“โอ๊ย!” ชายที่ลอบโจมตีร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงกับพื้นกู้หว่านเยว่มองไปที่เยียนอวิ๋นชูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้อาวุธลับและเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของอาวุธลับนี้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นรองธนูในมิติของนางดูเหมือนว่าเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนพิการที่ไร้ประโยชน์เช่นกันชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นสหายถูกฆ่าตายหมด ก็โกรธจนกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขารู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ก่อนจะตะโกนลั่นด้วยสายตาที่ชั่วร้าย“พวกเจ้าสองคนสมควรตาย มาทำลายแผนการของเจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”หลังจากพูดจบ หน้าอกของเขาก็ถูกลูกศรของซูจิ่งสิงเจาะทะลุ หลังจากกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก็ขาดใจตายในทันใดมองดูร่างของชายผู้นั้น กู้หว่านเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจัดนี่มันอะไรกัน? ก่อนตายยังไม่หยุด ยังโยนความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีก!“เจิ้นเป่ยอ๋อง?”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปตามคาดได้ยินมาว่าที่ครั้งนี้พี่ใหญ่ได้รับเชิญให้ไปทูเจวี๋ย ก็เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพเหยลวี่เจิ้งแห่งทูเจวี๋ยในการสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องเพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด พี่ใหญ่ถึงไม่ตอบตกลง
จากระดับความรักที่พี่ชายมีต่อเขา ต้องตามราวีซูจิ่งสิงอย่างไม่เลิกราแน่นอนลองคิดดูอีกที ช่วงนี้ใครอีกที่ต้องการยืมมือของพี่ชายเพื่อฆ่าซูจิ่งสิง“เหยลวี่เจิง”ดวงตาของเยียนอวิ๋นชูขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาต้องการฆ่าข้า จากนั้นค่อยยืมมือพี่ชายของข้าฆ่าซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เยียนสือซานรับปากเหยลวี่เจิงว่าจะไปฆ่าซูจิ่งสิงตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?หรือว่าเขาจะยังไม่ตอบตกลง!เหยลวี่เจิงจึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วางแผนที่จะใช้เยียนอวิ๋นชูมายั่วยุความโกรธแค้นระหว่างเขากับซูจิ่งสิง?อย่างนี้เยียนอวิ๋นชูจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยและเยียนสือซานก็ไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาในขณะนี้“รีบนำปากกาและพู่กันมาให้ข้า ข้าต้องเรียบเรียงจดหมายส่งให้พี่ใหญ่ ไม่ให้เขาตกหลุมพรางของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูรีบขอกระดาษและพู่กันจากองครักษ์ กู้หว่านเยว่ถามด้วยความใคร่รู้“พี่ใหญ่ของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่ แม้ว่าสายตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วในใจของเขามีความเชื่อถือต่อกู้หว่านเยว่ตั้งนานแล้ว“ไม่ใช่ พี่ใหญ่อยู่ในเมืองอูถ่าน”
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เสี่ยวถ่านรีบพยักหน้า ตลอดทางมานี้นางฝ่าฟันอันตรายทั้งหมดมา เบื้องหน้าก็คือเมืองอูถ่าน นางใกล้จะได้พบหน้าเสด็จพ่อแล้วนางรู้บัดนี้มิใช่เวลาทำตัวน่ารำคาญ ดังนั้นจึงรีบเช็ดน้ำตา“รีบเข้าไปเถอะ หลังฟ้ามืด ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว”คนเหล่านั้นมาถึงเมืองอูถ่าน อีกครึ่งชั่วยาม ประตูเมืองก็จะปิดลงพวกเขาจะต้องเข้าเมืองอูถ่านก่อนประตูปิด หาไม่แล้วก็ทำได้เพียงนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ภายนอก“ไป”กู้หว่านเยว่รีบพาคนเหล่านั้นไปเข้าแถวเสี่ยวถ่านเข้าออกเมืองอูถ่านหลายครั้ง รู้ว่าต้องประจบเอาใจทหารรักษาการณ์เยี่ยงไรเพียงสามคำสองประโยค ก็พาพวกเขาลอบเข้าเมืองอูถ่านได้หลังเข้าเมืองอูถ่านแล้ว กู้หว่านเยว่กลับไปนั่งรถม้าอีกครั้ง มองบ้านเรือนสองข้างทางบ้านเรือนเหล่านี้พื้นฐานล้วนคือบ้านหินเตี้ยๆ สายตาทอดมองไป สองข้างทางมีร้านรวงไม่น้อย กำลังวางขายของเมืองอูถ่านเทียบกับคูเมืองอื่นของทูเจวี๋ย ล้วนเงียบสงบ เจริญรุ่งเรืองมองไปแล้วเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉี นอกจากการก่อสร้าง กลับไม่มีอันใดแตกต่างสองสามคนเข้าเมืองอูถ่านได้ไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งก็ขวางรถม้าไว้“คุณชาย”เสียงคุ้นหูพลันดังขึ้นจากภ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก