ซูจิ้งเองก็ยืนถือน้ำแกงอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง “จื่อชิงพูดถูกต้อง ยังหาลูกไม่พบ เจ้าจะทำให้ร่างกายตนเองแย่ลงไม่ได้”เขาบิดาคนนี้ไฉนเลยจะไม่กังวล ใต้ตาดำคล้ำเป็นปื้น“ข้ากินไม่ลงแล้ว” นางหยางส่ายหน้าซูจื่อชิงยังอยากเกลี้ยกล่อมต่อ หางตามองเห็นเงาคนเดินผ่านเข้าประตูมาจากภายนอก ดวงตาเปล่งประกาย“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาแล้ว!”เขารีบวางชามลง “ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านกลับมาเสียที”“ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าท่านอิดโรยถึงเพียงนี้?”เพียงกู้หว่านเยว่เข้ามา ก็ได้เห็นสีหน้าอิดโรยจนน่ากลัวของนางหยาง รีบจับชีพจรนาง“ท่านนี่คือขาดสารอาหาร”หางตามองเห็นอาหารที่ยังไม่ถูกแตะในมือของซูจื่อชิง ก็รู้ว่าสองวันนี้นางหยางจะต้องกังวลจนกินอะไรไม่ลงแน่“หว่านเยว่ ข้าเป็นห่วงจิ่นเอ๋อร์!” นางหยางจับมือนางน้ำตารินไหล กู้หว่านเยว่รีบปลอบ“ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลย พวกเรากลับมาแล้ว”“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูจิ่งสิงถามเสียงเครียดซูจื่อชิงรีบอธิบาย “พี่ใหญ่ อิงตามที่ข้ารู้ น้องหญิงน่าจะไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไปหลังนางจากไปแล้ว ข้าส่งคนไปตรวจสอบหนึ่งรอบ พบว่าก่อนนางจากไปยังตั้งใจซื้อรถม้าสองคัน ยิ่ง
ซูจื่อชิงสบถด่าเสียงเบาหนึ่งประโยค ซูจิ่นเอ๋อร์วู่วามเกินไปแล้ว“ดูท่าแล้วน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีประโยชน์ต่ออาการป่วยของฟู่หลานเหิง”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด เดิมทีนางคิดว่าน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์สามารถบรรเทาอาการป่วยของฟู่หลานเหิงได้ ดูท่าแล้วนางคิดผิดไปอิงตามข้อสันนิษฐานนี้ จะต้องเป็นเพราะอาการป่วยของฟู่หลานเหิงกำเริบหนักขึ้น ซูจิ่นเอ๋อร์ถึงพาเขาไปตามหายา“จากนี้ไปจะทำเช่นไร?”นางหยางร้อนใจน้ำตาไหล “จิ่นเอ๋อร์แม่นางในห้องหอคนหนึ่ง ทำอะไรก็ไม่เป็นนางหนีไปทูเจวี๋ย หากถูกคนทูเจวี๋ยพบเข้า คนทูเจวี๋ยดุร้ายถึงเพียงนั้น ฆ่านางตายจะทำเช่นไร”“ฮูหยิน เจ้าอย่ากังวล”ซูจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน “ข้าจะขี่ม้าไปขวางพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้เลย พวกเขาจากไปได้ไม่นาน ข้าออกเดินทางตอนนี้จะต้องตามทันแน่”พูดไปก็คิดจะเดินออกไปภายนอก กลับถูกซูจิ่งสิงขวางไว้แล้ว“ท่านพ่อ ท่านอย่าไป ข้าไปเอง!”“ข้าเองก็จะไปกับท่าน”กู้หว่านเยว่จับมือซูจิ่งสิง ส่งสายตาให้เขาวางใจ“หว่านเยว่ พวกเจ้า...” นางหยางรู้สึกผิดภายในใจ จิ่นเอ๋อร์ทำบาป กลับต้องให้ทั้งสองคนชดใช้“พี่ใหญ่ ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย” ซูจื่อชิงรีบพูด เขาไม
“จำได้แน่นอน” กู้หว่านเยว่ลูบกระเป๋า เดาะลิ้น ภายในมิตินางมีป้ายอาญาสิทธิ์หลายอันเชียวล่ะ“อันที่จริงทูเจวี๋ยก็มีคนของสกุลอวิ๋นเราอยู่ หากท่านไปถึงทูเจวี๋ยแล้วเผชิญหน้ากับอันตราย สามารถไปหลบภัยที่ร้านของสกุลอวิ๋นได้” อวิ๋นมู่บอกนางอย่างไม่ปกปิด“ได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ยังไม่รู้ว่าภายภาคหน้าร้านสกุลอวิ๋นจะช่วยนางได้มากทีเดียวหลังบอกลาอวิ๋นมู่แล้ว บ่ายวันนั้น ขบวนคนก็เดินทางออกจากเมืองอวี้ มุ่งหน้าสู่ชายแดน“ไปชายแดนครั้งนี้ต้องใช้เวลานับสิบวันถึงครึ่งเดือน ระหว่างทางพวกเราจะต้องตั้งสติให้ดี”เกาเจี้ยนทำหน้าที่นำทาง เขามิได้สนใจซวนลู่ในรถม้ามากนัก คล้ายปล่อยวางจากนางได้แล้ว“บาดแผลท่านไม่เป็นไรแล้วกระมัง?” ลั่วยางเข้าไปหยุดข้างกายเกาเจี้ยน เอ่ยถามอย่างกังวลอย่างไรเสียก็ขี่ม้า นางกังวลบาดแผลของเกาเจี้ยนจะปริออก“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?” ซูจิ่งสิงมองทางเก้าเจี้ยน บาดแผลที่อกของอีกฝ่ายน่าจะหายดีตั้งนานแล้ว“ตอนไปเก็บยาไม่ทันระวังลื่นล้มลงไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เกาเจี้ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจทำเสียจนลั่วยางบ่นงึมงำ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกันเล่า? ผาสูงถึงเพียงนั้นท่านก็กล้าขึ้นไป กลั
ลั่วยางเก็บวัชพืชกับพวกกิ่งไม้แห้งกลับมา แล้วก่อไฟขึ้นซูจิ่งสิงกับเกาเจี้ยนก็ล่าสัตว์กลับมาจากในป่าแล้วเช่นกัน ในมือทั้งสองมีไก่ป่ากับกระต่ายที่ถอนขนเสร็จแล้วคนละสองตัวกู้หว่านเยว่ไปหาผักป่ามาจากบริเวณโดยรอบเล็กน้อย ใช้ข้าวสารบนรถม้ามาหุงเป็นข้าวผักป่า แล้วนำไก่ป่ากระต่ายป่ามาย่างไฟหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนทั้งกลุ่มอิ่มหนำสำราญเนื่องจากทุกคนเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำมาหลายวัน กู้หว่านเยว่งจึงมีข้อเสนอ คืนนี้พักผ่อนกันในกระโจมหนึ่งคืน ให้คนและม้าได้พักผ่อน รอพรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยเดินทางกันต่อ“ก็ดี ข้าดูแผ่นที่ไปรอบหนึ่ง พวกเราเดินทางไปหนึ่งในสามแล้ว อีกสิบกว่าวันก็น่าจะถึงชายแดนแล้ว”เกาเจี้ยนเก็บแผนที่กลับมา เจดีย์หนิงกู่ห่างจากชายแดนอย่างน้อยหนึ่งพันห้าร้อยกว่าลี้ หรืออีกอย่างคือยังเหลืออีกหนึ่งพันลี้ หนทางยังอีกยาวไกล“พี่หว่านเยว่ ข้าขอไปพักผ่อนก่อนนะ”ลั่วยางหาววอด เร่งเดินทางมาหลายวันทำให้นางเหนื่อยล้า พอมืดค่ำก็อยากรีบมุดเข้ากระโจมไปพักผ่อนเกาเจี้ยนเจ้าคนแล้งน้ำใจ เสียงกรนดังไปทั่วทั้งค่ายนานแล้ว“ท่านพี่ ท่านยังเป็นห่วงจิ่นเอ๋อร์หรือ?”ซูจิ่งสิงมองดูดวงดาวที่พร่า
ต่อมาปลายกระบี่กระดก งูถูกโยนออกไป“ไม่เป็นไรแล้ว” เกาเจี้ยนปลอบ ซวนลู่รีบดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ทันที “เกาเจี้ยน ข้า ข้ากลัว...”ไม่ง่ายกว่านางจะเผยแววตาอ่อนแอ หากเป็นก่อนหน้านี้ เกาเจี้ยนไม่รู้จะสงสารมากขนาดไหนแต่ยามนี้ เขากลับหันมองลั่วยาง หางตาเหลือบเห็นลั่วยางทำเสียง เชอะ ก่อนเดินจากไป เขาจึงปลอบใจอย่างขอไปที“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีงูแล้ว”จากนั้นก้าวขาออกไปตามลั่วยางอย่างลืมตัว“เกาเจี้ยน!”ซวนลู่ไม่อยากจะเชื่อ นางไม่เข้าใจ เกาเจี้ยนที่เคยดูแลนางอย่างระมัดระวัง จะปล่อยนางไปแล้วไปตามหญิงอื่น“ปิดหน้าต่างรถม้าให้ดี ก็จะไม่มีงูเข้ามาแล้ว”กู้หว่านเยว่พูดอย่างมีนัยซวนลู่ไม่ใช่คุณหนูที่เก็บตัวอยู่แต่ในเหย้าในเรือน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพร มักมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอปรากฏตัว ยังโง่จนเปิดหน้าต่างไว้ระบายอากาศหรือจงใจนะสิ!“คนเราเนี่ยนะ เมื่อก่อนกินของในถ้วยแต่อยากได้ของในหม้อในเมื่อทิ้งถ้วยไปแล้ว ยังไม่อนุญาตให้คนที่ชื่นชมถ้วยใบนั้นปรากฏตัว จำเป็นด้วยหรือ?”คำพูดราบเรียบของกู้หว่านเยว่ เหน็บแนมจนซวนลู่โมโหจนหน้าแดงไปถึงใบหูยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด ก
จากนั้นหลายวัน ทุกคนยังคงเร่งเดินทางอย่างตึงเครียดขณะเดียวกัน กู้หว่านเยว่ได้เปิดการค้นหาของระบบแล้ว เพื่อตามหาเบาะแสของซูจิ่นเอ๋อร์โดยรอบน่าเสียดาย สองสามีภรรยาต้องผิดหวัง จนกระทั่งพวกเขาไปถึงชายแดน ก็ยังหาซูจิ่นเอ๋อร์กับฟู่หลานเหิงไม่พบ“ไม่น่าเป็นอย่างนี้”คราวนี้ไม่เพียงซูจิ่งสิงกับกู้หว่านเยว่ แม้แต่เกาเจี้ยนยังรู้สึกถึงความผิดปกติ“น้องจิ่นเอ๋อร์ไม่เคยออกจากเจดีย์หนิงกู่มาก่อน และไม่เคยไปชายแดนอีกอย่างนางยังพาใต้เท้าฟู่ไปด้วย เป็นเพียงหญิงสาว ต่อให้เร่งเดินทางอย่างไร ก็ไม่น่าจะเร็วเท่าพวกเราว่ากันตามหลัก พวกเราน่าจะตามพวกเขาทันนานแล้ว ทำไมจนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา?”กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ขณะนี้ ทั้งสองคนมั่นใจมากว่าเบื้องหลังซูจิ่นเอ๋อร์ต้องมีคนยุยงแน่นอน ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายนำทางซูจิ่นเอ๋อร์ไป“ไปที่ด่านซานไห่ก่อนเถอะ”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามาถึงชายแดนแล้ว หากมีคนคอยยุยงซูจิ่นเอ๋อร์จริง อย่างนั้นคนคนนั้นต้องให้คนส่งจดหมายมาถึงพวกเขาแน่“ดี ท่านพ่อเห็นเจ้าต้องดีใจแน่”พวกเขามาถึงนอกเมืองด่านซานไห่ ขณะนี้ประตูเมืองเ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่ทัพผู้เฒ่า”ซูจิ่งสิงส่ายหน้า ก่อนเขาจะจากชายแดนกลับไปรับคำสั่งที่เมืองหลวง ได้สั่งการพวกแม่ทัพเกาเอาไว้ไม่ว่าในเมืองหลวงจะเกิดเรื่องใดขึ้น ห้ามพวกเขากระทำการบุ่มบ่ามเด็ดขาด ทางที่ดีให้รักษาตัวรอดที่ด่านซานไห่“ตอนนี้ข้าเองก็ปลอดภัยดี อีกอย่าง น้ำใจของแม่ทัพผู้เฒ่าข้าเข้าใจดี”แม่ทัพผู้เฒ่าเกาพยักหน้า สายตาหันไปมองกู้หว่านเยว่“ท่านนี้คงเป็นพระชายาสินะ”“คารวะแม่ทัพผู้เฒ่าเกา” กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างสง่างาม ทำให้แม่ทัพผู้เฒ่าเกาพยักหน้า “พระชายาไม่ใช่หญิงสาวทั่วไป ใจกว้างเปิดเผย!”เกาเจี้ยนที่อยู่ข้างกันประหลาดใจ ต้องรู้ว่าปากของพ่อเขานั้น อยู่ในค่ายมีชื่อด้านปากเสียยิ่งนัก คำพูดสิบประโยคมีสิบเอ็ดประโยคไม่น่าฟังยามนี้เขาเพิ่งเห็นกู้หว่านเยว่เป็นครั้งแรก ก็ประเมินค่าสูงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเกาชอบกู้หว่านเยว่จริง ๆทว่า ลองคิดดูก็เป็นเรื่องปกติพระชายาเก่งกล้าสามารถ แม้แต่เขายังยอมแพ้บนโลกนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบพระชายา“ท่านพ่อ พวกเราเร่งเดินทางมาตลอดทาง ไม่ได้หยุดพักระหว่างทางเลยอย่ามัวแต่ยืนคุยกันข้างนอก ให้ท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปพักผ่อ
ทำให้ซวนลู่ดีใจ “พูดเช่นนี้เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือ?”“ก็เปล่านะ”เกาเจี้ยนส่ายหน้า ตลอดทาง ซวนลู่หยั่งเชิงเขาทั้งทางอ้อมและทางตรงหลายครั้ง“อีกเดี๋ยว ข้าจะส่งเจ้ากลับไปสกุลซวน แล้วคุยกับท่านลุงซวนให้ชัดเจน ให้ท่านถอนหมั้นพวกเราสองคนซะ”เกาเจี้ยนพูดจบ สีหน้าเผยความสบายใจออกมาความจริงตั้งแต่ตอนอยู่เจดีย์หนิงกู่ เขาก็คิดเอาไว้แล้วเขากับซวนลู่ไม่เหมาะสมกัน ในเมื่อซวนลู่ไม่ชอบเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องบังคับใคร“เจ้าจะถอนหมั้นกับข้าหรือ?”ซวนลู่ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางอยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทำไมยามนี้เมื่อกลายเป็นจริงแล้ว ในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีสิ่งของที่เป็นของนาง กำลังค่อย ๆ จากไป“เจ้าพูดจริงหรือ?”เนื่องจากไม่กล้าเชื่อ ซวนลู่จึงย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่สิ่งที่ได้คือคำตอบที่มั่นใจของเกาเจี้ยน“ใช่”“เพราะอะไร?” ซวนลู่กำหมัดแน่น “เจ้ารังเกียจข้า เจ้ารู้ว่าข้าเสียตัวแล้ว ดังนั้นจึงถอนหมั้นหรือ!”เกาเจี้ยนรู้สึกว่าเหลวไหล“อาลู่ เป็นเพราะเจ้าไม่เคยรักข้าเลย”“เข้าเปล่านะ ข้า” “ตอนนี้เจ้าไม่อยากถอนหมั้น เป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่า คนที่เมื่อก่อนเคยเดินตามหล
แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ
บนถนนเมืองอูถ่าน เหยลวี่เจิงดึงสีหน้าเข้มงวด นำกำลังคนไล่บุกค้นบ้านเรือนทีละหลัง หาอยู่นานมากแล้วแต่ยังไม่เจอตัวคน ทำให้สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างยิ่ง มืดครึ้มดำคล้ำจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำ ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมความกล้าเข้ามาเตือนสติ “ท่านแม่ทัพ เป็นไปได้ว่าพวกเขาหนีไปได้แล้วขอรับ” เขาไม่กล้ายอมรับว่าใช่ พวกซูจิ่งสิงมีวิหคยักษ์ หากว่าวิหคตัวนั้นพาพวกเขาบินหนีออกจากเมืองอูถ่านไปแล้ว ที่พวกเขามั่วค้นหาเหมือนแมลงวันไม่มีหัวอยู่แบบนี้ มิใช่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ? “หุบปาก!” เหยลวี่เจิงตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกมันไม่มีทางหนีไปได้เด็ดขาด” อีกอย่าง ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในมือของเขา ตราบใดที่ซูจิ่งสิงไม่อยากให้น้องสาวตาย มันไม่มีทางหนีไปเด็ดขาด แน่นอนว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เหยลวี่เจิงไม่อยากยอมรับว่าซูจิ่งสิงจะหนีไปแล้ว เขาวางแผนเพื่อวันนี้มายาวนาน จะไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด “ค้นหาต่อ!” เหยลวี่เจิงคำรามเสียงดัง ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ มิใช่ว่าเขาจะเชิดชูความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของผู้อื่นและทำลายฮึกเหิมน่าเกรงขามของตนเอง แ
“ข้าจะบอกเจ้าไว้หนึ่งประโยค หากคิดจะใกล้ชิดกับคนที่เจ้าชมชอบมากขึ้นกว่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะสามารถไปยืนอยู่เคียงข้างนาง ต่อให้จะเป็นฐานะของสหายคนหนึ่งก็ตาม” เยียนสือซานเติมพลังใจให้เขา เพียงหนึ่งประโยคนั้นสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจของเยียนอวิ๋นชู ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่เคยคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต “พี่ใหญ่ท่านพูดถูกต้อง ข้าจะต้องขยันตั้งใจ ฟื้นฟูขาคู่นี้ให้กลับมาใช้งานได้ในเร็ววันแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เข็นตัวนี้ให้ได้” “เช่นนี้สิถึงจะเป็นน้องชายของข้า เอาแต่โศกเศร้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” เยียนสือซานหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่เยียนอวิ๋นชูหนัก ๆ ไปหนึ่งที ความพยายามต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเยียนอวิ๋นชู กู้หว่านเยว่ไม่มีทางรับรู้ ถึงอย่างไรกู้หว่านเยว่ก็มองเขาเป็นสหายที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันนั้นเอง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงบัดนี้ขี่จูเชวี่ยบินไปยังกลางเมืองอูถ่านแล้ว ความเร็วของจูเชวี่ยว่องไวยิ่งนัก ไม่นานสองคนก็มาถึงเจดีย์เก้าชั้นแล้ว เจดี
เหยลวี่เจิงหลอกเขามาที่ทูเจวี๋ย จากนั้นก็ใช้อำนาจข่มขู่คุกคามเขา เล่นงานน้องชายของเขา แล้วเล่นงานเขาอีก คิดหรือว่าคนอย่างเยียนสือซานจะเป็นก้อนแป้งนุ่ม ๆ ที่คิดจะบีบอย่างไร ก็บีบได้? ถึงเยียนสือซานจะดูเป็นคนไม่เอาไหนอะไร แต่ความเป็นจริงเขาสามารถไปถึงตำแหน่งมือสังหารอันดับหนึ่งบนทะเบียนฟ้าได้ ด้วยประโยชน์จากความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญที่จะก้าวรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวอุปสรรค และความเด็ดเดี่ยวรอบคอบของเขา “เจ้าคนระยำนั่น ข้าจะต้องล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้จงได้” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้าสบสายตากัน อย่าว่าแต่เยียนสือซานต้องการล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้ได้เลย พวกเขาสองคนเองก็ไม่มีวันปล่อยเหยลวี่เจิงไปเช่นกัน “พี่ใหญ่เยียน บัดนี้บาดแผลท่านยังสาหัสน่าเป็นห่วงนัก ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนในรถม้าสักพักก่อนเห็นจะดีกว่า รอบรถม้ามีองครักษ์จันทราของข้าดูแล พวกเขาจะปกป้องท่าน ส่วนเรื่องล้างแค้น ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพี่ของข้าเถิด” กู้หว่านเยว่เสนอความเห็นให้อีกฝ่ายก่อน มุมปากประดับรอยยิ้มบาง ๆ ทุกคนต่างคิดว่า นางจะขี่วิหคจูเชวี่ยหลบหนีไปก็เท่านั้น? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! คนที่จะ
ระหว่างที่พูดคุยกัน จูเชวี่ยบินเข้าใกล้ป่าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานจากนั้นก็ร่อนลงสู่ป่าเรียบร้อย คนบนนั้นกระโดดลงจากหลังวิหคทันใด “โฮก!” จูเชวี่ยมองเยียนสือซานด้วยความโกรธเกรี้ยว เจ้าตัวยักษ์นี่ คนเดียวตัวหนักเท่าสามคน มันแทบจะหมดแรงตายอยู่แล้ว “สหายตัวน้อย ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” ต่อหน้าสองคน กู้หว่านเยว่เองก็ไม่สะดวก ที่จะเก็บจูเชวี่ยเข้ามิติโดยตรง ทำได้เพียงบอกให้มันไปพักผ่อนอยู่ที่ตรงนั้นก่อนสักระยะเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ระยะนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่านับวันจูเชวี่ยยิ่งนิสัยคล้ายมนุษย์ เพียงมองสายตาของจูเชวี่ย นางก็รู้ทันทีว่ามันกำลังคิดอะไร หากว่าสักวันหนึ่งพลันมีเสียงของจูเชวี่ยดังขึ้นในหัว นางก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว “โฮกโฮก” จูเชวี่ยเข้าใจคำพูดของกู้หว่านเยว่ มันถูไถตัวของมันเองเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะฟุบลงพักผ่อน กลุ่มคนเหล่านั้นรอเพียงไม่นานนัก ชิงเหลียนก็เคลื่อนรถม้ามาถึงแล้ว “ฮูหยินนายท่าน พวกท่านปลอดภัยดีนะเจ้าคะ?” “พี่รองกู้ พวกท่านปลอดภัยดีนะขอรับ?” ชิงเหลียนและเสี่ยวถ่านกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกัน และเดินไปหาคนเหล่านั้
คำสัญญาของชายหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและอุตสาหะ เรียบง่ายจริงใจไม่ปรุงแต่ง ทรงพลังยิ่งนัก กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะออกมา พลางลูบจมูก จะอะไรก็ดี เพียงแต่คำเรียกน้องกู้คำนี้ ทำให้นางไม่กล้ารู้สึกหมดคำพูดจริง ๆ “พี่ใหญ่เยียนอย่าได้เกรงใจเลย ข้ากับอวิ๋นชูพบกันโดยบังเอิญ นับว่ามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก ข้าช่วยชีวิตเขาไว้ ก็มิได้หวังจะได้สิ่งใดตอบแทน” และที่กู้หว่านเยว่ช่วยชีวิตเยียนอวิ๋นชูจากเงื้อมมือของมือสังหารของเหยลวี่เจิง ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน นางไม่อยากให้แผนชั่วของเหยลวี่เจิงลุล่วงสำเร็จ มอบโอสถถอนพิษให้เยียนอวิ๋นชูไปในตอนแรก ก็เป็นเจตนาเดิมของนางมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรทั้งสิ้น “ดี น้องกู้ช่างเป็นคนจริงใจเปิดเผยยิ่งนัก” เยียนสือซานมิได้พยายามรบเร้าจะตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อจดจำบุญคุณส่วนนี้ไว้ในใจแล้ว วันข้างหน้าหากกู้หว่านเยว่มีคำสั่งให้พวกเขาทำอะไร เขาเยียนสือซานจะไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น “พี่ใหญ่เยียน บาดแผลที่หัวไหล่ของท่านข้าว่าสาหัสยิ่งนัก ที่แห่งนี้แม้ไร้ที่ทางให้ทำแผล ทว่าข้ากลับพกยาลูกกลอนห้ามเลือดติดตัวไว้ ท่านกินยาลูกกลอนนี้
สายตาเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงพรึงเพริด เยียนสือซานเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน“นี่ นี่นกอะไร?”“นี่คือสัตว์เลี้ยงของข้า จูเชวี่ย”สายตากู้หว่านเยว่ตกลงบนตัวเยียนสือซาน เผยสีหน้าแปลกใจอย่างสุดระงับ “ท่านก็คือมือสังหารอันดับหนึ่งบนทำเนียบฟ้าของหอมือสังหาร เยียนสือซานหรือ?”“ข้าน้อยคือเยียนสือซานจริง แต่ มิใช่อันดับหนึ่งบนทำเนียบฟ้าอะไร”เสียงเยียนสือซานดังก้อง ประกบมืออย่างเกรงใจกู้หว่านเยว่เห็นแขนขาใหญ่โตของเขา ท่าทางเรียบง่าย รู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อแรกยามได้ยินซูจิ่งสิงอธิบาย นางยังคิดว่ามือสังหารอันดับหนึ่งบนทำเนียบฟ้าเยียนสือซานเป็นชายลึกลับคนหนึ่ง คิดไม่ถึง ถึงขั้นเป็นชายร่างใหญ่เคราครึ้มเช่นนี้ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย ช่างเป็นการกลับตาลปัตรที่น่ารักยิ่งนัก!“พี่ใหญ่” เยียนอวิ๋นชูตะโกนอย่างห่วงใย “อาการบาดเจ็บของท่านไม่เป็นไรกระมัง?”“ข้าไม่เป็นไร”เยียนสือซานโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”นึกถึงยามเขาออกไปทำภารกิจ บนแขนเคยถูกฟันจนเกือบเห็นกระดูก แม้แผลถูกยิงนี้ลึก เยียนสือซานกลับไม่ใส่ใจ“แผลลึกถึงเพียงนี้ เลือดไหลอีกด้วย ท่านยังพูดว่
เห็นว่าทุกคนล้วนขึ้นหลังนกแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงตบหลังศีรษะจูเชวี่ย “รีบไป!”“แควก!”จูเชวี่ยแหงนหน้าขึ้นร้องเสียงดังกังวาน ปีกใหญ่สองข้างกระพือ พากู้หว่านเยว่ออกจากเจดีย์เก้าชั้นอย่างโอหังยอดเจดีย์เก้าชั้นเกือบพังลงครึ่งหนึ่ง เพราะแรงกระแทกของมัน“ช่วยด้วย หนี รีบหนีเร็วเข้า เจดีย์จะถล่มแล้ว!”ทหารทูเจวี๋ยร้องตะโกนอย่างชุลมุนวุ่นวาย ต่างพากันวิ่งลงเจดีย์ กลัวช้าไปอีกเพียงหนึ่งก้าว จะถูกหินบนยอดเจดีย์ตกลงมาทับจนเละ“ห้ามหนี!”เหยลวี่เจิงโมโหหน้าแดงก่ำ ดวงตาอำมหิตสองข้างถลึงมองพวกซูจิ่งสิงเล่นบ้าอะไรกัน นกมาจากที่ใด นี่เรื่องบ้าอะไรกัน! นกช่วยพวกเขา?“หยิบธนูขึ้นมา ยิงพวกเขาให้ตก!”เขาจับซูจิ่งสิงไว้ได้อย่างยากลำบาก ไฉนเลยจะปล่อยให้เขาหนีไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ เรื่องนี้เล่าลือออกไป หน้าตาของเขาจะเอาไปวางไว้ที่ใด?เขาในฐานะแม่ทัพมีพรสวรรค์แห่งยุค ก่อนได้พบซูจิ่งสิงไม่เคยรบแพ้มาก่อนหลังได้พบซูจิ่งสิง ทั้งหน้าตาศักดิ์ศรีล้วนหมดไปในสนามรบแล้วเขาใส่ใจวางแผนมากมายถึงเพียงนี้ ก็เพื่อฆ่าซูจิ่งสิงล้างอาย“ท่านแม่ทัพ เจดีย์ถูกทำลายอย่างหนัก เป็นไปได้มากว่าจะถล่ม พวกเรารีบออกไปจากที
“วางใจเถอะ ข้าไม่มีวันเป็นอะไร”กู้หว่านเยว่เอ่ยปลอบหนึ่งประโยค ขณะเดียวกันการต่อสู้ระหว่างซูจิ่งสิงและทหารทูเจวี๋ยกำลังเข้าสู้ช่วงเวลาดุเดือดแม้ว่าสองคนวิชายุทธ์สูงมาก แต่ทหารทูเจวี๋ยเข้ามามากเกินไป ทั้งคู่เองก็สู้ไม่ไหวเยียนสือซานร้องตะโกนใส่ซูจิ่งสิงอีกครั้ง“สหาย ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร บัดนี้ข้าจะเปิดทางให้เจ้า เจ้ารีบหนีออกไป”ถ่วงเวลาทหารทูเจวี๋ยเหล่านี้ได้ ก็นับว่าได้ตอบแทนบุญคุณซูจิ่งสิงที่ช่วยเขาออกมาจากใต้อาณัติของเหยลวี่เจิงได้แล้ว“ฮ่าๆ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องรีบ ไม่ว่าเจ้าหรือซูจิ่งสิง ใครก็หนีเงื้อมมือของข้าไม่พ้น พวกเจ้าสองคนยอมรับความตายที่เจดีย์แห่งนี้ดีๆ เถอะ”เหยลวี่เจิงหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น เยียนสือซานเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของทำเนียบฟ้า เขาไม่อยากเป็นศัตรูกับเยียนสือซานครั้งนี้เชิญเขามา ก็เพื่อให้เขาช่วยตนฆ่าซูจิ่งสิงใครรู้เขากลับไม่รู้ดีชั่ว ไม่ยอมทำงานให้เขา ย่อมต้องฆ่าให้ตายถึงจะดี“เยียนสือซาน ไม่ต้องกังวล น้องสายเจ้าเองก็อยู่ใต้แม่น้ำเหลือง เจ้าใกล้จะได้ไปพบเขาแล้ว”เหยลวี่เจิงมีความสุขในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ขณะเดียวกันเสียงหัวเราะเสนาะใสสายหนึ่งพลันดังข