“ไม่ได้” เฉิงฮูหยินกอดร่างอวบอ้วนของเฉิงซินไว้ในอ้อมกอด “นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเรานะ ท่านส่งเขาออกบวชเช่นนี้ ท่านจะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ“หากหวนเอ๋อร์ยังมีชีวิติอยาละก็ ต่อให้ท่านเฆี่ยนเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ขวางท่าน แต่นี่หวนเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าของข้าบ้างอย่างนั้นหรือ?”ครั้นเฉิงทั่วนึกถึงบุตรชายคนโตที่มีความเชี่ยวชาญด้านบทกวีและมีทักษะการต่อสู้ก็อดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เหนือกว่าเฉิงซินขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี่เองเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนโต เฉิงฮูหยินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา เข้มงวดด้านกฎระเบียบปรากฏว่ากลับเข้มงวดมากเกินไป จนทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องตายในที่สุด“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ของข้าก็มักจะหวาดกลัวอยู่เสมอ”เฉิงเหลียนชำเลืองมองกู้หว่านเยว่แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ“กลัวว่าข้าจะเจริญรอยตามพี่ใหญ่ จึงไม่กล้าอบรมสั่งสอนพี่รอง ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนและวางเพลิง นางก็มักจะตามใจเขาอยู่เสมอ”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก ยังใช้เหตุผลนี้กันอยู่อีกหร
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก
ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า
ซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าตนตื่นตั้งแต่เมื่อไร“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”ซูจื่อชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ในที่สุดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีกำลังหนุนแล้ว“พยุงข้าหน่อย” ซูจิ่งสิงยื่นมือออกมาอย่างอ่อนแรง พอนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว เขาก็มองดูกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียวด้วยสายตารู้สึกผิด“ขอโทษนะ”ไม่เพียงแต่ทำให้นางเดือดร้อน แต่ยังทำให้นางถูกตระกูลซูหยามเหยียดกู้หว่านเยว่สบตาเขา ตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วรีบร้อนพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่สนใจวาจาของพวกคนขยะแต่นางไม่คิดว่า ซูจิ่งสิงจะปกป้องนางทว่ากลับเป็นคนอื่นๆ ในห้องที่อดกลั้นไว้ไม่ไหว และไม่สนว่าบาดแผลของซูจิ่งสิงเป็นอย่างไร กระโจนเข้ามาถามว่า“จิ่งสิง เจ้าขอโทษนางมันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราเหล่าผู้เฒ่าทำผิดหรือ?”หากไม่หย่าภรรยา หรืออยากเห็นนางทำลายตระกูลหรือ?!“รีบหย่ากับนางเสีย ขอเพียงเจ้าหย่ากับนาง พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน”“...”ครอบครัวเดียวกัน?ฮะๆ... ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่แสนประเสริฐยามเขายังเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เ
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก
“ไม่ได้” เฉิงฮูหยินกอดร่างอวบอ้วนของเฉิงซินไว้ในอ้อมกอด “นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเรานะ ท่านส่งเขาออกบวชเช่นนี้ ท่านจะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ“หากหวนเอ๋อร์ยังมีชีวิติอยาละก็ ต่อให้ท่านเฆี่ยนเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ขวางท่าน แต่นี่หวนเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าของข้าบ้างอย่างนั้นหรือ?”ครั้นเฉิงทั่วนึกถึงบุตรชายคนโตที่มีความเชี่ยวชาญด้านบทกวีและมีทักษะการต่อสู้ก็อดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เหนือกว่าเฉิงซินขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี่เองเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนโต เฉิงฮูหยินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา เข้มงวดด้านกฎระเบียบปรากฏว่ากลับเข้มงวดมากเกินไป จนทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องตายในที่สุด“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ของข้าก็มักจะหวาดกลัวอยู่เสมอ”เฉิงเหลียนชำเลืองมองกู้หว่านเยว่แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ“กลัวว่าข้าจะเจริญรอยตามพี่ใหญ่ จึงไม่กล้าอบรมสั่งสอนพี่รอง ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนและวางเพลิง นางก็มักจะตามใจเขาอยู่เสมอ”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก ยังใช้เหตุผลนี้กันอยู่อีกหร
“เพียงแต่เราต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อน ท่านตามข้าได้ แต่ท่านห้ามเข้าเมืองหลวงพร้อมกับข้า เมื่อเข้าเขตเมืองหลวง ข้าจะให้ท่านไปพักในโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัย ถึงยามนั้นข้าจะเข้าไปเพียงลำพัง หากข้ากลับออกมาอย่างปลอดภัย ข้าค่อยพาท่านกลับเจดีย์หนิงกู่ เพื่อกราบขอโทษท่านอ๋องและพระชายา แต่หากข้าไม่กลับออกมา คนของข้าจะคุ้มกันท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัย”มู่หรงฉางเล่อหลุดหัวเราะออกมา“เหอะ ๆ พูดไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย หมายความว่าอย่างไรไม่กลับออกมา? ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องกลับออกมาเจ้าค่ะ”อวิ๋นมู่มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง ครั้งนี้เจ้าจะไม่ให้นางบิดพลิ้วง่าย ๆ อีก“ได้โปรดท่านหญิงจงรับปากข้า มิเช่นนั้นข้าจะเลี้ยวหัวกลับเดี๋ยวนี้ พาท่านกลับไปส่งเมืองซุ่ยโจว”มู่หรงฉางเล่อถอนหายใจ“ก็ได้ ๆ ข้ารับปากท่าน”ตอนนี้นางยอมรับปากส่งเดชไปก่อน แต่เมื่อถึงที่หมายแล้วจะทำอย่างไรนั้นก็ค่อยว่ากันกู้หว่านเยว่เดาออกว่าเรื่องของแม่นางตั่วไม่มีทางจบในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ในเช้าวันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น หลังจากที่เฉิงฮูหยินตื่นนอน ก็ส่งตัวแม่นางตั่วออกไปและโน้มน้าวไม่ให้เฉิงซินบอกเขาเดิมทีเ
เสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิงอย่างชัดเจน อวิ๋นมู่รู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบเปิดม่านและชะโงกหน้าออกไปดู“ท่าน...”คนของอวิ๋นมู่โง่เขลาไปชั่วขณะในตอนที่เขาโผล่หน้าออกมานั้น ก็เจอกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มหวานของคนผู้นั้นพอดีเจ้าของรอยยิ้มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมู่หรงฉางเล่อนั้นเอง“ท่านหญิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”อวิ๋นมู่รีบมองไปรอบ ๆ หน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราย คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่กระทั่งเห็นว่าบนทางหลวงที่ค่อนข้างคับแคบแห่งนี้มีเพียงรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เพียงคันเดียวแต่มู่หรงฉางเล่อนั่งอยู่บนที่นั่งที่ประกอบด้วยไม้บริเวณด้านหน้าของรถม้า มือข้างหนึ่งจับเชือกบังเหียน แต่งกายเป็นคนขับรถม้าแล้วอวิ๋นมู่จะรู้ได้อย่างไร ว่าสตรีผู้นี้แต่งกายเป็นคนบังคับม้า และแอบขึ้นมาบนรถม้าของเขา ออกเดินทางไปเมืองซุ่ยโจวกับเขามาไกลถึงเพียงนี้!“คุณชายอวิ๋น ทำไมพอเจอข้าแล้วถึงนิ่งงันไปเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อเอียงคอคลี่ยิ้มนัยน์ตาของนางฉายแววเฉลียวฉลาดที่ชวนหลงใหลออกมา จากนั้นก็โยนเชือกบังเหียนไปให้กับคนบังคับม้าที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็
นางออกคำสั่งเป็นปกติ ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้างกายทำได้แต่เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ ไม่คิดจะออกความคิดเห็นแต่อย่างใดเฉิงเหลียนรู้ว่านางเชื่อถือได้ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”ตอนจากไป นางย่างก้าวราวกับเหาะออกไปเลยทีเดียว“พระชายาช่างใจดียิ่งนัก” ชิงเหลียนอดทอดถอนใจไม่ได้แน่นอนว่าครั้นแม่นางเฉิงเหลียนได้รับความไม่ยุติธรรมจากตระกูลเฉิง นางจึงอยากพาอีกฝ่ายไปด้วย“นางสมควรได้รับ”กู้หว่านเยว่เห็นฝีมือและประสบการณ์ด้านการนำทัพของเฉิงเหลียนแล้ว นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งเพียงแต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี จึงได้รับข้อจำกัดทุกด้านแต่หากนางได้อยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องกังวลมากนักนางให้โอกาสเฉิงเหลียนได้แสดงความสามารถของตัวเองอย่างอิสระ“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”หลังจากเสียเวลามาตลอดครึ่งเช้า ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปกินมื้อเที่ยงแล้วกู้หว่านเยว่จูงมือของซูจิ่งสิงกลับมาถึงจวน กระทั่งเห็นสาวใช้วิ่งออกมาอย่างกระวนกระวายใจ“ท่านอ๋อง พระชายา แย่แล้ว ท่านหญิงฉางเล่อหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”นี่คือสาวใช้ของมู่หรงฉางเล่อ ชื่อว่ากู๋อวี่กู๋อวี่ถือจดหมายฉบับหนึ่ง ด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้“ข้าน้อยไป
กู้หว่านเยว่กุมขมับ ไม่มีใครปากหนักได้เหมือนเฉิงซิน หวังว่านางจะจำมันไว้เป็นบทเรียน “โธ่ ๆ ท่านพี่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” แม่นางตั่วล้มลงไปกองบนพื้น พลางยกมือกุมอกด้วยท่าทางยั่วสวาท ความจริงแล้วนางมีรูปโฉมงดงามมาก แม้จะไม่ได้บอกว่านางงดงามยิ่งกว่าใครในปฐพี แต่ก็มั่นใจได้ว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากและเย้ายวนเก่งมากทีเดียว ไม่แปลกใจที่เฉิงซินจะชื่นชอบ“ฮูหยิน ก่อนหน้านั้นแม่นางผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในหอนางโลมซุ่ยโจวเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนกระซิบนินทาเสียงเบาข้างหูของกู้หว่านเยว่ นางรู้ว่าพระชายาของตัวเองชอบฟังเรื่องเหล่านี้เป็นที่สุด“ต่อมาครั้นถึงวัยออกเรือน นางก็ได้แต่งงานกับคนขี่ม้าผู้หนึ่ง ทว่าแม้ว่านางจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่กลับยังออกไปรับแขกเฉกเช่นเดิม...”กู้หว่านเยว่มีคำว่า ‘ให้ตายเถอะ’ ผุดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ว่าควรโพล่งหรือไม่ควรโพล่งออกมา “แม่นางตั่ว เจ้าเป็นอะไรไป?”ครั้นเฉิงซินได้ยินเสียงของแม่นางตั่วก็รีบวิ่งออกมาทันที ท่าทางนั้นของเขาดูร้อนใจกว่าตอนที่แม่เขาเป็นลมเสียอีก“ท่านอ๋อง ข้าเจ็บเจ้าค่ะ....” แม่นางตั่วถูเข่าของตัวเอง“ไปกันเถอะ”
“พระชายา ท่านอ่อง เรื่องนี้...”ซูจิ่งสิงโบกมือเบาๆ “เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัว เจ้าจัดการเองเถอะ”ตอนเฉิงฮูหยินเพิ่งฟื้นขึ้น เอาแต่เป็นห่วงลูกชายที่ถูกแขวนไว้ด้านนอก ตอนนี้ถึงได้หันมาสนใจกู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อรู้ว่ากู้หว่านเยว่ช่วยนางไว้ จึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพอีกฝ่าย“ชีวิตอันต่ำต้อยของข้าน้อยจะให้พระชายามาเองได้อย่างไร รบกวนพระชายาเกินไปแล้ว”นอกจากรักลูกชายมากเกินไปแล้ว ด้านอื่นๆ ของเฉิงฮูหยินก็ยังถือว่าปกติดีกู้หว่านเยว่โบกมือ“เฉิงฮูหยินไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น รีบลุกเถอะ สุขภาพของท่านไม่ค่อยดี”“ถูกต้องท่านแม่ ท่านรีบลุกขึ้นมาเถอะ”เฉิงซินเข้าไปประคองเฉิงฮูหยินอย่างกระตือรือร้น สายตาเหลือบมองกู้หว่านเยว่ เขายังรู้สึกกลัวกู้หว่านเยว่อยู่บ้างช่วงเวลาที่ถูกมู่หรงฉางเล่อจับตัวไป เขาถูกทรมานมาไม่น้อยในมือกู้หว่านเยว่มียาพิษมากมาย มียาพิษหลายชนิดที่เขาได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง“รีบสั่งให้แม่นางตั่วของเจ้าไปซะ” เฉิงฮูหยินด่าทออย่างไม่สบอารมณ์“เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ได้เวลากลับตัวกลับใจได้แล้ว”ที่ลูกชายออกไปทำตัวสำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอก ต้อง
“รีบให้คนไปปล่อยซินเอ๋อร์ลงมาเดี๋ยวนี้!”เมื่อเฉิงฮูหยินลุกขึ้น หัวใจพลันปวดแปลบ นางจึงต้องเชื่อฟังและนอนลงแต่โดยดีทว่าก็ยังชะเง้อคอ อยากจะมองดูลูกรักที่อยู่ตรงลานบ้าน“เหลียนเอ๋อร์อยู่ข้างนอกหรือ? เหลียนเอ๋อร์ รีบปล่อยตัวพี่ใหญ่เจ้าเร็วสิ!”“ฮูหยิน!”เฉิงทั่วไม่เห็นด้วยกับวิธีการของนาง“เจ้าลูกอกตัญญูทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าขนาดนี้ หากไม่ลงโทษให้ดี ต่อไปเขาจะใจกล้ามากยิ่งกว่านี้”เขาอยากถือโอกาสนี้ ลงโทษเฉิงซินให้เข็ดหลาบ“เพราะหญิงสำส่อนนั่นให้ท่า เกี่ยวอะไรกับลูกด้วย?” แต่เห็นได้ชัดว่าเฉิงฮูหยินลำเอียงคนลำเอียงมักพบได้ทั่วไป แต่ผู้ที่ลำเอียงขนาดนี้พบได้ไม่บ่อยนักกู้หว่านเยว่จับมือซูจิ่งสิงยืนสอดรู้อยู่ด้านข้างอย่างมีความสุขแม้แต่เฉิงทั่วเองก็ทนฟังต่อไปไม่ได้ สั่งสอนเฉิงฮูหยินด้วยใบหน้าแดงเถือก“ฮูหยิน หากไม่ใช่เพราะลูกชายของเราทำตัวเละเทะเอง ออกไปลักลอบได้เสียกับแม่นางตั่วอะไรนั่น หนำซ้ำยังพานางกลับมาที่บ้าน เจ้าจะหมดสติได้อย่างไร?”เฉิงทั่วโกรธที่ลูกชายไม่เอาไหนเจ้าลูกชายทำตัวเละเทะก็ไม่ใช่วันสองวันแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่มีโอกาสจัดการลูกชายสักที วันนี้จะต้องสั่งสอ
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส