“ใต้เท้าไม่รู้อะไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ถูกโจรลักพาตัวไป แต่ข้าถูกท่านพ่อกับท่านแม่แท้ ๆ ของตัวเองขายให้กับโจรเหล่านั้นเป็นจำนวนเงินห้าเหรียญเงินจีน! ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ใช่คน พวกเขารักบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ต้องการเพียงบุตรชายไม่ต้องการบุตรสาว ที่ขายข้าให้กับคนพวกนั้นก็เพื่อหาเงินมาเป็นค่าสินสอดให้กับพี่ชายของข้า! หากข้ากลับบ้าน ก็เหมือนกลับไปอยู่ในดงหมาป่าอีกครั้ง”“ท่านมาและท่านพ่อของเจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก”ฟู่หลานเหิงตื่นตกใจละคนกับรู้สึกลำบากใจ“หากเจ้าไม่กลับบ้าน แล้วเจ้าจะไปไหน? เจ้ามีสหายหรือญาติพี่น้องหรือไม่?”หยางหลิวส่ายหน้า “หญิงสาวชาวบ้านที่ล่องลอยเป็นผีไม่มีศาลอย่างข้าไม่มีที่ไปหรอกเจ้าค่ะ”อาจารย์หูกล่าวแนะนำ “ข้างกายของใต้เท้าไม่มีคนรับใช้เช่นกัน ไม่สู้ให้นางอยู่เป็นคนรับใช้ข้างกายท่านดีหรือไม่? เช่นนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขเรื่องที่อยู่ของนางได้แล้ว ยังมีคนดูแลท่านด้วย ข้าว่าดีต่อทั้งสองฝ่ายนะ?”ดวงตาของหยางหลิวเป็นประกาย คำแนะนำนี้เป็นเรื่องที่นางปรารถนาพอดีนางรีบคุกเข่าลง“ข้ายอมเป็นม้าเป็นวัวของใต้เท้า เป็นสาวใช้ของใต้เท้าเจ้าค่ะ”ฟู่หลานเหิงบุรุษผู้มีความสามารถแล
“พี่สะใภ้ใหญ่ยอดเยี่ยมมาก!”“แค้นต้องชำระ” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา“เมื่อไหร่ข้าจะเก่งเหมือนกับพี่สะใภ้ใหญ่บ้าง”“ต้องมีสักวัน”กู้หว่านเยว่กำลังนึกถึงเรื่องที่ฟู่เยียนหรานถูกนำตัวส่งกลับหนานหยาง หากให้คนคนนี้อยู่ต่อก็มีแต่จะสร้างหายนะให้ทุกคนไม่มีใครรู้ว่านางจะฟื้นตัวเมื่อไหร่?ช่วงเที่ยงวัน ซุนอู่ได้พาทุกคนไปหาจุดพักที่แห้งแล้งเพื่อพักทานข้าวกู้หว่านเยว่เรียกซูจิ่งสิงเดินไปอีกด้านของจุดพัก “ท่านพี่ ท่านอยากทำอาวุธให้ท่านแม่และจิ่นเอ๋อร์ไว้ใช้ป้องกันตัวบ้างหรือไม่ อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ปกป้องตัวเองยามตกอยู่ในอันตราย”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “จิ่นเอ๋อร์และท่านแม่ใช้อาวุธไม่เป็น มีดเหล่านั้นพวกนางใช้ไม่เป็น และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะใช้อะไรมาสร้างเป็นอาวุธให้พวกนางใช้ป้องกันตัวเอง”“ข้าก็เห็นด้วยกับท่าน เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทาง”กู้หว่านเยว่เม้มริมฝีปากและคลี่ยิ้ม ในขณะเดียวกันก็หยิบของที่ซื้อมาจากศูนย์กลางการค้าในห้วงมิติ“นี่คืออะไร?” ซูจิ่งสิงมองดูสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องใส่ปากกาจำนวนหนึ่ง และเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ธนูแขนเสื้อ ขนาดเล็กกะทัดรัด มักจะใ
กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะเบา ๆ “หากเจ้าชอบกิน ก็กินเยอะ ๆ นะ ไม่พอในหม้อยังมีอีก”“ขอบคุณเจ้าค่ะ ฮูหยิน!”เสี่ยวหรงไม่ได้ขี้ระแวงถึงเพียงนั้น หลังจากกินหมดหนึ่งชามแล้วนางก็ไปตักมาเพิ่มอีกพูนชามความหอมเย้ายวนของไส้กรอกแทบจะทำให้สกุลซูที่กำลังกินหมั่นโถวอยู่ข้าง ๆ อยากกินไปด้วย“ท่านแม่ ข้าหิว ข้าอยากกิน!” ตัวตัวจ้องมองหม้อใบนั้นตาไม่กะพริบนางหลิวกลืนน้ำลายหลายอึก นางเองก็อยากกินด้วยเช่นกัน แต่กู้หว่านเยว่ไม่ให้พวกเขากินแน่“เด็กดี อย่ากินเลย ไส้กรอกนั้นไม่อร่อยหรอก อร่อยสู้หมันโถวของเราไม่ได้”หมันโถวที่โดนความเย็นจากหิมะจนแข็งเป็นก้อนหิน หลังจากกินหมันโถวเย็นชืดมาหนึ่งวันเต็ม กามของนางก็เริ่มปวดร้าวไปหมดตัวตัวอดร้องคร่ำครวญไม่ได้ “หมันโถวไม่อร่อย ไส้กรอกน่าอร่อยกว่า ท่านแม่ ข้าอยากกินไส้กรอก ข้าอยากกินไส้กรอก!”“หยุดโวยวายได้แล้ว!”นางหลิวปวดหัวกับเสียงร้องนั้น จึงหวดมือลงบนก้นของตัวตัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ตวาดด้วยความโกรธเคือง“ข้าบอกให้เจ้าหยุดร้อง เจ้าไม่เชื่อฟังข้าใช่หรือไม่ มีของกินก็ดีเท่าไหร่แล้ว ข้าจะไปหาไส้กรอกจากที่ไหนมาให้เจ้า?!”ทันใดนั้นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของต
บนก้านสตรอว์เบอร์รียังมีเนื้อของผลไม้ติดอยู่เล็กน้อย ทำให้ลิ้มรสได้ถึงความหวานอมเปรี้ยวนางหลิวกินเพียงไม่กี่ก้านก็รับรู้ถึงความอร่อยของสตรอว์เบอร์รี นางจึงนำส่วนที่เหลือกลับไปให้ตัวตัวที่มีร่างกายซูบผอม“อร่อยไหม?”“อร่อย” ตัวตัวพยักหน้า“กินเยอะ ๆ นะ” นางหลิวเก็บก้านผลไม้เหล่านั้นไว้ แต่ทันทีที่เงยหน้า นางก็สบเข้ากับสายตารังเกียจของฮูหยินผู้เฒ่าซู“เก็บของเหลือจากคนอื่น หน้าไม่อายจริง ๆ!”นางหลิวแสดงสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติไร้ศักดิ์ศรีเรื่องเล็ก หิวตายนี่สิเรื่องใหญ่ จะสนใจสายตาของคนอื่นทำไมทุกคนเดินทางต่อ แม้ว่าหิมะจะหยุดตกแล้ว แต่ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงกู้หว่านเยว่ต้องแปะแผ่นแปะความร้อนสองชิ้นไว้ใต้เท้าของนาง เพื่อคงความอุ่นไว้ส่วนมือและเท้าของนักโทษคนอื่นเริ่มเกิดเป็นผืนแดง เนื่องจากเดินทางทั้งวันทั้งคืน ทำให้ผื่นแดงบริเวณส้นเท้าและนิ้วเท้าเริ่มเน่าเปื่อย ทุกรอยเท้าจะทิ้งหยดเลือดซึมเอาไว้ เห็นแล้วน่าเวทนายิ่งนัก“กรี๊ด!”ทันใดนั้นหลี่ฮูหลินก็กรีดร้องด้วยความตกใจ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร?”นายท่านหลี่รีบรุดหน้
กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงหันกลับมากำชับหลี่เฉินอัน “เจ้าก็อยู่ห่างพวกเขาหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด”“ข้ารู้แล้ว” หลี่เฉินอันกล่าวด้วยแววตาหม่นหมองไม่ว่าจะเกลียดชังเพียงใด ก็ต้องอดทนไปจนถึงเจดีย์หนิงกู่รอบตัวของสวีหลานเต็มไปด้วยนักฆ่าและองครักษ์ หากพวกเขาเจอกัน ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้น“ไปหาที่พักก่อนเถอะ”ซุนอู่เจรจากับนักพรตอยู่ในอารามเต๋าพักใหญ่ จนได้ห้องนอนรวมหนึ่งห้องกลุ่มคนทยอยกันเข้าไปจับจองเตียงภายในห้อง แต่เรื่องที่ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องตกตะลึงก็คือการที่พวกเขาเจอกับนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่นี่พวกเขาอยู่ห้องนอนรวมถัดจากห้องของพวกนาง“ฮ่องเต้น้อยชอบเนรเทศคนจริง ๆ สินะ”กู้หว่านเยว่กลับไม่ได้ประหลาดใจ ทันทีที่เดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่ กลุ่มนักโทษจากทั่วสารทิศต่างค่อย ๆ มารวมตัวกันที่นี่“พวกเขาน่าเวทนายิ่งนัก....”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวกระซิบเสียงเบานักโทษที่อยู่ในห้องนอนรวมถัดจากพวกนางต่างมีร่างกายซูบผอม ไร้เรี่ยวแรงเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเทียบกับพวกเขาแล้ว นับว่าพวกเขาโชคดีกว่ามาก“อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเย็นชาเห็นได้ชัดว่าระหว่างทางนักโทษกล
นางมักจะรู้สึกว่าซูหรานหร่านไม่มีวันหนีไปเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้นนางเองก็ไม่รู้เมื่อเห็นนักการออกตามหานาง กู้หว่านเยว่จึงให้ซูจิ่นเอ๋อร์เก็บไส้กรอกนั้นไว้“ทำไมที่นี่ถึงได้เสียงดังเช่นนี้?”หวังปี้เดินเข้ามา และเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้กู้หว่านเยว่คิดว่าเขาคงจะรู้จักซูหรานหร่าน จึงไม่ได้ปิดบังอะไร“ซูหรานหร่านหายตัวไป”“หายตัวไป? อยู่ดี ๆ ทำไมนางถึงหายตัวไปล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าว “ก็บ้านสกุลซูบอกว่านางหนีไปแล้ว”หวังปี้แปลกใจ ดูจากท่าทีที่อ่อนโยนและเข้มแข็งของแม่นางซูแล้วไม่เหมือนกับคนที่คิดหนีเลยสักนิด หรือว่าจะมีการเข้าใจผิด?“จริงสิ ยาแก้ปวดของท่านอ๋องหมดแล้ว แม่นางกู้พอจะมีเวลาไปดูให้หน่อยได้หรือไม่”ยาแก้พิษยังไม่ได้รับการวิจัยออกมา ดังนั้นหลายวันมานี้ หนานหยางอ๋องจึงยังคงคอยตามพวกเขากู้หว่านเยว่ลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา “มาแล้ว”“ข้าจะไปกับท่าน”ซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บธนูแขนเสื้อที่ใช้เวลาในการวิจัยมาหนึ่งวันเต็ม เขาขยี้ตาที่แดงก่ำเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและตามพวกนางออกไปหนานหยางอ๋องพักอยู่โรงเตี๊ยมด้านหน้า หวังปี้ถือโคมไฟเดินนำทางอยู่ด้านห
กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้ ก่อนจะหาวิธีทำให้ทั้งสองแม่ลูกหมดสติ นางกล่าวกับหวังปี้ว่า“ตามคนเหล่านี้ แล้วส่งตัวให้กับท่านอ๋องอาวุโส”นักโทษสามคนนี้สมควรตาย“แม่นางซูทำอย่างไรดี?” หวังปี้มองดูซูหรานหร่านที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลทางฝั่งของซูจิ่งสิงได้นำตัวทั้งสามคนมามัดไว้ด้วยกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็จนปัญญาเช่นกัน“ข้าต้องจัดการกับครอบครัวนี้” ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันได้ออกไปลักพาตัวหญิงสาวคนอื่นอีก“ดูท่าทางคงต้องขอร้องพี่ใหญ่หวังเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เขย่ากล่องยาในมือหวังปี้พยักหน้า เขาไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เวลานี้เขามัวแต่กลัวว่าคนเหล่านั้นจะทำลายความบริสุทธิ์ของซูหรานหร่านแต่แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ ตอนที่เขาเร่ร่อนอยู่ด้านนอก เขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากเขาโน้มตัวลงและทำการแบกคนเหล่านั้น“พาตัวนางไปไว้ในเรือนรับแขกก่อน หากพานางกลับไปยังเตียงนอนรวมคงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน”เห็นได้ชัดว่าซูหรานหร่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หากนางกลับไปมีหวังคงถูกคนในสกุลซูด่ากราด สู้ให้นางพักอยู่ด้านนอกก่อน“ได้ เช่นนั้นข้าจะพาน
หนานหยางอ๋องยังไม่ทันได้สติ “เหลาหลี่ เสี่ยวอู่เป็นอะไร?”ท่านแม่ทัพหลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“หลายวันมานี้ ข้าเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เลยจับตาดูเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งข้าเห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก และยังแอบปล่อยนกพิราบส่งข่าวออกไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าส่งจดหมายรายงานนายท่านคนไหน!”ใบหน้าของเสี่ยวอู่ปูดบวม ไม่กล้าสบตากับหนานหยางอ๋อง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจหนานหยางอ๋องได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง“เสี่ยวอู่ เจ้าจะทำอะไร?”เสี่ยวอู่ไม่กล้าเอ่ย ในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ท่านแม่ทัพหลี่ยกเท้าเตะเขาอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือคนช่วยชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ? โชคดีที่ข้าสกัดกั้นเส้นทางการบินของนกพิราบส่งข่าวเอาไว้ได้ ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”ท่านแม่ทัพหลี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา บนปีกของนกตัวนั้นเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เท้าของมันถูกมัดด้วยกระดาษม้วนหนึ่ง“หยิบมาให้ข้า”หนานหยางอ๋องยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่านไม่นานตัวของเขาก็สั่นเท
ดูท่าทางจะมีนิสัยหยาบช้า เป็นคนต่ำต้อย”กู้หว่านเยว่คิดถูก สวีซวี่รื่อผู้นี้อาฆาตพยาบาทเช่นนี้ หากสำนักเทียนจีตกอยู่ในกำมือของเขาจริง ๆ เกรงว่าต่อไปเขาจะต้องควบคุมสำนักเทียนจีให้มาสู้รบกับพวกเขาเป็นแน่แทนที่จะรอถึงวันนั้น ไม่สู้ชิงลงมือก่อน“ท่านพี่ ท่านรู้หรือไหมว่าสำนักเทียนจีอยู่แห่งหนไหน?”“สำนักเทียนจีห่างจากเราไม่ไกลนัก ออกเดินทางจากที่นี่ ใช้เวลาประมาณสามถึงห้าวันก็ถึงที่หมายแล้ว”เขาเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ในทันที“เจ้าคิดจะแทรกแซงการคัดเลือกเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจีด้วยใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่ชอบล้างแค้นมาแต่ไหนแต่ไร หากผู้อื่นไม่ยั่วยุนาง นางก็ไม่มีทางยั่วยุผู้อื่นสวีซวี่รื่อผู้นี้กล้าส่งนักฆ่ามาฆ่านาง ก็อย่ามาโทษว่านางตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำลายความปรารถนาของเขาก็แล้วกัน“ก็ดี แต่พวกเราจะบุ่มบ่ามบุกไปเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะให้คนไปตรวจสอบที่สำนักเทียนจีก่อน”“เรื่องนี้จะรีบไม่ได้ รอให้ท่านและไป๋หลี่ชิงซีเจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”กู้หว่านเยว่โบกมือ นางไม่ใช่คนใจร้อนอีกอย่าง เจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจีผู้นั้นก็แค่ล้มป่วย ตอนนี้ยังไม่ตายเสียหน่อยสองสามีภร
“เพราะอาการป่วยประหลาดของเขาสินะ”ซูจิ่งสิงไม่ได้ประหลาดใจนัก เห็นได้ชัดว่าเขาคาดเดาได้“เจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจีป่วยหนัก บัดนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเลือกเจ้าสำนักคนต่อไป แม้ว่าร่างกายของไป๋หลี่ชิงซีจะป่วยโรคประหลาด แต่ในฐานะที่เขาเป็นลูกศิษย์คนโตของเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจี ความสามารถด้านวรรณกรรม ยุทธวิธีและสงครามย่อมเหนือกว่าทุกคน จึงย่อมคาดหวังว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนจีคนต่อไป ไม่แปลกใจเลยที่บางคนเลือกช่วงเวลานี้เล่นงานเขา”ซูจิ่งสิงคว้ามือของนางไว้ และอธิบายถึงที่มาที่ไปให้นางฟังเบา ๆหลังจากกู้หว่านเยว่ได้ฟังก็เข้าใจทันที ว่าทำไมสวีซวี่รื่อผู้นั้นถึงกัดไป๋หลี่ชิงซีไม่ยอมปล่อย ทั้งยังแอบเข้ามาในโรงหมออีกด้วยคงอยากพิสูจน์ว่าการที่ไป๋หลี่ชิงซีมีก้อนเนื้อประหลาดนั้นทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอยากรู้จริง ๆ ว่าบุรุษที่แบกเจ้าก้อนเนื้อประหลาดคนหนึ่งจะแบกรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปแห่งสำนักเทียนจีได้อย่างไร นี่อาจจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสำนักเทียนจีไปเลยก็ได้ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังพูดคุยกันนั้น หัวคิ้วของซูจิ่งสิงได้ขมวดเข้าหากัน“มีคนตามอยู่ด้านหลัง”สิ้นสุดเส
กระทั่งได้ยินหลี่เหมียนหยางกล่าวกับหมอหลินว่า “หมอหลิน หมอช่วยตรวจชีพจรให้ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าหน่อย ชีพจรความสุขของเขายังมีอยู่อีกหรือไม่?”หมอหลินถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เจ้าไม่เชื่อใจแม่นางกู้ของพวกเรา นางตรวจอาการให้ศิษย์พี่ของเจ้าแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน”“เหมียนหยาง!” ไป๋หลี่ชิงซีค่อนข้างอึดอัด “ไม่ต้องตรวจแล้ว ข้าเชื่อใจหมอเทวดากู้”“ศิษย์พี่ไป๋หลี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของข้าคือให้หมอคนอื่นมาตรวจจะได้มั่นใจมากยิ่งขึ้น”ก็ได้ หลี่เหมียนหยางไม่รู้ว่าต้องอธิบายอย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าอายุของกู้หว่านเยว่ยังน้อย กังวลว่าจะเกิดความผิดพลาด ดังนั้นจึงอยากให้หมอคนอื่นมาตรวจอีกครั้ง“ทักษะการแพทย์ของหมอเทวดากู้โดดเด่นยิ่งกว่าใคร อีกอย่างข้าเชื่อในความสามารถของนาง หากนางรักษาข้าไม่ได้ นางไม่มีทางปิดบังข้า”“อือ” หลี่เหมียนหยางรู้สึกอึดอัดใจ นางเองก็ทำเพื่อร่างกายของศิษย์พี่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกศิษย์พี่ตำหนิเช่นนี้“แล้วเลือดในอ่างนั้นจะทำอย่างไร?”“เททิ้ง” เจ้าสิ่งนี้ทรมานเขามาหลายสิบปีแล้ว ทำให้เขาโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะและโดนฉีกหน้ามามากพอแล้ว เขาไม่อยากเห็นมันอีก หลี
หลี่เหมียนหยางกล่าวถามด้วยความร้อนใจ กู้หว่านเยว่พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถูกต้อง”นางเองก็ไม่อยากโกหกถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ออกมาจากในท้องของไป๋หลี่ชิงซี เพียงแต่ถูกยาพิษของปรมาจารย์แพทย์หลอมละลายกลายเป็นเลือด จนดูไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดก็เท่านั้น“เยี่ยมไปเลย”หลี่เหมียนหยางคลี่ยิ้มอย่างตื่นเต้น นางดีใจแทนไป๋หลี่ชิงซีมีของสิ่งนี้อยู่คงจะพิสูจน์ได้แล้วว่าในท้องของไป๋หลี่ชิงซีเดิมทีไม่ใช่ก้อนเนื้อประหลาดระหว่างที่ดีใจนั้น นางได้เบิกตามองสวีซวี่รื่อ“สวีซวี่รื่อ เจ้ามาทำไม” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด“ข้า ข้าเป็นห่วงศิษย์พี่ใหญ่”สวีซวี่รื่อหาข้ออ้างอย่างร้อนตัว แต่กลับถูกหลี่เหมียนหยางตัดบท“อย่ามาแสร้งเห็นอกเห็นใจหน่อยเลย หากไม่ใช่เพราะเจ้าส่งคนมายั่วยุศิษย์พี่ เขาจะกระอักเลือดหรือไม่?”นางกระชากสวีซวี่รื่อมาตรงหน้าอ่างไม้“เจ้าสงสัยว่าในท้องของศิษย์พี่มีก้อนเนื้อประหลาดไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าดูให้ชัด ๆ สิว่ามันคือสิ่งใด?”นางอยากจะกดหัวของสวีซวี่รื่อลงไปในอ่างไม้ด้วยซ้ำ เขาพยายามผลักออกอย่างตื่นตระหนก“ศิษย์น้องหลี่ เรามาเยี่ยมศิษย์พี่ใหญ่จริง ๆ ในเม
“ดูสิว่าพวกเขาจะทำอะไร”นางเอ่ยเสียงเบา ปรมาจารย์แพทย์รีบข่มอารมณ์ลงทันทีกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวตรงหน้าต่าง ดูเหมือนจะมีคนแอบดูสถานการณ์ด้านในผ่านช่องว่างของหน้าต่าง“คุณชาย ไม่มีใครเลยขอรับ”หนึ่งในบุคคลปริศนากล่าวเสียงต่ำ จากนั้นเงาดำสองร่างก็กระโดดเข้ามาจากหน้าต่างเป็นสวีซวี่รื่อ บุรุษผู้นี้แอบเข้ามาในโรงหมอ ข้างกายของเขาก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนจี“รีบหาของนั้นเร็วเข้า”เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นรออยู่ด้านนอกนานมากแล้ว ทันทีที่เข้ามาก็พุ่งหาเป้าหมายทันใด“ดูเหมือนจะอยู่ในอ่างไม้”ลูกศิษย์คนนั้นเดินมายังอ่างไม้ ใบหน้าของปรมาจารย์แพทย์เริ่มฉายแววลำพองใจ แต่เมื่อได้ยินลูกศิษย์ผู้นั้นก็พลันขมวดคิ้ว“เหม็นยิ่งนัก!”ในอ่างไม้มีเพียงเลือดที่มีกลิ่นเหม็นเน่า สวีซวี่รื่อเห็นแล้วแทบจะอาเจียนออกมาในทันที รีบโบกมือไล่กลิ่น“รีบไปหาตรงอื่นเถอะ”สวีซวี่รื่อกลัวว่ากู้หว่านเยว่จะกลับมาอีกครั้ง จึงต้องเร่งมือเป็นสองเท่า“ต้องหาก้อนเนื้อนั้นให้ได้ แล้วนำกลับไปให้คนของสำนักเทียนจีดู”ทั้งสองคนเปิดตู้ค้นหา กู้หว่านเยว่ได้ยินถึงตรงนี้แล้วก็รู้ทันทีว่าสวีซวี่รื่อคนนี้มาทำไมครั้นเห
“เด็กโง่”ปรมาจารย์แพทย์พุ่งเข้ามา เขารีบห้ามเลือดให้ไป๋หลี่ชิงซีอย่างเร่งด่วนแต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ทั้งหมด“คุณชายไป๋หลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”กู้หว่านเยว่กล่าวพลางรุดเข้ามาข้างเตียง จากนั้นก็เปิดเสื้อของเขา และตรวจร่างกายให้เขาหลี่เหมียนหยางอยากจะกล่าวบางอย่าง แต่สถานการณ์กำลังตึงเครียด จึงรีบปิดปากอีกครั้ง“เลือดออกในช่องท้อง ต้องรีบนำก้อนเนื้อนั้นออกมาโดยเร็วที่สุด”ปรมาจารย์แพทย์บอกผลตรวจของเขา ซึ่งเหมือนกับผลตรวจของกู้หว่านเยว่นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “คงจะรอหลังจากนี้อีกเจ็ดแปดวันไม่ได้แล้ว ต้องเริ่มผ่าตัดตอนนี้”เดิมทีนางอยากให้ลั่วยางมาเรียนรู้ด้วย เนื่องจากเคยตกปากรับคำกับปรมาจารย์แพทย์ไปแล้ว กู้หว่านเยว่จะไม่พาใครเข้าไปในห้วงมิติ ต้องทำการผ่าตัดด้านนอกโชคดีที่ในตอนที่ออกมา กู้หว่านเยว่ได้ให้หงเจาเข้าไปหยิบกล่องยาในจวนกู้ออกมาด้วยทันทีที่นางพูดกับปรมาจารย์แพทย์จบ หงเจาก็มาถึงพอดี“ฮูหยิน กล่องยาของท่าน”“วางลงเถอะ”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องยา ภายในกล่องยามีมีดผ่าตัดและอุปกรณ์ฆ่าเชื้อที่นางเตรียมเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว“ปรมาจารย์แพทย์เฒ่า วันนี้เกรงว่าต้องรบกวนท่านเป็นลู
กู้หว่านเยว่คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่นาน ครั้นเห็นว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว จึงรีบกลับเข้ามาในงานเลี้ยง“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”“สองคำนับพ่อแม่”“สามคำนับกันและกัน”เกาโจวและฮูหยินผู้เฒ่าเกาคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ “ดี ๆ โจวเซิง ต่อไปนี้เจ้าต้องดีกับเสวี่ยเอ๋อร์ให้มาก ๆนะ!”ผู้เฒ่าทั้งสองได้รับซ่งเสวี่ยเป็นบุตรสาวบุญธรรมแล้ว บัดนี้ซ่งเสวี่ยก็คือลูกสะใภ้ของพวกเขา และเป็นบุตรสาวของพวกเขา หลังจากนี้ยังต้องอาศัยอยู่กับผู้เฒ่าทั้งสองคน“โปรดวางใจ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่มีวันทำร้ายเสวี่ยเอ๋อร์!” ใบหน้าของโจวเซิงเปี่ยมไปด้วยความสุขผลการสอบเข้าชิงตำแหน่งขุนนางเขายังไม่ดีใจเท่าตอนนี้“ส่งตัวเข้าหอ” ทันทีที่สิ้นสุดเสียงของเจ้าพิธี บ่าวสาวได้ถูกส่งตัวเข้าหอ ทั้งจวนสกุลโจวพากันครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม“น้องหญิง”จู่ ๆ ซูจิ่งสิงก็กุมมือของกู้หว่านเยว่ อาจจะเป็นเพราะดื่มสุราไปแล้วสองจอก แก้มของเขาถึงได้แดงระเรื่อ“ยังจำสิ่งที่ข้าเคยพูดกับเจ้าได้หรือไม่ ว่าข้าอยากจัดงานแต่งใหญ่โตให้เจ้า”กู้หว่านเยว่จำได้ในทันที นี่คือตอนที่พวกเขาสองคนกำลังตามหาสมุนไพรอยู่ในจวนหลงชวน ในงานแต่งของเหยาฮุ่ยซิน ซูจิ่งสิงเป็นฝ่ายเอ
หลังจากออกไป กู้หว่านเยว่ก็เกิดความวิตกกังวลซูจิ่งสิงพยักหน้า และถูปลายนิ้วพลางกล่าว “เขาและจิ่นเอ๋อร์ยังไม่เคยอยู่ด้วยกันเลย”“เพราะเหตุใด?”กู้หว่านเยว่ไม่กล้าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้รักกันมากแต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจ บางทีอาจเป็นเพราะฟู่หลานเหิงรักซูจิ่นเอ๋อร์มาก ทนเห็นนางเดือดร้อนไม่ได้จึงไม่ยอมอยู่กับนาง เพราะกังวลเรื่องลูก“แต่น้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้มีผลต่อร่างกายของเขา”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่กล้ามั่นใจมากนัก นางจึงหาเวลาเข้าไปดูสัตว์น้ำแข็งภายในห้วงมิติแวบหนึ่งหากน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยอาการป่วยของฟู่หลานเหิงไม่ได้ นางก็ควรต้องพิจารณาเรื่องที่จะพาสัตว์น้ำแข็งไปให้ทูเจวี๋ยเพื่อตามหาดอกไม้น้ำแข็งนิลนางคงจะทนเห็นซูจิ่นเอ๋อร์กลายเป็นแม่หม้ายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้อีกทั้งฟู่หลานเหิงเองก็เป็นสหายที่ดีของพวกเขากู้หว่านเยว่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจก่อน ทั้งสองคนกลับมาถึงจวน เวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่วันมงคลสมรสของซ่งเสวี่ยเนื่องจากเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง ซ่งเสวี่ยไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนเกิดเป็นคำครหา ในวันแต่งงาน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมาถึงง
ทางฝั่งของกู้หว่านเยว่ทันทีที่ลงมาจากหอ ก็เจอกับเกาเจี้ยนและลั่วยางที่ยืนอยู่ด้วยกันพอดี อย่าพูดเชียวว่าสองคนนี้ช่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย“พระชายา”เกาเจี้ยนพุ่งเข้าไปกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ร่างกายของเขาฟื้นตัวแทบจะสมบูรณ์แล้ว “อื้อ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ลั่วยางกล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่หญิงกู้ ท่านมาพอดี เกาเจี้ยนบอกว่าเจอหญ้าไป๋เซียงปรากฏอยู่บนภูเขาเทียนสุ่ย ข้าอยากไปดูเจ้าค่ะ”หญ้าไป๋เซียงอย่างนั้นหรือ ในห้วงมิติของนางมีเยอะแยะ“เจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนอย่างห่วงใย“หลังจากครึ่งเดือนไปแล้ว ต้องทำการผ่าตัดให้ไป๋หลี่ชิงซี หากเจ้าอยากดู ก็รีบกลับมาก่อน”“พี่หญิงกู้ ท่านช่างแสนดียิ่งนัก”ลั่งยางซาบซึ้งใจมาก จริง ๆ แล้วนางกลัวว่าตัวเองจะพลาดวันที่กู้หว่านเยว่ทำการผ่าตัดให้ไป๋หลี่ชิงซีมาก ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นโอกาสจะได้เรียนรู้อันหาได้ยากยิ่ง“วันนี้เราออกเดินทางกันเถอะ”เกาเจี้ยนเป็นฝ่ายกล่าวเอง บอกว่าจะรีบไปรีบกลับ“ได้โปรดพระชายาช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ข้าสักหน่อย บอกว่าข้าไปภูเขาเทียนสุ่ยขอรับ”กู้หว่านเยว่คิดไม่ถึงว่าเขาเองก็อยากไป เกาเจี้ยนรีบอธิบาย “ลั่วยางไม่รู