ลั่วยางหันไปหาผู้นำตระกูลเหยาแล้วพูดว่า “ขอท่านนำทางข้าไปเอาเมล็ดโพธิ์ด้วย”เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้นำตระกูลเหยาไม่อาจต่อต้านศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์ได้เขาพยักหน้า ส่งคนไปตามหาคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยามา เพราะเมล็ดโพธิ์นั่น คุณหนูหญิงของตระกูลเหยาเป็นคนที่คอยเลี้ยงไว้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากันด้วยสีหน้าย่ำแย่ พวกเขาจะทำอย่างไรดี? ต้องมองกูเมล็ดโพธิ์ถูกลั่วยางเอาไปหรือ?เช่นนั้นผลโรคที่นางตรวจเจอของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจะนับเป็นอะไรได้? ความพยายามก่อนหน้านี้ของนางไม่ใช่ว่าไร้ความหมายหรอกหรือ? อีกอย่าง ลั่วยางรู้วิธีถอนพิษให้ฮูหยินผู้เฒ่าโจวหรือไร?ในเวลานี้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยา ก็ปรากฏตัวหลังจากบ่าวไปเชิญมา“น้องหญิง เจ้ามาแล้วหรือ? พาพวกเขาไปเอาเมล็ดโพธิ์เถอะ” ผู้นำตระกูลเหยาสั่งมู่หรงอวี้รีบแสดงรอยยิ้มให้เหยาฮุ่ยซินที่คิดว่ามีเสน่ห์เกินจะบรรยายให้นาง “รบกวนคุณหนูใหญ่เหยาแล้ว”เหยาฮุ่ยซินมองไปยังผู้คนในห้องรับรองดวงตากระจ่างใส่กลมโตดวงนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกคุ้นเคย“เจ้าก็มาที่นี่เพื่อขอเมล็ดโพธิ์ด้วยหรือ?”“ใช่ พวกเราต้องการใช้เมล็ดโพธิ์ไปช่วยชีวิตค
นางมีความมั่นใจว่า สมุนไพรที่ตนเองเคยเห็นและได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น เกรงว่าจะมากกว่าจำนวนเกลือที่กู้หว่านเยว่เคยกินเสียอีกเหยาฮุ่ยซินมองไปยังกู้หว่านเยว่“ฮูหยินซู ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”กู้หว่านเยว่มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่กระมัง?”“ไม่ยุติธรรมตรงไหนกัน นี่เป็นความรู้พื้นฐานของหมอ หรือว่าเจ้าไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐาน?” ลั่วยางเห็นว่าการแข่งขันนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง จึงรีบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เหยา มาแข่งกันเรื่องนี้กันเถอะ”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่ถอนหายใจ “หากหมอหญิงลั่วไม่ขัดข้องก็ดี”นางพูดเช่นนี้? มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ลั่วยางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ จึงเริ่มสอบถามกฎกติกาการแข่งขันแล้วเหยาฮุ่ยซินเอ่ยขึ้น “กฎของการแข่งขันนั้นง่ายมาก พวกท่านเลือกสมุนไพรสามชนิดจากคลังของสกุลเหยา หรือจะใช้สมุนไพรที่พกติดตัวมาก็ได้ จากนั้นหยิบออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามดม“หากอีกฝ่ายสามารถบอกชื่อได้ถูกต้อง ก็ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ แต่ถ้าบอกไม่ได้ ถือว่าฝ่ายที่นำสมุนไพรออกมาเป็นผู้ชนะ”ลั่วยางได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
ถูกหรือไม่ แน่นอนว่าถูกต้อง!กู้หว่านเยว่ตอบถูกไปแล้วสองอย่าง คราวนี้มือของลั่วยางเริ่มสั่น นางคิดไม่ถึงเลยว่ากู้หว่านเยว่จะเก่งกาจขนาดนี้ นางเดาออกได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไร?เชียงหัวและตู๋หัว* นี้ แม้แต่นางลืมตา ก็ยังไม่แน่ว่าจะแยกแยะได้“หมอหญิงลั่วเชิญนำชนิดที่สามออกมาเถอะ” กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยภายในเวลาสั้น ๆ กู้หว่านเยว่ก็ทายถูกไปแล้วสองชนิด มือที่ลั่วยางงถือสมุนไพรชนิดที่สามเริ่มสั่น นางไม่กล้าแม้แต่จะหยิบสมุนไพรชนิดที่สามมาไว้ตรงหน้ากู้หว่านเยว่ทันใดนั้น นางก็เก็บสมุนไพรกลับ“ฮูหยินซูทายถูกไปแล้วสองอย่าง คราวนี้ให้ข้าปิดตาแล้วทายบ้าง”นางไม่เชื่อว่า กู้หว่านเยว่จะหยิบสมุนไพรอะไรที่นางทายไม่ถูกออกมา“ได้” กู้หว่านเยว่ถอดผ้าปิดตาออกอย่างใจเย็น ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยนางยื่นสมุนไพรชนิดแรกให้ลั่วยางพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้ง มือของลั่วยางเริ่มมีเหงื่อออกเล็กน้อย หลังจากรับสมุนไพรมา นางก็ก้มศีรษะเพื่อดมอย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปครึ่งถ้วยชา* แล้ว นางก็ยังไม่สามารถดมออกว่าสมุนไพรชนิดนี้คืออะไรกลิ่นนี้แปลกประหลาดเกินไป มีกลิ่นเหม็นจาง ๆ นางคิดไม่ออ
แพ้แล้ว?แล้วได้อย่างไรกัน?ลั่วยางกระชากผ้าปิดตาออกอย่างแรง จนกระทั่งเห็นสมุนไพรที่อยู่ในมือของกู้หว่านเยว่ นางจึงรู้ว่าตัวเองโง่เขลามาก โง่จนน่าสมเพช“บัวหิมะเทียนซาน...”บัวหิมะและบัวหิมะเทียนซานต่างกันเพียงสองคำ แต่สรรพคุณกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวลั่วยางจ้องมองกู้หว่านเยว่ ไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะแต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า“อาจารย์ของเจ้าเป็นใครกันแน่?”แม้แต่ปรมาจารย์แพทย์ก็ยังไม่มีบัวหิมะเทียนซาน หรือว่าอาจารย์ของกู้หว่านเยว่จะเก่งกว่าปรมาจารย์แพทย์เสียอีก?กู้หว่านเยว่เก็บบัวหิมะเทียนซานกลับ จากนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้ามีหน้าที่แค่ชนะเจ้า ส่วนคำถามอื่น ๆ เจ้าค่อย ๆ คิดเอาเองก็แล้วกัน”พูดจบก็หันไปมองเหยาฮุ่ยซิน “คุณหนูเหยา ข้าชนะแล้ว นำเมล็ดโพธิ์ให้ข้าได้หรือไม่?”“ได้แน่นอน!”เหยาฮุ่ยซินเผยรอยยิ้มยินดี ดูเหมือนจะดีใจยิ่งกว่าตัวเองชนะเสียอีก“ท่านตามข้ามาเร็ว”“เดี๋ยวก่อน” ลั่วยางจะยอมให้นางไปได้อย่างไรกัน วิ่งเข้าไปถามคำถามอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าจะไปไม่ได้ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร!”ลั่วยางนี่ดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ก็พูดกันแล้วว่าแพ้ก็ต้องยอมรับ แต่ตอนนี้นางกลับยอมรั
เห็นได้ชัดว่าเขาเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก แทบจะยกย่องกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงให้เป็นแขกผู้มีเกียรติแล้วกู้หว่านเยว่รีบปฏิเสธ “มีเมล็ดโพธิ์ก็เพียงพอแล้ว”“ฮูหยินซู พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานของข้าแล้วถ้าท่านไม่ได้รีบร้อนนัก ก็อยู่ดื่มสุรามงคลในงานแต่งงานของข้าสักหน่อยเถอะ”เหยาฮุ่ยซินเชิญด้วยความจริงใจ หากมิใช่เพราะกู้หว่านเยว่ ชีวิตที่เหลือของนางคงต้องเน่าอยู่ในค่ายโจรทะเลทราย ไม่มีทางได้อยู่กับคนที่รักเป็นแน่กู้หว่านเยว่ลองคำนวณวันดูแล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่จะกลับไป จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น“ได้ เช่นนั้นข้าขอตอบรับแล้ว”หลังจากได้เมล็ดโพธิ์แล้ว กู้หว่านเยว่ก็รีบร้อนที่จะนำมันไปปรุงยา จึงลุกขึ้นขอตัวลาเพื่อกลับโรงเตี๊ยมซูจิ่งสิงรู้จักกาลเทศะจึงถอยออกไป จากนั้นยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเพื่อคุ้มกันขณะที่นางปรุงยาจริง ๆ แล้วการปรุงยาก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องปิดบัง เพียงแต่เมล็ดโพธิ์นั้นหายากมาก กู้หว่านเยว่ไม่อยากต้องไปขอร้องคนอื่นอีกในครั้งต่อไป ดังนั้นในขณะที่ปรุงยา นางจึงแอบเอาเมล็ดไปปลูกในพื้นที่เพาะปลูกในมิติ“เมล็ดโพธิ์นี้จะไม่เน่าใช่หรือไม่?” กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดขณะมองไปยั
“ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนได้ถอนพิษให้ท่านแล้ว หรือว่า กู้หว่านเยว่วางยาพิษใหม่ใส่ท่านอีก?”“อะไรนะ?”มู่หรงอวี้นึกถึงวิชาแพทย์ของกู้หว่านเยว่ ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบจับมือของลั่วยาง“นางวางยาพิษข้า แล้วข้าจะเป็นอะไรหรือไม่ ลั่วยาง เจ้าต้องช่วยข้านะ!”รักตัวกลัวตาย ไหนเลยจะมีความอวดดีอย่างเมื่อครู่อีกลั่วยางขยับถอยหลังเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่ค่อยสบายใจ“ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรงที่ทำให้ถึงตาย ข้าจะไปปรุงยาแก้พิษให้ท่านเดี๋ยวนี้”มู่หรงอวี้เห็นสีหน้าของนาง จึงจงใจเอื้อมมือไปลูบท้องของนาง“ข้าถีบจนเจ็บหรือไม่?”ลั่วยางตัวสั่นเล็กน้อย แล้วก้มศีรษะลง “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”“โธ่ ต้องเจ็บแน่ ๆ ”มู่หรงอวี้ถอนหายใจ จากนั้นแสร้งทำเป็นรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยม“ลั่วยาง เรื่องเมื่อครู่เจ้าอย่าโทษข้าเลยข้าก็ทำไปเพราะรักและคาดหวังในตัวเจ้ามาก จึงโมโหข้าขอโทษเจ้าดีหรือไม่? ข้าผิดไปแล้ว”เดิมทีลั่วยางรู้สึกเสียใจที่เขาถีบตัวเอง แต่พริบตาเดียวก็กลับมาซาบซึ้งจนรู้สึกมึนงง“ข้าไม่โทษท่านอ๋อง ท่านอ๋องวางใจเถอะ ข้าจะปรุงยาแก้พิษออกมาให้ได้!”“ดี เช่นนั้นเจ้ารีบไปปรุงยาแ
กู้หว่านเยว่คิดในใจว่าเรื่องที่เหยาฮุ่ยซินถูกโจรทะเลทรายลักพาตัวไปนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเจ้ากรมจะไม่รู้เรื่องการที่คิดหาข้ออ้างที่แนบเนียนเช่นนี้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของเหยาฮุ่ยซิน อีกทั้งยังจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเพื่อสะสมบุญกุศลให้เหยาฮุ่ยซินอีก ถือว่าเป็นความรักและความผูกพันที่ลึกซึ้งจริง ๆ“ไปกันเถอะ เราไปลงชื่อที่หน้าประตูกัน”เมื่อได้กลิ่นอาหาร กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริง ๆเมื่อทั้งสองไปถึงหน้าประตู คนเฝ้าประตูได้ยินชื่อของพวกเขาก็รีบกล่าวขึ้นว่า“ทั้งสองท่านเชิญตามข้าไปที่โต๊ะที่นั่งด้านใน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เดาว่าเหยาฮุ่ยซินคงบอกกับคนเฝ้าประตูไว้แล้ว จึงตามเขาเข้าไปด้านในคนในจวนเยอะกว่าข้างนอกเสียอีก อักษรสีแดงสดที่สื่อถึงความมงคลถูกประดับประดาเต็มสวน เสียงหัวเราะและความสุขดังไปทั่วกู้หว่านเยว่มองไปรอบ ๆ เห็นแต่คนแปลกหน้า ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำความรู้จักใคร จึงเลือกที่จะหาที่นั่งเพื่อดื่มกินและชมพิธีแต่งงานของคนสมัยโบราณซูจิ่งสิงเห็นนางมองอย่างใจจดใจจ่อ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “อิจฉาหรือ?”“ก็นิดหน่อย ข้ายังไม่เคยแต่งงานเลย” กู้หว่านเยว่ตอบอย่าง
กล่าวกันว่ายอดคนลิโป้ ยอดม้าเซ็กเธาว์นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หว่านเยว่ได้เห็นม้าที่สง่างามและน่าเกรงขามเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง“ม้าตัวนี้คงมีราคาแพงมากสินะ”ท่านเจ้ากรมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินซูเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฮุ่ยซิน ก็เท่ากับเป็นผู้มีพระคุณของข้า แค่ม้าเซ็กเธาว์สองตัวนี้ ฮูหยินโปรดรับไว้เถอะ”กู้หว่านเยว่รีบร้อนที่จะเดินทาง จึงไม่เกรงใจอีกต่อไปและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเจ้ากรมแล้ว”พูดจบ นางก็กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วเหยาฮุ่ยซินรีบวิ่งตามไปสองก้าว “ฮูหยินซู เมื่อท่านตั้งรกรากแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาข้านะ วันหลังข้าจะไปหาท่าน”“ได้”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองคู่สามีภรรยาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง จากนั้นก็ควบม้าออกไปกับซูจิ่งสิง“ข้าไม่อยากจากฮูหยินซูเลย” เหยาฮุ่ยซินซบลงบนอกของท่านเจ้ากรม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่”“จะมีแน่ ต้องมีแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่กลับมา ข้าก็จะพาเจ้าไปหาพวกเขาที่เจดีย์หนิงกู่ ดีหรือไม่?”“จริงหรือ?”“ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”ท่านเจ้ากรมบีบจมูกของเหยาฮุ่ยซินเบา