“ไม่ได้” เฉิงฮูหยินกอดร่างอวบอ้วนของเฉิงซินไว้ในอ้อมกอด “นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเรานะ ท่านส่งเขาออกบวชเช่นนี้ ท่านจะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ“หากหวนเอ๋อร์ยังมีชีวิติอยาละก็ ต่อให้ท่านเฆี่ยนเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ขวางท่าน แต่นี่หวนเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าของข้าบ้างอย่างนั้นหรือ?”ครั้นเฉิงทั่วนึกถึงบุตรชายคนโตที่มีความเชี่ยวชาญด้านบทกวีและมีทักษะการต่อสู้ก็อดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เหนือกว่าเฉิงซินขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี่เองเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนโต เฉิงฮูหยินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา เข้มงวดด้านกฎระเบียบปรากฏว่ากลับเข้มงวดมากเกินไป จนทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องตายในที่สุด“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ของข้าก็มักจะหวาดกลัวอยู่เสมอ”เฉิงเหลียนชำเลืองมองกู้หว่านเยว่แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ“กลัวว่าข้าจะเจริญรอยตามพี่ใหญ่ จึงไม่กล้าอบรมสั่งสอนพี่รอง ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนและวางเพลิง นางก็มักจะตามใจเขาอยู่เสมอ”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก ยังใช้เหตุผลนี้กันอยู่อีกหร
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก
ทิวทัศน์จากกำแพงเมืองช่างงดงามยิ่งนัก หากศัตรูคิดจะลอบโจมตี ทหารที่เฝ้าประจำการอยู่บนกำแพงจะเห็นเป็นคนแรกกองทัพที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของทหารเหล่านี้ไปได้“มิน่าล่ะหนานหยางอ๋องถึงได้เป็นกังวลยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่หันไปมองซูจิ่งสิง “เราไปตามหาพี่หญิงของข้าก่อนหรือจะไปตามหาหลิวชวี่ก่อนดีเจ้าคะ?”นางรู้ว่าเหตุผลหลักที่ซูจิ่งสิงมายังเมืองจางโจวก็เพื่อตามหาสหายเก่า คาดว่าคงอยากเจอกับอีกฝ่ายสักครั้ง แล้วดูว่าแม่ทัพหลิวผู้นี้จะมีท่าทีอย่างไรหากสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้ ก็คงจะดียิ่งนักสามารถแก้ไขปัญหาโดยปราศจากการนองเลือดได้ ราษฎรในเมืองจางโจก็จะได้รับความลำบากจากสงครามน้อยลง“ไปตามหาพี่หญิงของเจ้าก่อนเถิด”ซูจิ่งสิงกล่าวเพียงประโยคเดียวเขาไม่ได้รีบออกตามหาหลิวชวี่ขนาดนั้น ไปตามหาหลิ่วเพียวเพียวก่อน กู้หว่านเยว่จะได้วางใจ“ก็ดี เช่นนั้นก็ออกตามหาพี่หญิงของข้าก่อน”“ไปกันเถอะ เราเข้าเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ เพียงพริบตาเดียวก็พบว่าทั้งสองคนได้เข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนมีจำนวนน้
กู้หว่านเยว่หยิบเศษตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อและวางลงบนมือของเสี่ยวเอ้อร์“เก็บไว้กินเหล้านะ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ กลับไปก่อนเถอะ ต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าแล้ว”“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”เสี่ยวเอ้อร์เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขารับตำลึงเงินและรีบจากไปทันทีจนกระทั่งแผ่นหลังของเสี่ยวเอ้อร์หายลับไปจากถนน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ลอยตัวเข้าไปในจวนหลี่“ระบบ ช่วยข้าล็อกตำแหน่งที่อยู่ของพี่หญิงหน่อยสิ”กู้หว่านเยว่เคยเจอกับหลิ่วเพียวเพียวแล้ว ดังนั้นระบบจึงสามารถหาตำแหน่งของนางภายในขอบเขตขนาดเล็กได้“นายหญิง คุณหนูหลิ่วอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้”ภายในจวนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนหลี่ในเวลานี้ เจียอวิ๋นกำลังประคองหลิ่วเพียวเพียวนั่งลง“ไม่รู้ว่าท่านตา ท่านยาย ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องชายของข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง จากข่าวของเมืองฉูโจว ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลพวกเขาล้มละลาย ตระกูลหลิ่วเองก็หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว”หลิ่วเพียวเพียวเช็ดน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเจี่ยอวิ๋นเห็นภรรยาเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ทอดถอนใจเขาไร้อำนาจ ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเกินไป วางใจเถอะ
“อวิ๋นเอ๋อร์”เจี่ยฮูหยินเป็นคนขี้ขลาด ยามอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีอำนาจกลับพูดไม่ออกครั้นเห็นบุตรชายและลูกสะใภ้ ก็ราวกับเห็นเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย“พวกท่านสองคนทำอะไรกันขอรับ?”เจี่ยอวิ๋นเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็ลากคนรับใช้ของเจี่ยฮูหยินออกไป ก่อนจะจ้องมองคนตระกูลหลี่ด้วยสายตาโกรธเคือง “อวิ๋นเอ๋อร์ รังนกชิ้นนี้เป็นรังนกที่พี่หญิงของเจ้าให้ข้า ข้าเห็นว่าสุขภาพร่างกายของท่านพ่อในช่วงสองสามวันนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงนำรังนกไปให้ในครัวตุ๋ยยาให้เขาดื่ม ปรากฏว่าท่านแม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าขโมยรังนกชิ้นนี้มาจากนาง”เจี่ยฮูหยินพยายามรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองทันทีที่เจี่ยอวิ๋นและหลิ่วเพียวเพียวได้ยินเช่นนี้ ก็นึกสงสัยว่ายังมีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่รู้อีกหรือ?คนในตระกูลหลี่มองพวกเขาราวกับญาติยาจกที่มาพึ่งพาพวกเขา จึงมักจะพูดจาถากถางให้พวกเขาได้ยินอยู่บ่อย ๆ บัดนี้พวกเขาชักจะเหิมเกินเกินไป กล่าวหาว่าท่านแม่ของเขาเป็นหัวขโมย!เจี่ยฮูหยินรักหลิ่วเพียวเพียวมาก ออกโรงช่วยพูดแทนแม่สามีทันที“ป้าหลี่ รังนกของท่านหายไปใช่หรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชำเลืองมองหลิ่วเพียวเพียวแวบหนึ่ง ก่อนจ
อีกอย่างพวกเขาหนีออกมาโดยไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยสักแดงเดียวในขณะที่ทั้งสามคนกำลังโต้แย้งกันอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเงาดำสองร่างกระโดดลงมาจากหลังคาเจี่ยฮูหยินและเจี่ยอวิ๋นเคยเจอกับโจรในเมืองเหยามาแล้ว จึงยังคงหวาดกลัว คิดว่าเป็นโจรกลุ่มนั้น จึงพากันตื่นตกใจในขณะที่กำลังจะตะโกนเสียงดังนั้น หลิ่วเพียวเพียวที่อยู่ถัดไปก็เห็นโฉมหน้าของกู้หว่านเยว่เสียงก่อน“ช้าก่อน อย่าเพิ่งส่งเสียงดัง นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง!”นางรีบขวางสองคนนั้นไว้ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่? ไม่เจอกันนานเลย”กู้หว่านเยว่คว้ามือของหลิ่วเพียวเพียวมาจับชีพจรให้นาง อื้อ ดีขึ้นมากแล้ว จังหวะการเต้นของชีพจรคงที่ ดูท่าทางเจี่ยอวิ๋นจะดูแลพี่หญิงคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังคิดว่าข้าตาฝาดอยู่เลย”ครั้นได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ หลิ่วเพียวเพียวก็เชื่อสนิทใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือน้องหญิงของนาง!ครั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่บนเตียงในช่วงแรก หลิ่วเพียวเพียวและคนในตระกูลหลิ่วต่เคยให้สิ่งของกับกู้หว่านเยว่แต่นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?อีกทั้งยังกระโดดลงมาจากหลังคาด
อย่างไรก็ตาม สกุลหลี่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้ การอาศัยอยู่ที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง อาศัยการปกปิดจากห่อผ้า หยิบน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กาหนึ่งและยาบำรุงครรภ์ขวดหนึ่ง รวมถึงตั๋วเงินสองพันตำลึงที่อยู่ข้างในออกมา “น้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ข้านำมาจากเทียนซาน ท่านดื่มวันละนิด สามารถบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้นี่คือยาบำรุงครรภ์ กินวันละหนึ่งเม็ด จะช่วยให้ท่านคลอดบุตรได้ง่ายนี่คือตั๋วเงินสองพันตำลึง ท่านเก็บไว้ก่อนเถิด”กู้หว่านเยว่คิดว่า พวกเขายังไม่ได้พบใต้เท้าหลิว ไม่รู้ว่าหลิวชวี่ผู้นั้นมีความคิดอย่างไรกันแน่หากเขาปฏิเสธที่จะยอมจำนน เช่นนั้นสงครามใหญ่ก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงเมื่อถึงเวลานั้น นางค่อยมารับหลิ่วเพียวเพียวไป หรือไม่ก็เอาไปไว้ในมิติ หรือจัดหาที่อยู่ปลอดภัยให้หากว่าหลิวชวี่ยอมเปิดประตูเมืองโดยไม่ต้องมีการนองเลือดเช่นนั้นก็ให้คนสกุลเจี่ยนำตั๋วเงินสองพันตำลึงนี้ ไปซื้อบ้านสักหลังในเมืองจางโจวเพื่อพักอาศัยชั่วคราวก่อนรอจนกระทั่งหลิ่วเพียวเพียวคลอดบุตรแล้ว ค่อยพานางและลูกกลับไปยังเมืองเหยาหลังจากนั้นจะกลับไปยังเจดีย์หนิงกู่ หรือว่าคนสกุ
“รอข่าวจากน้องหญิง หากน้องหญิงบอกว่าพวกเราสามารถกลับไปได้ พวกเราก็ค่อยกลับไปจากสกุลหลี่”หลิ่วเพียวเพียวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบกำชับ“ท่านแม่ ท่านพี่ ฐานะของน้องหญิงและน้องเขยนั้นพิเศษ เรื่องที่ได้พบพวกเขาในคืนนี้ หวังว่าพวกท่านจะไม่บอกใคร”ทั้งสองคนเป็นคนมีเหตุผล ไม่ต้องให้หลิ่วเพียวเพียวกำชับพวกเขาก็เข้าใจ ตอนนี้จึงรีบพยักหน้า“น้องหญิงวางใจเถิด ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างแน่นอน”อีกด้านหนึ่ง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงออกจากจวนหลี่แล้ว ก็รีบพุ่งตัวไปยังจวนแม่ทัพ“ท่านพี่ ท่านว่าแม่ทัพหลิวผู้นั้นจะยอมเปิดประตูเมืองหรือไม่?”กู้หว่านเยว่คิดถึงแผนการรับมือ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หากแม่ทัพหลิวผู้นี้ไม่ยินยอม เช่นนั้นก็จับตัวเขาไปเลยดีกว่า จับกลับไปเป็นตัวประกันซูจิ่งสิงหรี่ตาลงเล็กน้อย“ตามความเข้าใจของข้าที่มีต่อเขา เขาน่าจะยินยอม”กู้หว่านเยว่คิด ๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย หลิวชวี่ผู้นี้สามารถเป็นสหายกับซูจิ่งสิง แสดงว่าเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน“เช่นนั้นพวกเราไปดูกันก่อนเถอะ”ทั้งสองคนวาร์ปเข้าไปในจวนแม่ทัพ กู้หว่านเยว่เปิดระบบขึ้นมาโดยตรง ให้ระบบค้นหาห้องที่แม่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก