“พี่สะใภ้ใหญ่ยอดเยี่ยมมาก!”“แค้นต้องชำระ” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา“เมื่อไหร่ข้าจะเก่งเหมือนกับพี่สะใภ้ใหญ่บ้าง”“ต้องมีสักวัน”กู้หว่านเยว่กำลังนึกถึงเรื่องที่ฟู่เยียนหรานถูกนำตัวส่งกลับหนานหยาง หากให้คนคนนี้อยู่ต่อก็มีแต่จะสร้างหายนะให้ทุกคนไม่มีใครรู้ว่านางจะฟื้นตัวเมื่อไหร่?ช่วงเที่ยงวัน ซุนอู่ได้พาทุกคนไปหาจุดพักที่แห้งแล้งเพื่อพักทานข้าวกู้หว่านเยว่เรียกซูจิ่งสิงเดินไปอีกด้านของจุดพัก “ท่านพี่ ท่านอยากทำอาวุธให้ท่านแม่และจิ่นเอ๋อร์ไว้ใช้ป้องกันตัวบ้างหรือไม่ อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ปกป้องตัวเองยามตกอยู่ในอันตราย”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “จิ่นเอ๋อร์และท่านแม่ใช้อาวุธไม่เป็น มีดเหล่านั้นพวกนางใช้ไม่เป็น และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะใช้อะไรมาสร้างเป็นอาวุธให้พวกนางใช้ป้องกันตัวเอง”“ข้าก็เห็นด้วยกับท่าน เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทาง”กู้หว่านเยว่เม้มริมฝีปากและคลี่ยิ้ม ในขณะเดียวกันก็หยิบของที่ซื้อมาจากศูนย์กลางการค้าในห้วงมิติ“นี่คืออะไร?” ซูจิ่งสิงมองดูสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องใส่ปากกาจำนวนหนึ่ง และเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ธนูแขนเสื้อ ขนาดเล็กกะทัดรัด มักจะใ
กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะเบา ๆ “หากเจ้าชอบกิน ก็กินเยอะ ๆ นะ ไม่พอในหม้อยังมีอีก”“ขอบคุณเจ้าค่ะ ฮูหยิน!”เสี่ยวหรงไม่ได้ขี้ระแวงถึงเพียงนั้น หลังจากกินหมดหนึ่งชามแล้วนางก็ไปตักมาเพิ่มอีกพูนชามความหอมเย้ายวนของไส้กรอกแทบจะทำให้สกุลซูที่กำลังกินหมั่นโถวอยู่ข้าง ๆ อยากกินไปด้วย“ท่านแม่ ข้าหิว ข้าอยากกิน!” ตัวตัวจ้องมองหม้อใบนั้นตาไม่กะพริบนางหลิวกลืนน้ำลายหลายอึก นางเองก็อยากกินด้วยเช่นกัน แต่กู้หว่านเยว่ไม่ให้พวกเขากินแน่“เด็กดี อย่ากินเลย ไส้กรอกนั้นไม่อร่อยหรอก อร่อยสู้หมันโถวของเราไม่ได้”หมันโถวที่โดนความเย็นจากหิมะจนแข็งเป็นก้อนหิน หลังจากกินหมันโถวเย็นชืดมาหนึ่งวันเต็ม กามของนางก็เริ่มปวดร้าวไปหมดตัวตัวอดร้องคร่ำครวญไม่ได้ “หมันโถวไม่อร่อย ไส้กรอกน่าอร่อยกว่า ท่านแม่ ข้าอยากกินไส้กรอก ข้าอยากกินไส้กรอก!”“หยุดโวยวายได้แล้ว!”นางหลิวปวดหัวกับเสียงร้องนั้น จึงหวดมือลงบนก้นของตัวตัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ตวาดด้วยความโกรธเคือง“ข้าบอกให้เจ้าหยุดร้อง เจ้าไม่เชื่อฟังข้าใช่หรือไม่ มีของกินก็ดีเท่าไหร่แล้ว ข้าจะไปหาไส้กรอกจากที่ไหนมาให้เจ้า?!”ทันใดนั้นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของต
บนก้านสตรอว์เบอร์รียังมีเนื้อของผลไม้ติดอยู่เล็กน้อย ทำให้ลิ้มรสได้ถึงความหวานอมเปรี้ยวนางหลิวกินเพียงไม่กี่ก้านก็รับรู้ถึงความอร่อยของสตรอว์เบอร์รี นางจึงนำส่วนที่เหลือกลับไปให้ตัวตัวที่มีร่างกายซูบผอม“อร่อยไหม?”“อร่อย” ตัวตัวพยักหน้า“กินเยอะ ๆ นะ” นางหลิวเก็บก้านผลไม้เหล่านั้นไว้ แต่ทันทีที่เงยหน้า นางก็สบเข้ากับสายตารังเกียจของฮูหยินผู้เฒ่าซู“เก็บของเหลือจากคนอื่น หน้าไม่อายจริง ๆ!”นางหลิวแสดงสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติไร้ศักดิ์ศรีเรื่องเล็ก หิวตายนี่สิเรื่องใหญ่ จะสนใจสายตาของคนอื่นทำไมทุกคนเดินทางต่อ แม้ว่าหิมะจะหยุดตกแล้ว แต่ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงกู้หว่านเยว่ต้องแปะแผ่นแปะความร้อนสองชิ้นไว้ใต้เท้าของนาง เพื่อคงความอุ่นไว้ส่วนมือและเท้าของนักโทษคนอื่นเริ่มเกิดเป็นผืนแดง เนื่องจากเดินทางทั้งวันทั้งคืน ทำให้ผื่นแดงบริเวณส้นเท้าและนิ้วเท้าเริ่มเน่าเปื่อย ทุกรอยเท้าจะทิ้งหยดเลือดซึมเอาไว้ เห็นแล้วน่าเวทนายิ่งนัก“กรี๊ด!”ทันใดนั้นหลี่ฮูหลินก็กรีดร้องด้วยความตกใจ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร?”นายท่านหลี่รีบรุดหน้
กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงหันกลับมากำชับหลี่เฉินอัน “เจ้าก็อยู่ห่างพวกเขาหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด”“ข้ารู้แล้ว” หลี่เฉินอันกล่าวด้วยแววตาหม่นหมองไม่ว่าจะเกลียดชังเพียงใด ก็ต้องอดทนไปจนถึงเจดีย์หนิงกู่รอบตัวของสวีหลานเต็มไปด้วยนักฆ่าและองครักษ์ หากพวกเขาเจอกัน ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้น“ไปหาที่พักก่อนเถอะ”ซุนอู่เจรจากับนักพรตอยู่ในอารามเต๋าพักใหญ่ จนได้ห้องนอนรวมหนึ่งห้องกลุ่มคนทยอยกันเข้าไปจับจองเตียงภายในห้อง แต่เรื่องที่ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องตกตะลึงก็คือการที่พวกเขาเจอกับนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่นี่พวกเขาอยู่ห้องนอนรวมถัดจากห้องของพวกนาง“ฮ่องเต้น้อยชอบเนรเทศคนจริง ๆ สินะ”กู้หว่านเยว่กลับไม่ได้ประหลาดใจ ทันทีที่เดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่ กลุ่มนักโทษจากทั่วสารทิศต่างค่อย ๆ มารวมตัวกันที่นี่“พวกเขาน่าเวทนายิ่งนัก....”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวกระซิบเสียงเบานักโทษที่อยู่ในห้องนอนรวมถัดจากพวกนางต่างมีร่างกายซูบผอม ไร้เรี่ยวแรงเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเทียบกับพวกเขาแล้ว นับว่าพวกเขาโชคดีกว่ามาก“อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเย็นชาเห็นได้ชัดว่าระหว่างทางนักโทษกล
นางมักจะรู้สึกว่าซูหรานหร่านไม่มีวันหนีไปเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้นนางเองก็ไม่รู้เมื่อเห็นนักการออกตามหานาง กู้หว่านเยว่จึงให้ซูจิ่นเอ๋อร์เก็บไส้กรอกนั้นไว้“ทำไมที่นี่ถึงได้เสียงดังเช่นนี้?”หวังปี้เดินเข้ามา และเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้กู้หว่านเยว่คิดว่าเขาคงจะรู้จักซูหรานหร่าน จึงไม่ได้ปิดบังอะไร“ซูหรานหร่านหายตัวไป”“หายตัวไป? อยู่ดี ๆ ทำไมนางถึงหายตัวไปล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าว “ก็บ้านสกุลซูบอกว่านางหนีไปแล้ว”หวังปี้แปลกใจ ดูจากท่าทีที่อ่อนโยนและเข้มแข็งของแม่นางซูแล้วไม่เหมือนกับคนที่คิดหนีเลยสักนิด หรือว่าจะมีการเข้าใจผิด?“จริงสิ ยาแก้ปวดของท่านอ๋องหมดแล้ว แม่นางกู้พอจะมีเวลาไปดูให้หน่อยได้หรือไม่”ยาแก้พิษยังไม่ได้รับการวิจัยออกมา ดังนั้นหลายวันมานี้ หนานหยางอ๋องจึงยังคงคอยตามพวกเขากู้หว่านเยว่ลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา “มาแล้ว”“ข้าจะไปกับท่าน”ซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บธนูแขนเสื้อที่ใช้เวลาในการวิจัยมาหนึ่งวันเต็ม เขาขยี้ตาที่แดงก่ำเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและตามพวกนางออกไปหนานหยางอ๋องพักอยู่โรงเตี๊ยมด้านหน้า หวังปี้ถือโคมไฟเดินนำทางอยู่ด้านห
กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้ ก่อนจะหาวิธีทำให้ทั้งสองแม่ลูกหมดสติ นางกล่าวกับหวังปี้ว่า“ตามคนเหล่านี้ แล้วส่งตัวให้กับท่านอ๋องอาวุโส”นักโทษสามคนนี้สมควรตาย“แม่นางซูทำอย่างไรดี?” หวังปี้มองดูซูหรานหร่านที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลทางฝั่งของซูจิ่งสิงได้นำตัวทั้งสามคนมามัดไว้ด้วยกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็จนปัญญาเช่นกัน“ข้าต้องจัดการกับครอบครัวนี้” ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันได้ออกไปลักพาตัวหญิงสาวคนอื่นอีก“ดูท่าทางคงต้องขอร้องพี่ใหญ่หวังเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เขย่ากล่องยาในมือหวังปี้พยักหน้า เขาไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เวลานี้เขามัวแต่กลัวว่าคนเหล่านั้นจะทำลายความบริสุทธิ์ของซูหรานหร่านแต่แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ ตอนที่เขาเร่ร่อนอยู่ด้านนอก เขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากเขาโน้มตัวลงและทำการแบกคนเหล่านั้น“พาตัวนางไปไว้ในเรือนรับแขกก่อน หากพานางกลับไปยังเตียงนอนรวมคงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน”เห็นได้ชัดว่าซูหรานหร่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หากนางกลับไปมีหวังคงถูกคนในสกุลซูด่ากราด สู้ให้นางพักอยู่ด้านนอกก่อน“ได้ เช่นนั้นข้าจะพาน
หนานหยางอ๋องยังไม่ทันได้สติ “เหลาหลี่ เสี่ยวอู่เป็นอะไร?”ท่านแม่ทัพหลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“หลายวันมานี้ ข้าเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เลยจับตาดูเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งข้าเห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก และยังแอบปล่อยนกพิราบส่งข่าวออกไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าส่งจดหมายรายงานนายท่านคนไหน!”ใบหน้าของเสี่ยวอู่ปูดบวม ไม่กล้าสบตากับหนานหยางอ๋อง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจหนานหยางอ๋องได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง“เสี่ยวอู่ เจ้าจะทำอะไร?”เสี่ยวอู่ไม่กล้าเอ่ย ในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ท่านแม่ทัพหลี่ยกเท้าเตะเขาอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือคนช่วยชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ? โชคดีที่ข้าสกัดกั้นเส้นทางการบินของนกพิราบส่งข่าวเอาไว้ได้ ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”ท่านแม่ทัพหลี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา บนปีกของนกตัวนั้นเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เท้าของมันถูกมัดด้วยกระดาษม้วนหนึ่ง“หยิบมาให้ข้า”หนานหยางอ๋องยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่านไม่นานตัวของเขาก็สั่นเท
พิษที่กินเข้าไปเป็นพิษร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิต“เสี่ยวอู่ตายแล้ว เบาะแสสำคัญก็จบสิ้น”ท่านแม่ทัพหลี่พึมพำเบา ๆ แต่ทุกคนรู้แก่ใจดี คนที่วางยาพิษ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฮ่องเต้น้อยถึงอย่างไรนอกจากเขาแล้ว จะยังมีใครที่กล้าลงมือในราชวงศ์เช่นนี้กู้หว่านเยว่มองหนานหยางอ๋องด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง ต่อไปท่านจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับซูจิ่งสิงหนานหยางอ๋องกลับจมอยู่ในความคิดก่อนจะรีบส่ายหน้า“เรื่องนี้ ยังตัดสินว่าเป็นฝีมือของใครไม่ได้ ไว้ข้ากลับไป ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”หากเป็นฝีมือของฮ่องเต้จริง ๆ .... หนานหยางอ๋องคงเจ็บปวดไม่น้อยดั่งคำกล่าวที่ว่า ฮ่องเต้สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตายหนานหยางอ๋องคือขุนนางอาวุโส และมีความจงรักภักดีมากแทนที่จะบอกว่าเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ สู้บอกว่าเขาจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉีดีกว่า“ตราบใดที่ประชาชนของลั่วอันอยู่กันอย่างสงบสุข ข้าจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนลืมสิ้นความแค้น”หนานหยางอ๋องกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม กู้หว่านเยว่อดมองอีกฝ่ายไม่ได้คนคนนี้ใส่ใจประชาชนอย่างมากเ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง