“ในที่สุดก็มีที่ให้พักผ่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ ยังนึกว่าพวกเราจะต้องออกจากเมืองจางโจวกลางดึก แล้วกลับไปยังค่ายใหญ่เสียอีก”แผนเดิมของกู้หว่านเยว่ หลิวชวี่จะต้องไม่ยอมจำนนง่าย ๆ อย่างแน่นอนไม่ว่าจะจับตัวหรือบุกโจมตี ก็ต้องกลับไปปรึกษากับหนานหยางอ๋องและคนอื่น ๆ เพื่อหาหนทางที่เป็นไปได้ผลปรากฏว่า หลิวชวี่เปิดฉากด้วยการมอบตราบัญชาการแล้วแบบเขานี่เรียกว่ายอมจำนนที่ไหนกัน?นี่มันคือการเฝ้ารอให้พวกเขามายึดเมืองจางโจวไปชัด ๆ “น้องหญิง เหนื่อยหรือไม่?”ซูจิ่งสิงเดินไปหากู้หว่านเยว่ นั่งลงข้างเตียง จากนั้นยื่นนิ้วเรียวยาวออกไป นวดขมับทั้งสองข้างให้นางเบา ๆ จะว่าไปแล้ว ก็นับว่าสบายมากจริง ๆ กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงอย่างมีความสุข แล้วเหลือบมองซูจิ่งสิงภายใต้แสงเทียน ชายหนุ่มหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาไปนางขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าพบว่าท่านมีเสน่ห์จริง ๆ ” เสน่ห์เฉพาะตัว!ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย จ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเป็นประกาย“เทียบไม่ได้กับเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว”บุรุษผู้นี้ก็รู้จักประจบประแจงแล้ว กู้หว่านเยว่ค่อนข้างพึงพอใจสองสามีภรรยาพูดคุย
ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า
ซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าตนตื่นตั้งแต่เมื่อไร“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”ซูจื่อชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ในที่สุดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีกำลังหนุนแล้ว“พยุงข้าหน่อย” ซูจิ่งสิงยื่นมือออกมาอย่างอ่อนแรง พอนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว เขาก็มองดูกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียวด้วยสายตารู้สึกผิด“ขอโทษนะ”ไม่เพียงแต่ทำให้นางเดือดร้อน แต่ยังทำให้นางถูกตระกูลซูหยามเหยียดกู้หว่านเยว่สบตาเขา ตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วรีบร้อนพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่สนใจวาจาของพวกคนขยะแต่นางไม่คิดว่า ซูจิ่งสิงจะปกป้องนางทว่ากลับเป็นคนอื่นๆ ในห้องที่อดกลั้นไว้ไม่ไหว และไม่สนว่าบาดแผลของซูจิ่งสิงเป็นอย่างไร กระโจนเข้ามาถามว่า“จิ่งสิง เจ้าขอโทษนางมันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราเหล่าผู้เฒ่าทำผิดหรือ?”หากไม่หย่าภรรยา หรืออยากเห็นนางทำลายตระกูลหรือ?!“รีบหย่ากับนางเสีย ขอเพียงเจ้าหย่ากับนาง พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน”“...”ครอบครัวเดียวกัน?ฮะๆ... ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่แสนประเสริฐยามเขายังเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เ
เมื่อซูจิ่นเอ๋อกลับมา น้ำตาบนใบหน้าของนางก็เริ่มแห้ง มุมปากยังขดเม้มอย่างไม่ชอบใจอยู่เมื่อเดินผ่านกู้หว่านเยว่ นางจงใจแค่นเสียงตะคอก ก่นด่าไปหลายคำ“ดาวไม้กวาด[footnoteRef:1] บ่างช่างยุ สุนัขจิ้งจอก!” [1: หรือดาวหาง คติชนจีนบอกว่าดาวหางจะกวาดล้างผู้คน หากพบเห็น จะเกิดสงครามหรือภัยธรรมชาติ ส่วนความหมายของสมัยใหม่คือ เป็นคำสาปแช่งบุคคลที่จะนำภัยพิบัติหรือโชคร้ายมาสู่ตน มักใช้กับผู้หญิงเป็นหลัก] สุนัขจิ้งจอกนางยอมรับ แต่อีกสองคำนั้นนางไม่ยอมรับกู้หว่านเยว่เหลือบมองหญิงสาว ได้กลิ่นซาลาเปาเนื้อบนตัวของนางโชยมา พลันพูดเสียงดังว่า “ซูจิ่นเอ๋อ เหตุใดปากเจ้าจึงมันเยิ้มเช่นนั้น? เศษเนื้อเองก็ติดอยู่ที่ปาก เจ้าแอบไปกินซาลาเปาเนื้อลับหลังพวกเราหรือ?”“ไม่ ไม่ใช่เสียหน่อย!”ซูจินเอ๋อรู้สึกผิด รีบเช็ดมุมปากทันที สายตามองไปที่ซูจิ่งสิงและคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินกู่หว่านเยว่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“เจ้าหลอกข้า?”ใบหน้าของซูจิ่นเอ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางกัดฟันแล้วพูดว่า“เจ้าบ่างช่างยุ รอก่อนเถอะ เจ้าจะได้มีความสุขเช่นนี้อีกไม่กี่วันแล้ว!”พี่หญิงซือซือรับปากกับนางแล้ว
“ในที่สุดก็มีที่ให้พักผ่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ ยังนึกว่าพวกเราจะต้องออกจากเมืองจางโจวกลางดึก แล้วกลับไปยังค่ายใหญ่เสียอีก”แผนเดิมของกู้หว่านเยว่ หลิวชวี่จะต้องไม่ยอมจำนนง่าย ๆ อย่างแน่นอนไม่ว่าจะจับตัวหรือบุกโจมตี ก็ต้องกลับไปปรึกษากับหนานหยางอ๋องและคนอื่น ๆ เพื่อหาหนทางที่เป็นไปได้ผลปรากฏว่า หลิวชวี่เปิดฉากด้วยการมอบตราบัญชาการแล้วแบบเขานี่เรียกว่ายอมจำนนที่ไหนกัน?นี่มันคือการเฝ้ารอให้พวกเขามายึดเมืองจางโจวไปชัด ๆ “น้องหญิง เหนื่อยหรือไม่?”ซูจิ่งสิงเดินไปหากู้หว่านเยว่ นั่งลงข้างเตียง จากนั้นยื่นนิ้วเรียวยาวออกไป นวดขมับทั้งสองข้างให้นางเบา ๆ จะว่าไปแล้ว ก็นับว่าสบายมากจริง ๆ กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงอย่างมีความสุข แล้วเหลือบมองซูจิ่งสิงภายใต้แสงเทียน ชายหนุ่มหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาไปนางขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าพบว่าท่านมีเสน่ห์จริง ๆ ” เสน่ห์เฉพาะตัว!ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย จ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเป็นประกาย“เทียบไม่ได้กับเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว”บุรุษผู้นี้ก็รู้จักประจบประแจงแล้ว กู้หว่านเยว่ค่อนข้างพึงพอใจสองสามีภรรยาพูดคุย
หลิวชวี่ไม่รีรอ มอบตราบัญชาการออกมาโดยตรง“ท่านอ๋อง มอบให้ท่านขอรับ”ตราบัญชาการนี้ เขาอยากจะมอบให้ซูจิ่งสิงนานแล้ว“แหะ ๆ ขอบอกท่านอ๋องตามตรง”หลิวชวี่เกาหัว“ตั้งแต่วันที่ท่านยกทัพที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าก็คิดอยู่เสมอว่า เมื่อไรท่านจะยกทัพมาถึงเมืองจางโจว ถึงตอนนั้น จะต้องมอบตราบัญชาการให้ท่านด้วยสองมือ”เขาค่อนข้างรู้สึกดีใจ“รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ได้พบท่านแล้ว”ซูจิ่งสิงมองหลิวชวี่อย่างลึกซึ้ง “เจ้ามีน้ำใจแล้ว”ในเมื่อหลิวชวี่ยอมจำนน เรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายดายแล้ว เพียงแค่นำกองทัพเคลื่อนพลเข้าเมืองก็พอ“พรุ่งนี้ ข้าจะสั่งให้คนนำทัพเข้าเมือง เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็เปิดประตูเมือง”“ขอรับ”หลิวชวี่รีบพยักหน้ามอบตราบัญชาการออกไปแล้วจะเปิดประตูเมืองหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดแล้วหลิวชวี่ยังอยากจะรำลึกความหลังกับซูจิ่งสิงต่อ ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังขึ้น“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพแย่แล้วขอรับ”“มีเรื่องอะไร?”หลิวชวี่ขมวดคิ้วถาม เขาได้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คืนนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ห้ามมารบกวนเขา“คุณหนูอาการกำเริบอีกแล้
“รอข่าวจากน้องหญิง หากน้องหญิงบอกว่าพวกเราสามารถกลับไปได้ พวกเราก็ค่อยกลับไปจากสกุลหลี่”หลิ่วเพียวเพียวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบกำชับ“ท่านแม่ ท่านพี่ ฐานะของน้องหญิงและน้องเขยนั้นพิเศษ เรื่องที่ได้พบพวกเขาในคืนนี้ หวังว่าพวกท่านจะไม่บอกใคร”ทั้งสองคนเป็นคนมีเหตุผล ไม่ต้องให้หลิ่วเพียวเพียวกำชับพวกเขาก็เข้าใจ ตอนนี้จึงรีบพยักหน้า“น้องหญิงวางใจเถิด ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างแน่นอน”อีกด้านหนึ่ง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงออกจากจวนหลี่แล้ว ก็รีบพุ่งตัวไปยังจวนแม่ทัพ“ท่านพี่ ท่านว่าแม่ทัพหลิวผู้นั้นจะยอมเปิดประตูเมืองหรือไม่?”กู้หว่านเยว่คิดถึงแผนการรับมือ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หากแม่ทัพหลิวผู้นี้ไม่ยินยอม เช่นนั้นก็จับตัวเขาไปเลยดีกว่า จับกลับไปเป็นตัวประกันซูจิ่งสิงหรี่ตาลงเล็กน้อย“ตามความเข้าใจของข้าที่มีต่อเขา เขาน่าจะยินยอม”กู้หว่านเยว่คิด ๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย หลิวชวี่ผู้นี้สามารถเป็นสหายกับซูจิ่งสิง แสดงว่าเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน“เช่นนั้นพวกเราไปดูกันก่อนเถอะ”ทั้งสองคนวาร์ปเข้าไปในจวนแม่ทัพ กู้หว่านเยว่เปิดระบบขึ้นมาโดยตรง ให้ระบบค้นหาห้องที่แม่
อย่างไรก็ตาม สกุลหลี่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้ การอาศัยอยู่ที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง อาศัยการปกปิดจากห่อผ้า หยิบน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กาหนึ่งและยาบำรุงครรภ์ขวดหนึ่ง รวมถึงตั๋วเงินสองพันตำลึงที่อยู่ข้างในออกมา “น้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ข้านำมาจากเทียนซาน ท่านดื่มวันละนิด สามารถบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้นี่คือยาบำรุงครรภ์ กินวันละหนึ่งเม็ด จะช่วยให้ท่านคลอดบุตรได้ง่ายนี่คือตั๋วเงินสองพันตำลึง ท่านเก็บไว้ก่อนเถิด”กู้หว่านเยว่คิดว่า พวกเขายังไม่ได้พบใต้เท้าหลิว ไม่รู้ว่าหลิวชวี่ผู้นั้นมีความคิดอย่างไรกันแน่หากเขาปฏิเสธที่จะยอมจำนน เช่นนั้นสงครามใหญ่ก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงเมื่อถึงเวลานั้น นางค่อยมารับหลิ่วเพียวเพียวไป หรือไม่ก็เอาไปไว้ในมิติ หรือจัดหาที่อยู่ปลอดภัยให้หากว่าหลิวชวี่ยอมเปิดประตูเมืองโดยไม่ต้องมีการนองเลือดเช่นนั้นก็ให้คนสกุลเจี่ยนำตั๋วเงินสองพันตำลึงนี้ ไปซื้อบ้านสักหลังในเมืองจางโจวเพื่อพักอาศัยชั่วคราวก่อนรอจนกระทั่งหลิ่วเพียวเพียวคลอดบุตรแล้ว ค่อยพานางและลูกกลับไปยังเมืองเหยาหลังจากนั้นจะกลับไปยังเจดีย์หนิงกู่ หรือว่าคนสกุ
อีกอย่างพวกเขาหนีออกมาโดยไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยสักแดงเดียวในขณะที่ทั้งสามคนกำลังโต้แย้งกันอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเงาดำสองร่างกระโดดลงมาจากหลังคาเจี่ยฮูหยินและเจี่ยอวิ๋นเคยเจอกับโจรในเมืองเหยามาแล้ว จึงยังคงหวาดกลัว คิดว่าเป็นโจรกลุ่มนั้น จึงพากันตื่นตกใจในขณะที่กำลังจะตะโกนเสียงดังนั้น หลิ่วเพียวเพียวที่อยู่ถัดไปก็เห็นโฉมหน้าของกู้หว่านเยว่เสียงก่อน“ช้าก่อน อย่าเพิ่งส่งเสียงดัง นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง!”นางรีบขวางสองคนนั้นไว้ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่? ไม่เจอกันนานเลย”กู้หว่านเยว่คว้ามือของหลิ่วเพียวเพียวมาจับชีพจรให้นาง อื้อ ดีขึ้นมากแล้ว จังหวะการเต้นของชีพจรคงที่ ดูท่าทางเจี่ยอวิ๋นจะดูแลพี่หญิงคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังคิดว่าข้าตาฝาดอยู่เลย”ครั้นได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ หลิ่วเพียวเพียวก็เชื่อสนิทใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือน้องหญิงของนาง!ครั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่บนเตียงในช่วงแรก หลิ่วเพียวเพียวและคนในตระกูลหลิ่วต่เคยให้สิ่งของกับกู้หว่านเยว่แต่นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?อีกทั้งยังกระโดดลงมาจากหลังคาด
“อวิ๋นเอ๋อร์”เจี่ยฮูหยินเป็นคนขี้ขลาด ยามอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีอำนาจกลับพูดไม่ออกครั้นเห็นบุตรชายและลูกสะใภ้ ก็ราวกับเห็นเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย“พวกท่านสองคนทำอะไรกันขอรับ?”เจี่ยอวิ๋นเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็ลากคนรับใช้ของเจี่ยฮูหยินออกไป ก่อนจะจ้องมองคนตระกูลหลี่ด้วยสายตาโกรธเคือง “อวิ๋นเอ๋อร์ รังนกชิ้นนี้เป็นรังนกที่พี่หญิงของเจ้าให้ข้า ข้าเห็นว่าสุขภาพร่างกายของท่านพ่อในช่วงสองสามวันนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงนำรังนกไปให้ในครัวตุ๋ยยาให้เขาดื่ม ปรากฏว่าท่านแม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าขโมยรังนกชิ้นนี้มาจากนาง”เจี่ยฮูหยินพยายามรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองทันทีที่เจี่ยอวิ๋นและหลิ่วเพียวเพียวได้ยินเช่นนี้ ก็นึกสงสัยว่ายังมีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่รู้อีกหรือ?คนในตระกูลหลี่มองพวกเขาราวกับญาติยาจกที่มาพึ่งพาพวกเขา จึงมักจะพูดจาถากถางให้พวกเขาได้ยินอยู่บ่อย ๆ บัดนี้พวกเขาชักจะเหิมเกินเกินไป กล่าวหาว่าท่านแม่ของเขาเป็นหัวขโมย!เจี่ยฮูหยินรักหลิ่วเพียวเพียวมาก ออกโรงช่วยพูดแทนแม่สามีทันที“ป้าหลี่ รังนกของท่านหายไปใช่หรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชำเลืองมองหลิ่วเพียวเพียวแวบหนึ่ง ก่อนจ
กู้หว่านเยว่หยิบเศษตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อและวางลงบนมือของเสี่ยวเอ้อร์“เก็บไว้กินเหล้านะ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ กลับไปก่อนเถอะ ต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าแล้ว”“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”เสี่ยวเอ้อร์เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขารับตำลึงเงินและรีบจากไปทันทีจนกระทั่งแผ่นหลังของเสี่ยวเอ้อร์หายลับไปจากถนน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ลอยตัวเข้าไปในจวนหลี่“ระบบ ช่วยข้าล็อกตำแหน่งที่อยู่ของพี่หญิงหน่อยสิ”กู้หว่านเยว่เคยเจอกับหลิ่วเพียวเพียวแล้ว ดังนั้นระบบจึงสามารถหาตำแหน่งของนางภายในขอบเขตขนาดเล็กได้“นายหญิง คุณหนูหลิ่วอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้”ภายในจวนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนหลี่ในเวลานี้ เจียอวิ๋นกำลังประคองหลิ่วเพียวเพียวนั่งลง“ไม่รู้ว่าท่านตา ท่านยาย ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องชายของข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง จากข่าวของเมืองฉูโจว ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลพวกเขาล้มละลาย ตระกูลหลิ่วเองก็หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว”หลิ่วเพียวเพียวเช็ดน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเจี่ยอวิ๋นเห็นภรรยาเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ทอดถอนใจเขาไร้อำนาจ ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเกินไป วางใจเถอะ
ทิวทัศน์จากกำแพงเมืองช่างงดงามยิ่งนัก หากศัตรูคิดจะลอบโจมตี ทหารที่เฝ้าประจำการอยู่บนกำแพงจะเห็นเป็นคนแรกกองทัพที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของทหารเหล่านี้ไปได้“มิน่าล่ะหนานหยางอ๋องถึงได้เป็นกังวลยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่หันไปมองซูจิ่งสิง “เราไปตามหาพี่หญิงของข้าก่อนหรือจะไปตามหาหลิวชวี่ก่อนดีเจ้าคะ?”นางรู้ว่าเหตุผลหลักที่ซูจิ่งสิงมายังเมืองจางโจวก็เพื่อตามหาสหายเก่า คาดว่าคงอยากเจอกับอีกฝ่ายสักครั้ง แล้วดูว่าแม่ทัพหลิวผู้นี้จะมีท่าทีอย่างไรหากสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้ ก็คงจะดียิ่งนักสามารถแก้ไขปัญหาโดยปราศจากการนองเลือดได้ ราษฎรในเมืองจางโจก็จะได้รับความลำบากจากสงครามน้อยลง“ไปตามหาพี่หญิงของเจ้าก่อนเถิด”ซูจิ่งสิงกล่าวเพียงประโยคเดียวเขาไม่ได้รีบออกตามหาหลิวชวี่ขนาดนั้น ไปตามหาหลิ่วเพียวเพียวก่อน กู้หว่านเยว่จะได้วางใจ“ก็ดี เช่นนั้นก็ออกตามหาพี่หญิงของข้าก่อน”“ไปกันเถอะ เราเข้าเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ เพียงพริบตาเดียวก็พบว่าทั้งสองคนได้เข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนมีจำนวนน้
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก