เพิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยม นางก็กระโดดขึ้นหลังคา ตรวจสอบแต่ละห้องได้ยินเสียงทะเลาะกันระลอกหนึ่งที่ห้องท้ายสุดอย่างว่องไว“บังอาจ”เสียงนั้นแฝงความน่าครั่นคร้าม ทำเสียจนสีหน้ากู้หว่านเยว่นิ่งค้างไป ค่อยๆ เปิดกระเบื้องหนึ่งแผ่น“รีบปล่อยข้า”“องค์หญิงอย่าตำหนิเลย รอถึงเจดีย์หนิงกู่แล้ว ท่านย่อมเป็นอิสระ”ฝ่ายชายคลี่ยิ้มเอาใจกู้หว่านเยว่มองลงเบื้องล่างจากบนหลังคา ก็ได้เห็นสตรีวัยกลางคนท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่งกำลังพิงหัวเตียง ชายชุดดำหลายคนยืนอยู่ตรงหน้าเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าชายชุดดำเหล่านั้นเป็นวิชายุทธ มิหนำซ้ำคนพูดยังเป็นชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าสายตากู้หว่านเยว่ตกลงบนสตรีวัยกลางคน“พวกเจ้าพาข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่ ตกลงต้องการทำอันใดกันแน่?”ฝ่ายหญิงไอออกมา“หากอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ได้รู้ว่าพวกเจ้าขวัญกล้าถึงเพียงนี้ จะต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”“กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่ง”คนเหล่านั้นได้ยินชื่ออดีตฮ่องเต้ สีหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆนับตั้งแต่องครักษ์หลวงตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่หรงถิง ก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน องครักษ์หลวงในเวลานี้ล้วนเป็นคนสนิทของมู่หรงถ
สีหน้าองครักษ์หลวงเหล่านั้นเปลี่ยนไป“เจ้าเป็นใคร เจ้าเอาองค์หญิงใหญ่ไปไว้ที่ใด?”“ไม่บอกพวกเจ้าหรอก”ที่นี่อยู่นานไม่ได้ กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ชอบต่อสู้หยิบระเบิดควันออกจากใต้วงแขนอันหนึ่ง หลังโยนออกไปแล้วก็หนีออกจากหน้าต่าง“ตามไป!”องครักษ์หลวงวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม รีบไล่ตามไปอย่างว่องไวปานเหินบินกู้หว่านเยว่เองก็ไม่กลัวพวกเขา เดินทางออกจากศาลาพักม้า“หากไม่ใช่เพราะกลัวคนบริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วย ข้าจะต้องทำลายศาลาพักม้านี้ให้ราบเป็นหน้ากลองแน่”กู้หว่านเยว่หันหน้ากลับไปมองอย่างพูดไม่ออกแวบหนึ่ง แล้วรีบจากไปหลังนางออกจากศาลาพักม้า ก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมอย่างว่องไว เพิ่งเปิดประตู ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าบ่าของนางไว้“อือ!”กู้หว่านเยว่เบิกตากว้าง เหตุใดภายในห้องนางถึงมีคนอยู่อีกหนึ่งคนกันเล่า?ขณะต้องการโจมตี คนผู้นั้นก็รีบเปล่งเสียงออกมา“ท่านพี่ เหตุใดท่านใจร้ายตีข้าได้ลง?”เป็นเสียงของเฟิ่งเจาซีมือของกู้หว่านเยว่ชะงักค้างกลางอากาศ อาศัยแสงจันทร์มองคนตรงหน้าอย่างชัดเจน เป็นเฟิ่งเจาซีที่ได้พบเมื่อช่วงกลางวันไม่ผิดไปดังคาด“เจ้ามาที่ห้องของข้าตอนค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ทำอันใด?”
กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง โชคดีที่นางหาองค์หญิงใหญ่พบทันเวลาหาไม่แล้วรอผ่านไปอีกสองวัน ด้วยร่างกายขององค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ องครักษ์หลวงยังไม่ทันลงมือสังหารองค์หญิงใหญ่ที่เจดีย์หนิงกู่ อีกฝ่ายก็อาจตายไประหว่างทางเสียก่อนแล้วกู้หว่านเยว่ตรวจอาการทั้งหมดขององค์หญิงใหญ่อย่างละเอียดพบว่านางเองก็ไม่ได้ป่วยหนัก แต่เพราะชี่และเลือดเสียหายพร่องไปนานหลายปี ทำให้ร่างกายอ่อนแออาการเช่นนี้ ขอเพียงบำรุงด้วยสมุนไพรดีๆ อีกไม่นานก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้วกู้หว่านเยว่กดจุดหลับให้องค์หญิงใหญ่ เวลาในการรักษาไม่นาน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องค์หญิงใหญ่ตื่นขึ้นมาในมิติ นางหยิบยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดออกมาป้อนองค์หญิงใหญ่ฉวยโอกาสตอนองค์หญิงใหญ่กำลังหลับสนิท กู้หว่านเยว่ไปขุดสมุนไพรที่แปลงสมุนไพร ต้มกลายเป็นน้ำแกงให้องค์หญิงใหญ่กินสุดท้ายไปดูบ่าวสูงวัยสกุลซ่ง มั่นใจว่าบ่าวสูงวัยสกุลซ่งยังนอนหมดสติ นี่ถึงวางใจจากไปไปกลับหนึ่งรอบนี้เสียเวลาไปหลายชั่วยามกู้หว่านเยว่มองเวลาภายในมิติแวบหนึ่ง เห็นว่าอีกสองชั่วยามฟ้าจะสว่างแล้ว นางรีบเอนกายบนเตียงเพื่อพักผ่อนวันต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้นระลอกหนึ่ง“
“ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อท่านนะ ท่านใส่ใจงานเทศกาลหินหยกถึงเพียงนี้ หากไปสายขึ้นมาไม่แย่หรือ?”เฟิ่งเจาซีมีท่าทางจริงจังกู้หว่านเยว่ ‘...นี่ก็เหมือนที่คำโบราณพูดว่ าเจ้าจะขึ้นรถไฟสิบโมง ตีสี่ก็ต้องปลุกพ่อแม่เจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ!’ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังเมืองทิศตะวันออก ระหว่างเดินทางเฟิ่งเจาซีฉวยโอกาสแนะนำเทศกาลหินหยกครั้งนี้ให้กู้หว่านเยว่ฟัง“งานเทศกาลหินหยกนี้หอเจิ้นไห่เป็นผู้จัดขึ้น หอเจิ้นไห่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเมืองเจิ้นไห่เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ย่อมไม่เคยได้ยินเรื่องหอเจิ้นไห่ จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“อำนาจอะไร?”“ได้ยินมาว่าสร้างขึ้นโดยแปดตระกูลใหญ่”เฟิ่งเจาซีพูดตามปากพาไป“ทุกปีแปดตระกูลใหญ่นี้จะจัดงานเทศกาลหินหยกขึ้น ก็เพราะด้านหลังเมืองเจิ้นไห่มีภูเขาเหมืองหินหยกอยู่หนึ่งผืนทุกครั้งที่จัดงานเทศกาลหินหยก จะมีคนต่างถิ่นมาเยือนไม่น้อย ต้องการอาศัยงานเทศกาลหินหยกนี้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน”กู้หว่านเยว่สามารถเข้าใจได้ ตอนนางอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันก็เคยเข้าร่วมงานงานประมูลหินหยกเสี่ยงโชคมาก่อน การเสี่ยงโชคหินหยกนี้ก็คือหินหยกดิบเหล่านี้ถูกห่อหุ
“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”เฟิ่งเจาซีดีดนิ้วต่อหน้ากู้หว่านเยว่“ตามข้าเข้าไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ดึงสติกลับมา ได้เห็นเฟิ่งเจาซีหยิบเทียบเชิญสองแผ่นออกมา ส่งให้ผู้ดูแลหน้าประตูหน้าประตูมีองครักษ์มากมาย แต่ละคนล้วนพกดาบไว้ที่เอวกู้หว่านเยว่มองแวบหนึ่ง เฟิ่งเจาซีกระซิบอธิบายข้างโสตนาง“องครักษ์เหล่านี้ล้วนปกป้องดูแลงานเทศกาลหินหยก ป้องกันไม่ให้ฆ่าคนชิงสมบัติและปล้นหินหยก”กู้หว่านเยว่พยักหน้า มองสองหนแล้วเลื่อนสายตาออกสิ่งปลูกสร้างของหอเจิ้นไห่สูงตระหง่าน เพราะอยู่ริมทะเลของเมืองเจิ้นไห่ ตำนานเล่าว่าใต้หอเจิ้นไห่นี้มีอสูรทะเลตัวหนึ่งถูกผนึกไว้ ดังนั้นสิ่งปลูกสร้างของหอเจิ้นไห่จึงเน้นธาตุน้ำเป็นหลักผู้ดูแลตรวจสอบเทียบเชิญเล็กน้อยพบว่าไม่มีปัญหาจึงให้ทั้งคู่เข้าไป“เจ้าพูดว่าใต้หอเจิ้นไห่ผนึกอสูรทะเลไว้ตัวหนึ่ง อยู่ที่ใดกันเล่า?”ภายในสายตากู้หว่านเยว่เผยแววประหลาดใจเฟิ่งเจาซีมองนางอย่างขำขัน“นี่เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณเท่านั้น เหตุใดท่านเห็นเป็นเรื่องจริงกันเล่า?”“ในเมื่อมีหอเจิ้นไห่ นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ตำนานไร้เลื่อนลอย”กู้หว่านเยว่ห
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”กู้หว่านเยว่เข้าใจในทันใดมิน่าเล่าเมื่อครู่สองคนนั้นถึงขวัญกล้าลงมือกับเฟิ่งเจาซีอย่างเปิดเผย ที่แท้ก็มั่นใจในเรื่องนี้นี่เองเฟิ่งเจาซีรูปร่างสูงโปร่งหน้าตางดงาม ตอนเข้ามาย่อมดึงดูดสายตาคนไม่น้อยแต่เพราะเมื่อครู่อีกฝ่ายต่อยตีคนอย่างไม่ไว้หน้า บัดนี้พวกบุรุษชมชอบสตรีงามเหล่านั้นทำได้เพียงชื่นชมอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาพูดจาเกี้ยวพาเฟิ่งเจาซีชินชากับสายตาเช่นนี้ตั้งนานแล้ว จูงกู้หว่านเยว่มานั่งบริเวณพื้นที่พักผ่อนนั่งลงไปแล้ว สาวใช้แต่งกายวาบหวามยกถาดผลไม้เข้ามากู้หว่านเยว่เบิกตากว้าง “นี่”เฟิ่งเจาซีกระซิบข้างโสตนางเสียงแผ่วเบา“เดิมทีงานเทศกาลหินหยกก็คือโรงบ่อนแห่งหนึ่ง ในเมื่อเป็นโรงบ่อน ก็ย่อมต้องสร้างบรรยากาศหรูหราฟุ่มเฟือยสักหน่อย ถึงจะสามารถทำให้คนเพลิดเพลินได้”“หรูหราฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่มองสาวใช้สองคนนั้นหลบเข้าไปภายในห้องหนึ่งและทำเรื่องไม่อาจเปิดเผยได้“อย่าดู”เฟิ่งเจาซีใช้มือบังสายตาของนาง“ประเดี๋ยวทำตาท่านสกปรก”กู้หว่านเยว่ประหม่าอยู่บ้าง ดันมือของเฟิ่งเจาซีออก“ข้าไม่ได้ดู”ขณะเดียวกัน จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหล
“แต่งกายชุดสตรีไม่สะดวกเท่าใดนัก อีกทั้งยังกลัวฐานะที่แท้จริงถูกเปิดเผย ดังนั้นข้าจึงปลอมตัวเป็นบุรุษ”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือน เจียงฉือดึงสติกลับมาได้“กู้ คุณชายวางใจได้ ข้ารู้หนักเบา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า สามารถได้พบคนรู้จักในสถานที่ที่ไม่รู้จักได้ นางดีใจอย่างมาก“ใช่แล้ว อาการของอาจารย์จิ่งสิงเป็นเช่นไร?”พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเจียงฉือเผยรอยยิ้ม“ต้องขอบคุณดอกน้ำแข็งนิลของคุณชายกู้ อาการป่วยของท่านอาจารย์หายดีแล้ว”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งหลังซูจิ่งสิงกลับไปแล้วกังวลอาการของอาจารย์เขาอยู่ตลอด แต่สองคนไม่ได้รับจดหมายจากสำนักชิงเฟิง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าสถาณการณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบัดนี้ได้ยินจากปากเจียงฉือ ร่างกายของผู้อาวุโสไม่เป็นไรแล้วหลังนางกลับไปแล้ว ก็สามารถทำให้ซูจิ่งสิงสงบใจลงได้กู้หว่านเยว่เอ่ยว่า “สำนักชิงเฟิงไกลจากหอเจิ้นไห่มาก พวกเจ้ามาที่นี่ทำอันใด?”เจียงฉือเอ่ยตอบ “สำนักชิงเฟิงของพวกเรามีศิลาหยกชิ้นหนึ่ง อยู่ที่หน้าประตูภูเขา ปรากฏว่าถูกคนทำลายไปแล้วครั้งนี้ข้ามาก็เพราะอยากดูว่าภายในงานเทศกาลหินหยกมีหินหยกที่เหมาะสม สามารถนำกลับไปแกะสลักเป็นศิลาหย
คนเหล่านั้นพูดคุยกันแล้วจากไป เจียงฉือส่งยิ้มให้กู้หว่านเยว่อย่างเกรงใจ“ให้ท่านต้องเห็นเรื่องตลกแล้ว”“ไม่เป็นไร ยามออกจากบ้านมักเผชิญหน้ากับหมาบ้าหลายตัว”เดิมทีกู้หว่านเยว่ก็ไม่มีภาพประทับใจต่อคนของสำนักวั่นจงอยู่แล้ว ระหว่างทั้งคู่กำลังสนทนา งานเทศกาลหินหยกก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในเวลาเดียวกันทุกคนต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาผู้จัดงานอย่างหอเจิ้นไห่เองก็ลากรถขนหินหยกออกจากคลังเก็บของคันแล้วคันเล่า“ท่านพี่”เฟิ่งเจาซีเดินเข้ามาจากที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ชั่วขณะสายตาตกลงบนตัวเจียงฉือ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเจียงฉือเองก็ตกตะลึงพรึงเพริด“เหตุใดคนผู้นี้เรียกท่านว่าท่านพี่?”เหงื่อผุดพราวบนใบหน้ากู้หว่านเยว่ กระซิบอธิบายเสียงค่อย“นี่คือข้าบังเอิญพบที่หน้าประตูเมือง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงตามตอแยข้า หนำซ้ำยังเรียกข้าว่าท่านพี่อีกด้วย”เจียงฉืองุนงง แต่พระชายาเป็นสตรีนะ ถึงขั้นมีหนี้ดอกท้อกระนั้น?เขาไม่อาจจินตนาการออกเลยว่าหากท่านอ๋องอยู่ที่นี่และได้เห็นภาพนี้ สีหน้าจะดำมากเพียงใด“ท่านพี่ พวกท่านกำลังซุบซิบอันใดหรือเจ้าคะ?”เฟิ่งเจาซีเบ้ปาก เดินไปหยุดข้างกายกู้หว่า
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น
กู้หว่านเยว่เหลือบมองบัญชี พบว่ากิจการของร้านสาขานี้ดีกว่าร้านหลักมากจริง ๆ ซึ่งเป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นบริหารจัดการได้ดี“ร้านนี้มอบให้เจ้าเป็นคนดูแล ข้าไม่ได้ไว้ใจผิดคน”กู้หว่านเยว่พลิกดูบัญชีไปพลาง พยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปพลาง“รอช่วงปลายปี จะแบ่งปันผลกำไรให้เจ้าอีก”เจียงอวิ๋นจิ่นเบิกตากว้าง“จะรับได้อย่างไร ท่านทำให้ข้ามีงานทำก็ดีมากแล้ว ข้าจะรับเงินจากพระชายาเพิ่มได้อย่างไร?”“รับไปเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางปิดบัญชี“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรจะได้อยู่แล้ว”น้ำเสียงของนางจริงจัง เจียงอวิ๋นจิ่นพอจะรู้จักนิสัยของนางอยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เช่นนั้นอวิ๋นจิ่นขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”หลังจากตรวจดูร้านค้าเสร็จ ทางด้านมู่หรงฉางเล่อก็วิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน“ดูเหมือนเจ้าจะได้อะไรดี ๆ มาเยอะนะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนมู่หรงฉางเล่อก็ไม่ได้เขินอาย นางโบกพัดที่อยู่ในมือไปมา“พี่สะใภ้ท่านดูสิ นี่คืออะไร?คุณชายอวิ๋นทำให้ข้าไม่พอใจ จึงชดเชยด้วยการมอบพัดเล่มนี้ให้กับข้าและยังรับปากข้าว่า มะรืนนี้จะไปล่องเรือที่ทะเลสาบกับข้า”เด็กคนนี้นี่ ถ้
“คุณชายอวิ๋นไม่มีใจให้นาง นางคงจะคิดไม่ตก จึงเกิดความคิดที่จะออกบวชเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนก้มหน้าลง แท้จริงแล้ว นางก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบอวิ๋นมู่ แต่นางและหลี่ชิวเตี๋ยนั้นแตกต่างกัน นางรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะใดนางและคุณชายอวิ๋นไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นในใจจึงไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันใด ๆ “เจ้าหมายความว่าหลี่ชิวเตี๋ยอยากจะออกบวชอย่างนั้นหรือ?”กู้หว่านเยว่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่สกุลหลี่จะรีบร้อนหาคู่ให้หลี่ชิวเตี๋ยขนาดนั้นพวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว หากออกบวชจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร “คุณหนูหลี่เคยผิดหวังในความรักกับทังต๋ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคงยึดติดกับความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้”ชิงเหลียนถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยคกู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร บางอย่าง ต่อให้พบเจออุปสรรคมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูหลี่ติดธุระสองสามวันนี้ พวกเราก็ไม่ต้องรอที่นี่แล้ว บัญชีก็ดูเสร็จแล้ว เราไปที่ร้านอื่นกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงร้านสาขา เจียงอวิ๋นจิ่นกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานภายในร้านอย่างสนุกสนาน“พระ
“ตกลง ข้าจะมาเอาวันหลัง”อวิ๋นมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แบบนี้ เขาก็จะมีโอกาสได้พบกับกู้หว่านเยว่อีกครั้ง“ข้ายังต้องไปที่ร้านดอกท้อ ขอตัวก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่ดึงมู่หรงฉางเล่อออกไป ขณะที่กำลังจะออกจากประตู สายตาของมู่หรงฉางเล่อยังคงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นมู่“พี่สะใภ้ คนนี้ใครหรือ?”“อวิ๋นมู่ คุณชายน้อยของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นต้าฉี”กู้หว่านเยว่อธิบายพลางเหลือบมองมู่หรงฉางเล่อที่หน้าแดงก่ำ ก็เข้าใจในทันที“นี่เจ้าชอบเขาแล้วหรือ?”“ใช่แล้ว”มู่หรงฉางเล่อยอมรับอย่างเปิดเผย พลางดึงมือของกู้หว่านเยว่พร้อมกับลองหยั่งเชิง“คุณชายอวิ๋นผู้นี้ อายุเท่าไรแล้ว ในเรือนมีภรรยาหรืออนุภรรยาหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของนาง ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกชอบใจในนิสัยพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนาง“ยี่สิบกว่า ยังไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา”ดวงตาของมู่หรงฉางเล่อเป็นประกายมากขึ้น “ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยาก็ดีแล้ว”เมื่อเห็นว่าอวิ๋นมู่ยังคงเลือกผ้าอยู่ในร้าน มู่หรงฉางเล่อก็เขย่าแขนของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้ายังต้องซื้อผ้าอีกชุดให้ยายโจว
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน