียน อุตสาหะร่ำเรียนแม้จะยากลำบาก หนึ่ง ไม่ทำให้พ่อแม่ลูกเมียต้องผิดหวังสอง หวังเพียงผู้คนทั่วโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข”ทันใดนั้นเขาก็เหลือบมองซูจิ่งสิง แววตาวิบวับ “พี่ซูคงรู้ภูมิหลังของตัวเองแล้วใช่ไหม?”เรื่องภูมิหลังของซูจิ่งสิง เว่ยเฉิงก็ได้รู้มาจากความฝันเช่นกัน“พี่ซูอยู่ในรัชสมัยต้าฉี พวกท่านสองผัวเมียก่อสร้างเจดีย์หนิงกู่ขึ้นมาได้ดีเช่นนี้ ข้าจึงอยากติดตามพวกท่าน”เว่ยเฉิงพูดจบก็ลุกพรวดขึ้นมาเขาเลิกเสื้อคลุมขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าทั้งสอง“หากท่านทั้งสองไม่รังเกียจ จากนี้ไปท่านทั้งสองคือนายของเว่ยเฉิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเป็นที่สุดหลังจากเรียกสติกลับมา นางก็รีบประคองเว่ยเฉิงขึ้นมา“ใต้เท้าเว่ยรีบลุกขึ้นเร็ว”ในหนังสือต้นฉบับ ความเก่งกาจของเว่ยเฉิงเป็นสิ่งที่แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็ยังเลื่อมใสถ้าไม่มีเขา มู่หรงอวี้ก็ไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้เลยยิ่งไปกว่านั
สำหรับผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้น นางไม่ปฏิเสธใครก็ตามที่เข้ามาประการที่หนึ่ง สามารถช่วยให้ประชาชนไม่ต้องซัดเซพเนจรอยู่ข้างนอก ประการที่สอง จะได้มีแรงงานในการก่อสร้างเจดีย์หนิงกู่อีกด้วยเป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายรถม้ากลับมาถึงหมู่บ้านโซว่หวาง เวลานี้ผู้คนในถ้ำได้ออกมาแล้วกงซุนเสว่และพวกเก็บกวาดความยุ่งเหยิงในหมู่บ้านโซว่หวางใกล้เสร็จแล้ว เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่กลับมา ก็รีบเข้ามาต้อนรับ“ฮูหยิน ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว พอไม่เห็นพวกท่าน พวกข้ายังนึกว่าพวกท่านตกอยู่ในอันตราย”กงซุนเสว่เป็นห่วงมากตอนนี้นางคิดว่ากู้หว่านเยว่สำคัญกว่าตัวเองเสียอีก เพราะอย่างไรเสียถ้าไม่ได้กู้หว่านเยว่ พวกเขาก็คงไม่สามารถกลับมาที่หมู่บ้านโซว่หวางได้ง่ายดายเช่นนี้“ใช่แล้ว พวกข้าจัดการทุกอย่างในหมู่บ้านโซว่หวางใกล้เสร็จแล้ว แค่รอให้ท่านกลับมาควบคุมดูแลสถานการณ์โดยรวม”กงซุนหงยิ้มออกมานางไม่ลืมคำสัญญาครั้งก่อน จากนี้ไปหัวหน้าหมู่บ้านโซว่หวางจะเป็นกู้หว่านเยว่“นี่คือใต้เท้าเว่ย ในหลายวันนี้เขากับพวกท่านจะร่วมกันบูรณะเขตซีเป่ยขึ้นมาใหม่”กู้หว่านเยว่ลูบคางในเมื่อต่อไปเขตซีเป่ยจะเป็น
หลังจากกลับมาที่หมู่บ้านโซว่หวาง กู้หว่านเยว่ก็หยิบหีบสีเทาออกมา “ท่านพี่ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”ซูจิ่งสิงมองดูอย่างถี่ถ้วน “สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นหีบบรรจุเถ้ากระดูก”ด้านนอกหีบสีเทาไม่มีตัวอักษรใด ๆ นี่คือสิ่งที่หญิงลึกลับทิ้งไว้ เดิมทีกู้หว่านเยว่วางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียดพอยินมาว่ามันคือหีบบรรจุเถ้ากระดูก จึงชักมือกลับอย่างไม่พอใจ“ทำไมนางถึงเอาของสิ่งนี้ไปวางไว้ในศาลบรรพบุรุษของหมู่บ้านโซว่หวาง?”“น้องหญิง ขอข้าดูก่อน”ซูจิ่งสิงไม่อยากให้หีบใบนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ จึงเอื้อมมือไปเปิดหีบออกโชคดีสิ่งที่อยู่ข้างในไม่ใช่เถ้ากระดูก แต่เป็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ตัวหนึ่ง“ระวังจะมีพิษ”กู้หว่านเยว่ยื่นถุงมือให้คู่หนึ่ง ซูจิ่งสิงสวมถุงมืออย่างเชื่อฟัง แล้วหยิบเสื้อผ้าออกมา“มันเป็นเสื้อผ้าของผู้ชาย ดูเก่ามาก มีอายุพอสมควร”หีบสีเทานี้ชัดเจนว่าเป็นหีบบรรจุเถ้ากระดูก แต่ข้างในกลับเป็นเสื้อผ้าตัวหนึ่ง”เป็นไปได้สูงมากที่เสื้อผ้าตัวนี้จะเป็นของใครบางคนที่มีความสำคัญกับหญิงลึกลับเนื่องจากไม่มีเถ้ากระดูกของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเก็บเสื้อผ้าตัวนี้ไว้ระลึกถึงกู้หว่านเยว่คาดเดาว่า “หญิ
เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวข้องกับสกุลกงซุน นี่คือคำสั่งของฮ่องเต้ แรกเริ่มที่ยกทัพไปปราบหนานหลีอ๋อง พวกเขาสกุลกงซุนเพียงแค่จัดหาม้าศึกให้เท่านั้น“อย่างที่ท่านพูด หรือว่าจะเป็นคนของหนานหลีอ๋อง ที่กำลังแก้แค้นให้เขางั้นหรือ?”จะมีเสื้อผ้าที่พอดีตัวขนาดนี้ได้ ต้องเป็นคนใกล้ชิดกับหนานหลีอ๋องแน่ “หรือว่าจะเป็นชายาหนานหลีอ๋อง?”กงซุนหงส่ายหัว พูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านไม่รู้อะไรเลย หนานหลีอ๋องไม่เคยเสกสมรส ไม่เคยมีชายา ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้ก็จิตใจโหดร้าย ตอนนั้นนอกจากฮองเฮาแล้ว ผู้คนในจวนหนานหลีอ๋องล้วนตายกันหมด”“พูดแบบนี้ หรือว่าจะเป็นฮองเฮา?”ฮองเฮาเป็นน้องสาวของหนานหลีอ๋อง การแก้แค้นให้หนานหลีอ๋อง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลซูจิ่งสิงเตือนความจำ “ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยหลายโรค หมอหลวงในวังต้องคอยตรวจดูอาการอยู่เสมอ”และหญิงลึกลับผู้นั้นสวมชุดสีขาว เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ไม่มีทางจะเป็นฮองเฮาไปได้เบาะแสขาดหายไปอีกแล้วสองสามีภรรยาขบคิดแทบตายก็หาคำตอบไม่ได้กู้หว่านเยว่จึงเก็บเสื้อผ้ากลับมา อันที่จริงของสิ่งนี้ก็อยู่ในมือของพวกเขาแล้ววันหลังยังมีเวลาเสมอที่จะได้เผชิญหน้ากับหญิงลึกล
เขายกถ้วยยาเข้ามา “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาดูแลด้วยตัวเองจริง ๆ ข้าจัดการเองก็ได้”“ท่านช่วยข้าไว้” แก้มของกงซุนซวงแดงระเรื่อสองตาที่มองชายผู้นั้นเป็นประกายน้ำตา “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านล่อคนเหล่านั้นไป ข้าก็ไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในทางลับได้”เจียงหลินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทำแล้ว ข้ารับปากกับผู้อาวุโสโซว่หวางเอาไว้ ว่าจะปกป้องลูกสาวของเขาเป็นอย่างดี”“ใต้เท้าเจียง ท่านให้ข้าได้ดูแลท่านบ้างเถอะ”ไม่ยากเลยที่จะมองออกว่า ดวงตาของกงซุนซวงเต็มไปด้วยความชื่นชมน่าเสียดายที่เจียงหลินไม่มีอารมณ์จะพูดจาในตอนนี้ นอนอยู่บนเตียงบ่ายเบี่ยงว่าไม่สบายเนื้อตัว แล้วไล่กงซุนซวงออกไปกงซุนซวงถอนหายใจ กังวลว่าหากฝืนอยู่ที่นี่ต่อ จะทำให้เจียงหลินรู้สึกรังเกียจ จึงเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์“น้องหญิงห้า เจ้าบอกข้าทีว่า ตอนนี้หมู่บ้านต้องการการบูรณะใหม่ ทำไมเจ้าถึงเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่ผู้ชาย?”กงซุนหงเข้มงวดเพื่อหวังให้ดีขึ้นน้องหญิงห้าเป็นคนฉลาดเรื่องความรัก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานางเห็นอีกฝ่ายออกมาจากห้องของเจียงหลินไม่ใช่แค่ครั้งเดียว“เขาคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า ข้าแค่
เมิ่งเหยียนมีความคับข้องในใจอยู่แล้ว แล้วจะทนกับการเย้ยหยันเช่นนี้ได้อย่างไร?ไม่พูดอะไรสักคำก็ร้องไห้วิ่งออกมา สุดท้ายก็พบกับกู้หว่านเยว่เข้าพอดี“แทนที่เจ้าจะร้องไห้อยู่ในนี้ สู้ไปอธิบายให้เขาเข้าใจดีกว่า”ลั่วหยางนั่งอยู่ในห้องคัดแยกสมุนไพร ชำเลืองมองเมิ่งเหยียนอย่างจนปัญญา“ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวตนของเจ้าเช่นกัน พูดไปไม่กี่คำ เจ้าก็เจ็บปวดเจียนตาย”ลั่วหยางพูดอย่างจนปัญญา“สู้บอกเขาไปตรง ๆ ว่าเจ้าเป็นใคร ต่อให้ต้องตายก็ตายอย่างเข้าใจ”สองวันมานี้เมิ่งเหยียนร้องไห้สะอึกสะอื้นมาโดยตลอด ลั่วหยางรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว“ข้า ข้าก็อยากจะพูดเหมือนกัน แต่เขาเกลียดข้า”เมิ่งเหยียนเช็ดน้ำตานางย่อมต้องการบอกความจริงออกไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรที่มาเขตซีเป่ยในคราวนี้ ก็เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นแต่ไม่นึกว่า พี่ชายลูกพี่ลูกน้องโกรธมากกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ในคำพูดเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเย้ยหยันที่มีต่อนางแล้วเมิ่งเหยียนจะพูดออกมาได้อย่างไรไม่พูดออกมา อย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังสามารถได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายยังสามารถฉวยโอกาสจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บของอีกฝ่
“ข้าไปดูดินปืนได้หรือไม่?”ฮั่วจี๋กลืนน้ำลาย เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริง ๆ หวังปี้มองไปยังกู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปดู”“ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ยิ้มเล็กน้อย กู้หว่านเยว่มองไปที่เขา “เดินทางมาเหนื่อยยากลำบาก เจ้าทานอะไรหรือยัง? ข้าจะพาเจ้าไปทานข้าวนะ”ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี“ได้”อวิ๋นมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากด้านหลัง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ“พี่สะใภ้!”มู่หรงฉางเล่อแต่งกายเป็นบุรุษอีกแล้ว คราวนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ ติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นมู่“เจ้ามาได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ตกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่รออยู่ที่เจดีย์หนิงกู่อย่างสงบ วิ่งมาที่สนามรบทำไมกัน?“ข้ามาช่วย!”มู่หรงฉางเล่อทุบหน้าอกของตนเอง อย่าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้อายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองเช่นกัน“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในสนามรบไม่ได้ แต่ข้าได้ยินท่านแม่ข้าพูดว่า ฝ่ายสนับสนุนก็มีหลายอย่างที่สามารถช่วยได้”อวิ๋นมู่พยักหน้าเห็นด้วย“ครั้งนี้ต้องขอบคุณนาง ถึงได้ส่งดินปืนมาได้อย่างปลอดภัย”ที่แท้ระหว่างทางพวกเขาเจอกับพวกโจร อาศัยไหวพริบของมู่หรงฉางเล่อ ไ
หลี่เยว่แอบเหลือบมองกู้หว่านเยว่เงียบ ๆ แวบหนึ่งหลี่จินไม่เข้าใจ ยังคงเร่งเร้านาง “น้องเล็ก ท่านหมอหญิงถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้เหม่อลอย?”“เป็นคุณหนูท่านหนึ่งที่ให้ข้ามา”หลี่เยว่ได้สติกลับมา สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“นะ นางถามทางข้า พอให้ปิ่นปักผมข้าแล้วก็ออกจากเมืองไป”อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกหก นางจึงพูดตะกุกตะกัก“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปที่ใด”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก พาชิงเหลียนออกจากร้านขายยาเมื่อขึ้นรถม้า ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาคนมาสองคน แอบตามไปดูที่บ้านสกุลหลี่”ทั้งสองคนกลับไปที่สกุลฮั่ว หนานหยางอ๋องกำลังนำเหล่ารองแม่ทัพมารอนางอยู่“พระชายา” หวังปี้ก้าวเข้ามา เดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังรอคำชี้แนะจากท่าน แม่ทัพเมืองซุ่ยโจวได้ยินว่าเมืองเหยาถูกพวกเรายึดไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะยกทัพมาโจมตี”กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมืองเหยาถูกพวกโจรยึดครองนานกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่เห็นว่าทางซุ่ยโจวจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ บัดนี้ถูกเจดีย์หนิงกู่ยึดครองไปแล้ว ถึงได้เริ่มร้อนใจหรือ?“แ
“บุตรสาวตระกูลอาวุโสจางเพิ่งจะอายุเพียงสิบห้าปีเอง”หลี่จินทอดถอนใจเพราะอีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามมาก ดังนั้นตระกูลอาวุโสจางจึงรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่อยากให้นางแต่งงานเก็บนางไว้ในบ้านตลอด ตั้งใจว่าจะเก็บนางไว้เพิ่มอีกสักสองสามปีบุตรสาวอันเป็นที่รักที่พวกเขาคอยทะนุถนอมมาอย่างดีราวกับไข่มุกอันเลอค่าก็ดันถูกโจรเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงกระทั่งเห็นนางในกลุ่มคนจึงลากนางออกมาจากกลุ่มคน แล้วฝืนใจนางกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ เนื่องจากนางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะรับความอัปยศอดสูนี้ได้?หลังจากที่แม่นางจางกลับไป นางก็เป็นบ้าทันทีในขณะที่คนในบ้านไม่ทันสังเกต นางก็กระโดดบ่อน้ำจบชีวิตลงกว่าจะหามศพขึ้นมาจากน้ำได้ก็อืดแล้วเรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจให้เด็ก ๆ ไม่น้อยนางหลินร้องไห้สะอื้นกู้หว่านเยว่ยืนฟังเรื่องนี้อยู่ด้านนอกก็ยังรับไม่ได้ยามศึกสงคราม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นชาวบ้านอาวุโสแต่ก็หวังว่าสงครามระหว่างเจดีย์หนิงกู่และราชสำนักจะสิ้นสุดในเร็ววัน และเข้าช่วยเหลือชาวบ้านนับหมื่นจากภัยพิบัติในครั้งนี้“ข้ามาดูบาดแผลให้ภรรยาของเจ้า”กู้หว่านเยว่เอ่ย ตัดบทสนทนาของเ
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?นางหลินป่วยหนักปางตายขนาดนี้นางจะมัวแต่คิดถึงหลาน ๆ โดยไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสะใภ้ได้อย่างไร?แม่หลี่หัวเราะเยาะ“แสดงว่าในสายตาของเจ้า แม่สามีอย่างข้าเป็นคนเช่นนี้”ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!นางหลินดูหงอยลงทันทีเดิมทีนางขี้กลัวอยู่แล้ว บวกกับที่แม่สามีมักจะมีฝีปากร้ายกาจเช่นนี้เพราะความอคติแบบนี้ จึงคิดว่าตนนั้นคงเข้ากับแม่สามีไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่...”ไม่ว่านางจะผิดหรือไม่ผิด นางก็มักจะรีบก้มหน้าสำนึกผิดก่อนเสมอแม่หลี่ยิ่งขบขัน “ข้ายังไม่ว่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นให้ใครดูล่ะ รีบนอนลงเดี๋ยวนี้เลย เกิดแผลปริขึ้นมา สามีของเจ้าคงได้เอาชีวิตข้าแน่”“น้องหญิง เจ้านอนพักก่อนเถอะ”หลี่จินรีบเข้าไปประคองนางหลินให้นอนลงแม้ว่าแม่หลี่จะมีฝีปากร้ายกาจ แต่ก็มักจะโกรธง่ายหายเร็วหลังจากได้ระบายออกมาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ“ในตอนที่ข้ามาถึง ได้ยินเยว่เอ๋อร์บอกว่า เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน หลายวันนี้เรื่องภายในบ้านก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนี้อย่างสงบเถิด”คำกล่าวของแม่หลี่ทำให้นางหลินน้ำตาเ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน
หลังจากลองกดหน้าท้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของนางหลินจะต้องเกิดจากรังไข่ที่ฉีกขาดอย่างแน่นอน“มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก แถมภรรยาของเจ้าก็ยังหน้าซีดราวกับกระดาษ ปวดท้องตลอดเวลาแบบนี้ อาจจะทำให้ช็อกได้ทุกเมื่อ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน”กู้หว่านเยว่ดึงมือกลับ นางหลินยังคงนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลพรากราวกับสายฝน นางยังคงสะลึมสะลือหลี่จินจึงกล่าวถามว่า “ผ่าตัดหรือ? อะไรคือผ่าตัด?”“คือการกรีดเปิดหน้าท้องของภรรยาเจ้า จากนั้นก็ซ่อมแซมบาดแผลภายในร่างกาย ห้ามเลือดให้นาง ไม่ให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของนางอีก”อีกฝ่ายไม่เคยเจอวิธีการนี้ในตำรามาก่อน กู้หว่านเยว่พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายอธิบายให้เขาฟังหลี่จินเข้าใจแล้ว แต่กลับตกใจไปชั่วขณะ“ต้องกรีดหน้าท้อง? เช่นนั้นภรรยาของข้าก็ยิ่งทรมานนะสิ”เขามีสีหน้าเป็นกังวล แต่เขากลับเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้ซักถามกู้หว่านเยว่ต่อเพียงแต่เป็นห่วงกลัวนางหลินจะทนไม่ไหว เจ็บจนปางตาย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามียาระงับความเจ็บปวด หากภรรยาของเจ้ากินยานี้แล้ว จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”กู้หว่านเยว่มองไปยังอีกฝ่ายจะผ่าตัดได้หรือไม
“ท่านผู้นี้คือ?”เมื่อหลี่จินได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ ก็รีบหันไปมองนางทันทีแต่กู้หว่านเยว่ใส่หมวกม่านอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง“อย่าเปิดเผยสถานะของข้า”กู้หว่านเยว่กระซิบบอกข้างหูของเจ้าของร้านเบา ๆ เจ้าของร้านจึงรีบพยักหน้า เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีทักษะการแพทย์ จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย “นี่คือหมอหญิงในร้านขายยาของเรา ในเมื่อภรรยาของเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย มิสู้ให้หมอหญิงท่านนี้ตรวจร่างกายให้ภรรยาของเจ้าล่ะ?”เขาลองหยั่งเชิง“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมหรือไม่”สาเหตุที่นางหลินไม่ยอมให้หมออาวุโสผู้นั้นตรวจร่างกายของนาง เพราะเหตุผลที่ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด นางทนต่อคำครหาเหล่านั้นไม่ได้ ทั้งยังกังวลว่าหลังจากที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะถูกผู้อื่นตำหนินางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ บัดนี้ไหน ๆ ก็มีหมอหญิงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้า“หากหมอหญิงผู้นี้สามารถตรวจร่างกายให้ข้าได้ เช่นนั้นก็ดี”นัยน์ตาของหลี่จินเปล่งประกาย“ได้โปรดท่านหมอช่วยตรวจร่างกายให้ภรรยาของข้าด้วยเถิด”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เจ้าของร้านรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นา
“หากเจ้าไม่สบายตรงไหน อย่าฝืนทนเด็ดขาด ต้องตรวจให้แน่ใจ”สายตาของบุรุษฉายแววร้อนใจ มีท่าทีเป็นห่วงอย่างชัดเจนหมอที่อยู่ด้านหลังเห็นทั้งสองคนลังเล จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้“หากท่านทั้งสองคนไม่อยากตรวจ ก็ขยับไปด้านข้างก่อนเถิด อย่าทำให้คนที่มาต่อแถวรอตรวจต้องเสียเวลา”“ไปกันเถอะ”สตรีผู้นั้นพยายามลากบุรุษข้างกายออกไป ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้านหลังจึงรีบรุดขึ้นหน้าทันที เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกไป ภาพตรงหน้าของสตรีผู้นี้ก็ดับวูบ เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น“น้องหญิง ๆ เจ้าเป็นอะไรไป?”หลี่จินกอดนางหลินไว้ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ“ใครก็ได้มาช่วยดูอาการให้น้องหญิงของข้าหน่อย?”คนที่อยู่โดยรอบรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว กู้หว่านเยว่จึงมองไปทางเจ้าของร้านเจ้าของร้านกลับไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านมาหาหมอเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นลมหมดสติอย่างฉับพลันทันทีที่มาถึงหน้าโรงหมอเขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ“ขอผู้ช่วยสองคน ยกแม่นางผู้นี้ขึ้นเปล แล้วหามเข้าไปตรวจภายในห้อง”ผู้ช่วยที่รอคำสั่งอยู่ด้านหลังก็ร
จากเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงเขียนไว้ในจดหมาย บอกไว้ว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่ได้ข้ามแม่น้ำมู่ตันโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กำลังมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของกองทัพจากราชสำนักที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตันกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมบรรเลงเพลงรบด้วยกัน เพราะฝั่งของเรามีดินปืน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้สงครามถึงสองครั้งสงครามยืดเยื้ออย่างน้อยครึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่มีทหารนับแสนคนของราชสำนักก็ได้ต้องถอยทัพออกจากแม่น้ำมู่ตันหลังจากที่กู้หว่านเยว่อ่านจบแล้ว มุมปากก็ได้กระตุกยิ้มอย่างชื่นชมนางรายงานสถานการณ์ของเมืองเหยาให้ซูจิ่งสิงรับรู้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยดี เขาไม่ต้องเป็นห่วง รับมือกับศึกอย่างสบายใจได้เลยเมืองเหยาเกิดหายนะอย่างรุนแรง นางต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุการณ์หลังสงครามหลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นำม้วนกระดาษผูกติดกับขาของนกพิราบทองคำ“ไปเถอะ ไปหาเจ้าของของเจ้า”นกพิราบทองคำกางปีกโผบินออกไป“ฮูหยินคิดถึงท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ชิงเหลียนเห็นกู้หว่านเยว่ที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปิดปากแอบหัวเราะกู้