“เสวี่ยเอ๋อร์กับหลานสาวข้ากลับมาแล้ว!”เมื่อพูดเช่นนั้น ทั้งสองคนก็วางเรื่องมู่หรงอวี้เอาไว้ รีบเดินมาทักทายคนถึงรถม้าซ่งเสวี่ยสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนโดยมีแม่นมฉินช่วยประคอง เมื่อได้เห็นหน้าโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจว นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ท่านพ่อ ท่านแม่”“เด็กดี เด็กดี” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวรับเด็กในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยมาอุ้ม รู้สึกสงสารอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็จับมือของซ่งเสวี่ย พูดด้วยตาสีแดงก่ำว่า “ได้ยินว่าเจ้าคลอดลูกในทะเลทราย รอดตายมาได้หวุดหวิด ข้าขอบคุณเจ้าแทนทั้งตระกูลโจว ที่มีรุ่นหลังไว้ให้เยี่ยนเอ๋อร์”เมื่อพูดถึงโจวเยี่ยน ซ่งเสวี่ยก็ดูเศร้าเล็กน้อยแต่นางก็รีบปลุกใจ ตอนนี้นางมีเหนี่ยวเหนี่ยวแล้ว จะต้องกลัวอะไรอีก?“ใช่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่ นี่คือแม่นางน้อยกู้ เป็นนางที่ทำคลอดให้ข้า ช่วยข้ากับลูกเอาไว้เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม รับความเอ็นดูจากโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวซ่งเสวี่ยไม่ต้องพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็เสนอให้นางพักอาศัยอยู่ในบ้านก่อน รับรองนางอย่างดี ไม่มีท่าทางรังเกียจนางในฐานะนักโทษแต่อย่างใดหลังจากได้พูดคุ
ฉากนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ไม่ทันตั้งตัว ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคหัวใจหรือ?“ฮูหยิน?”โจวเหล่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เรียกฮูหยินผู้เฒ่าโจวไม่หยุด เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาจึงรีบสั่งให้คนมาประคอง ย้ายนางไปที่สวนหลังบ้าน“ตามหมอมา!”ทุกคนในตระกูลโจวต่างตกตะลึงมู่หรงอวี้แสดงรอยยิ้มอย่างชอบใจจากด้านหลัง “ดี ดียิ่ง ถึงตาเขาลงมือแล้ว”“ลั่วยางมาหรือยัง?”“หมอเซียนน้อยรออยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”“เรียกนางเข้ามา ตามข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าโจว”มู่หรงอวี้รีบเดินไปในทิศทางที่โจวเหล่าจากไป“ท่านอ๋อง รอข้าด้วยเจ้าค่ะ”ฟู่เยียนหรานยกมือปิดแขน สุดแสนเสียใจ นางถูกสุนัขกัดทั้งยังไม่ได้ทำแผล ทำไมไม่มีใครสนใจนางเลย?เดิมทีซ่งเสวี่ยกำลังจะพักผ่อน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไร้กะจิตกะใจจะนอน จึงรีบเดินไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับทุกคนอย่างรวดเร็ว“น้องหญิงกู้ แม่สามีข้าล้มป่วยกะทันหัน ข้าต้องไปดูนางสักหน่อย ประเดี๋ยวจะให้แม่นมฉินพาเจ้าไปที่ห้องรับแขก ต้องขอโทษที่ต้อนรับบกพร่องด้วย”ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นหมอเทวดา ให้นางลองดูสิเจ้าคะ”“จิ่นเอ๋อร์!”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคอะไรกันแน่?“แม่นางน้อยกู้ไม่ต้องแปลกใจไปเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเราป่วยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ก่อนหน้าหน้า ท่านหมอยังรักษาอาการของนางให้ทรงตัวอยู่ได้แต่ครั้งนี้ ท่านหมอที่ตามมา กลับบอกให้พวกเราเตรียมจัดงานไว้ทุกข์”ไม่ต้องพูดถึงว่าแม่นมฉินตื่นตระหนก กู้หว่านเยว่เองก็ตกใจเช่นกันแต่นางก็ประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีอาการหัวใจวายโรคหัวใจก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไม่เป็นก็ไม่เป็นไรกู้หว่านเยว่ไม่ได้ตามนางไปทันที แต่พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ไป แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกท่านเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้ข้าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์”แม่นมฉินรีบพูดว่า “แม่นางกู้ไม่ต้องกลัวไปเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยเองก็คิดว่าทักษะการแพทย์ของท่านเยี่ยมยอด ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถือเสียว่าไปดูนางสักหน่อย พวกเราย่อมไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาโทษท่านแน่”ซ่งเสวี่ยมีความคิดที่ว่า แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว[footnoteRef:1] [1: เป็นสำนวนที่หมายถึงความบังเอิญ หรือโชคดีขั้นสุด] “เช่นนั้นท่านก็นำทางเถอะ ระหว่างทางก็เล่า
“ท่านอ๋อง?”ลั่วยางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น“อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย เพราะข้าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าแล้ว”มู่หรงอวี้มองนางอย่างเย็นชา ท่าทางเช่นนี้ทำให้ลั่วยางรู้สึกอับอาย“ท่านอ๋อง ข้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ...”ในฐานะศิษย์คนเดียวของปรมาจารย์แพทย์ นางมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองมาก เรียกได้ว่าไม่มีโรคใดในโลกที่จะทำให้นางสะดุดได้แต่นางไม่เข้าใจในชีพจรและอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจริงๆ“บางทีอาจารย์ เขาสามารถ...”“น่าชังนัก! ถ้าข้าหาปรมาจารย์แพทย์เจอ ยังใช้งานเจ้าอยู่อีกหรือ?”มู่หรงอวี้โกรธมาก ถ้าลั่วยางไม่สามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้ แล้วเขาจะถ่อมาลำบากถึงปิงโจวไปทำไม?ยิ่งไปกว่านั้น เขาอวดดีต่อหน้าโจวเหล่าไปมากแล้ว หากทำไม่ได้ คงได้อับอายกับทั้งโคตร“ท่านอ๋อง ภรรยาข้าเป็นอะไรหรือ?” เห็นทั้งสองพึมพำกัน ทำให้โจวเหล่ารู้สึกใจไม่ดี“โจวเหล่า”มู่หรงอวี้ยังอยากยื้อต่อไปสักพักฟู่เยียนหรานกลับปากมากสอดขึ้นมา “โจวเหล่า ลั่วอีหนี่ว์บอกว่านางไม่สามารถรักษากโรคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าได้เจ้าค่ะ”“ฟู่เยียนหราน!” มู่หรงอวี้โกรธมาก อยากจะบีบคอนางให้ตาย
“เป็นไปไม่ได้ โรคที่ข้ารักษาไม่ได้ นางไม่มีทางรักษาได้”ลั่วยางเป็นคนยโส เชื่อว่าไม่มีใครที่อายุเท่านางในโลกนี้ สามารถเอาชนะนางได้นางเป็นถึงศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์เชียวนะนางมองดูมู่หรงอวี้ที่กำลังโกรธ “ท่านอ๋อง วางใจเถอะเจ้าค่ะ นางก็แค่พยายามทำให้คนอื่นพอใจ”มู่หรงอวี้สงบลงเล็กน้อย มองดูกู้หว่านเยว่ราวกับว่านางไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ“กู้หว่านเยว่ เจ้าไม่ควรเอาเรื่องฮูหยินผู้เฒ่าโจวมาล้อเล่น ไม่เช่นนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”เขาจงใจแสดงเกียรติว่าสูงส่ง เพราะเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้กู้หว่านเยว่รักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวกู้หว่านเยว่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านอ๋องดูเหมือนจะไม่อยากให้ข้ารักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวนะเจ้าคะ?”“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” การแสดงออกของมู่หรงอวี้เปลี่ยนไปได้อย่างมาก เขาจะยอมให้กู้หว่านเยว่ขุดหลุมให้เขากระโดดเข้าไปได้อย่างไร?“เอาล่ะ ให้หมอกู้ดูก่อนอาการก่อนเถอะ” โจวเหล่าขัดจังหวะพวกเขาด้วยเสียงทุ้มลึก ตราบใดที่ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่ เขาก็จะไม่ยอมแพ้“ตอนที่ข้าตรวจชีพจร กรุณาอย่าส่งเสียงรบกวน”กู้หว่านเยว่ยิ้ม เหลือบมองไปทางมู่หรงอวี้อย่างอารมณ์ดี
“พิษ?”ทันทีที่พูดจบ การแสดงออกของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจวเหล่าที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนใจร้ายถึงขนาดวางยาพิษภรรยาของเขา“ไม่มีทางเป็นพิษแน่”ลั่วยางพูดอย่างรวดเร็ว“ถ้ามันเป็นพิษ เข็มเงินจะตรวจไม่พบได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่กล่าวประชดเบาๆ ว่า “บนโลกใบนี้มีพิษมากมายที่เข็มเงินตรวจไม่พบ ท่านหมอลั่วน่าจะรู้ดีกว่าข้ากระมัง?”หน้าของลั่วยางเห่อร้อน พิษที่นางให้มู่หรงอวี้ไปทำร้ายซูจิ่งสิง เข็มเงินก็ไม่อาจตรวจพบเช่นกันกู้หว่านเยว่พบมันแล้วจริงๆแต่นางก็ยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ถ้าเป็นพิษ ไม่มีทางที่ข้าจะตรวจไม่พบ”กู้หว่านเยว่เสียอารมณ์ในทันที“ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่ามันคืออะไร?”“ข้า...” เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองที่เฉียบคมของกู้หว่านเยว่ ลั่วยางก็เริ่มอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่รู้”“ในเมื่อเจ้าบอกไม่ได้ ก็อย่าตั้งคำถามกับการวินิจฉัยของข้า”กู้หว่านเยว่ไม่มีปัญหากับทักษะการแพทย์ของคนอื่น แต่กับลั่วยางที่หยิ่งผยอง นางดูถูกสุดใจ“ก็ได้” ลั่วยางหายใจเข้าลึกๆ “ถ้าเจ้ามีความสามารถ เช่นนั้นก็บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวถูกพิษชนิดใด?”นี่คือสิ่งที่โจวเหล่า
“หว่านเยว่ ข้าไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วการเดินทางครั้งนี้อันตราย และมู่หรงอวี้จะต้องสร้างปัญหาแน่ๆ เขากังวลเกินกว่าจะปล่อยให้กู้หว่านเยว่ไปคนเดียว“แต่ท่านและข้าต่างก็เป็นนักโทษ…”“ข้าจะไปคุยให้” ซ่งเสวี่ยพูด “ล่าช้าไปสักสองสามวัน ข้าคิดว่าเหล่านักการน่าจะเข้าใจได้”เมื่อซ่งเสวี่ยออกหน้า ซุนอู่ย่อมไม่มีปัญหาไร้สิ่งเรื่องต้องกังวลใจ กู้หว่านเยว่ออกเดินทางทันที เพื่อปกป้องพวกเขา โจวเหล่าจึงมอบกลุ่มองครักษ์มากฝีมือกลุ่มเล็กๆ ให้พวกเขา“สวะ!”เมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ มู่หรงอวี้ก็ตบหน้าลั่วยางอย่างแรง“ข้าเชื่อใจเจ้าขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าก็สู้หญิงแพศยาอย่างกู้หว่านเยว่ไม่ได้”หากกู้หว่านเยว่เอาเมล็ดโพธิ์กลับมาได้และรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้แล้ว โจวเหล่าจะต้องอยู่ข้างซูจิ่งสิงแน่นอน“ใช่แล้ว หมอหญิงลั่ว ท่านไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าทำลายแผนการของท่านอ๋องหรอกหรือ?”ฟู่เยียนหรานยินดีบนคราวเคราะห์ของผู้อื่นถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นคนของมู่หรงอวี้ นางคงหัวเราะเยาะให้ฟันร่วงลั่วยางคนนี้ดูเย็นชาวางท่า ไม่ชอบหน้ายิ่งนักลั่วยางก้มศีรษะลงด้วยความหงุดหงิด จู่ๆ
ซูจิ่งสิงต้องการแต่ไม่อาจได้มา จึงจ่ายเงินออกไปทันที“พวกเราเอาห้องนั้น”กู้หว่านเยว่ไม่สนใจห้องที่ได้มา แต่ดวงตาจับจ้องไปที่ขอบเข็มขัดของเขา“ท่านเอาเงินมาจากไหน?”ซูจิ่งสิงเงียบไปครู่หนึ่ง ตอบไปตามตรง “... วันนั้น เก็บมาจากชายชุดดำกับพวกนักการกู้หว่านเยว่จำได้ว่าวันนั้นนางจดจ่ออยู่กับการเผาจดหมายจนลืมค้นตัวพวกเขา ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเรียนรู้วิธีการปล้นคนแล้วทั้งสองรับกุญแจมา ห้องชั้นบนอักษรเทียนกว้างขวางดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีเตียงเท่านั้น แต่ยังมีเบาะนั่งนุ่มๆ โต๊ะกลมตรงกลางห้อง ชาร้อนอีกหนึ่งกาหลังจากปิดประตู ซูจิ่งสิงก็หยิบถุงเงินออกมา“นี่คือเงินที่เหลือ มอบให้ภรรยาเก็บไว้”โดยทั่วไปแล้ว กู้หว่านเยว่จะไม่ปฏิเสธเงินที่มาส่งถึงประตูบ้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีคนมามอบให้“ท่านช่างรู้ความเสียจริง”กู้หว่านเยว่รับมันมาอย่างมีความสุข พูดอย่างลื่นไหล“เห็นแก่ที่ท่านรู้ความเช่นนี้ จากนี้ไป ข้าจะดูแลท่านเอง”ซูจิ่งสิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จากนั้นมุมตาก็ปรากฏหยาดน้ำแห่งความรัก ให้ความร่วมมือและพูดว่า“ผู้น้องขอบคุณพี่ใหญ่กู้!”“เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว!”กู้หว่านเยว่หั
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช