เห็นว่ามือไม่เปลี่ยนสี นางถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่งในเวลาเดียวกันก็รู้สึกสงสัยภายในใจเป็นเพราะมือของตนมิได้สัมผัสหญ้าต้วนฉางจริง ดังนั้นมือจึงไม่เปลี่ยนสีหรือเพราะกู้หว่านเยว่หลอกพวกเขาตั้งแต่แรกหลี่ซือซือหันมองฝ่ายหลัง กู้หว่านเยว่ไฉนเลยจะมีความสามารถนี้ ใช่ ต้องหลอกพวกเขาเป็นแน่“ฮึๆ มือของข้าไม่เปลี่ยนสี นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าคนวางยามิใช่ข้า กู้หว่านเยว่ เจ้าระดมคนมาให้ความร่วมมือเจ้า คงมิใช่กำลังเล่นละครตบตาหรอกกระมัง”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อยๆ เป็นฝ่ายถืออ่างน้ำเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าซูหัวจวิ้นที่หดตัวในมุมหนึ่งอยู่ตลอด หรี่ตาลง“รีบร้อนอะไร นี่มิใช่ยังมีซูหัวจวิ้นอีกหรือ ซูหัวจวิ้น เหลือเพียงเจ้าคนเดียวแล้ว”ซูหัวจวิ้นตกตะลึงเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มศีรษะตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะภายใต้สายตาที่กำลังมองมาของทุกคน ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ร่างกายแข็งทื่อกลายเป็นเส้นตรงแม้แต่สายตาที่หลี่ซือซือขยิบให้เขาก็มองไม่เห็น“ท่านอาสี่ ท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก เร็วเข้าเถอะ! ใช่หรือไม่ท่านลองดูก็รู้แล้ว อย่าเสียเวลาเลย”ซูจิ่นเอ๋อร์เองก็ตามมาเร่ง“ข้า ข้า...”ซูหัวจวิ้นตกใจจนหวุดหวิดจะหมดสติลงไปแล้
เพียงได้ยินว่าสามารถออกจากถ้ำได้แล้ว ทุกคนดีใจอย่างบ้าคลั่ง“ในที่สุดก็สามารถออกจากสถานที่บ้านี้ได้แล้ว”“ติดอยู่สามวัน มิหนำซ้ำยังไม่มีต้นไม้ใบหญ้าให้ข้าเก็บ เกือบทำข้าหิวตายแล้ว!”ปกติทุกคนไม่มีเสบียงอาหาร ก็มีเกี๊ยวที่นักการแห่งศาลาว่าการแจกจ่ายแต่ครั้งนี้ภูเขาไฟปะทุอย่างกะทันหัน เสบียงอาหารของนักการแห่งศาลาว่าการเองก็หายไปแล้ว ย่อมไม่มีเสบียงอาหารเหลือแบ่งให้นักโทษดังนั้นทุกคนทำได้เพียงดื่มลมพายัพร่วมกัน หากมิใช่กู้หว่านเยว่ช่วยทุกคนอีกสองสามวัน จะต้องหิวตายไปแล้วเป็นแน่ทว่ากู้หว่านเยว่ไม่สามารถนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายตลอดเวลาได้ หาไม่แล้วจะเรียกความสงสัยจากผู้อื่น ดังนั้นในตอนสุดท้าย นางเองก็ให้ครอบครัวของตนดื่มน้ำข้าว“ทุกคนรีบลุกขึ้น เก็บของให้เรียบร้อย ออกไปหาของกินสักหน่อย”ทุกคนรีบตามซุนอู่ นักการแห่งศาลาว่าการสองคนอยู่เฝ้าทางข้างหลังหลังซูหัวจวิ้นและหลี่ซือซือถูกตี ก็นอนใกล้ตายบนพื้นลงท้ายนางหลิวก็มิอาจทนให้ลูกขาดพ่อไปได้ ก่อนจากไปยังพาซูหัวจวิ้นไปด้วยหลี่ซือซือก็น่าสงสารแล้ว ไม่มีใครสนใจนางตั้งแต่แรกนักการแห่งศาลาว่าการก็ไม่สนใจนาง ถือแส้ฟาดนางปลุกให้ตื่
สายตาเจ้าเล่ห์ของฮูหยินผู้เฒ่าซูตกลงบนห่อสัมภาระของกู้หว่านเยว่ ตั้งใจพูดเสียงดัง“สัมภาระของกู้หว่านเยว่ใหญ่เพียงนี้ คงมิได้ซ่อนของกินไว้กระมัง ให้นางแจกจ่ายออกมาเถอะ คงไม่ปล่อยให้ทุกคนหิวตายหรอกกระมัง”“ท่านหมายความว่ากระไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์โมโหกำหมัดแน่นถ้อยคำนี้พูดออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังหาศัตรูให้พวกเขา!“ข้าหมายความว่ากระไร ความหมายของข้าก็คือกู้หว่านเยว่เห็นทุกคนหิวตายก็ไม่นำอาหารมาแจกจ่ายให้ทุกคน ช่างใจดำอำมหิตนัก!”สายตาฮูหยินผู้เฒ่าซูสะท้อนความลำพองใจ ตรงข้ามกันนางบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็คือให้ทุกคนอิจฉากู้หว่านเยว่ ดีที่สุดคือแย่งของกินจากนางมาอาศัยช่วงแย่งของกิน นางเองก็สามารถเข้าไปเอาเปรียบได้บ้างน่าเสียดาย ความหวังของนางต้องสูญเปล่า เพียงนางพูดคำนี้ เหยียนฮูหยินก็เบ้ปาก“ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ตนเองไม่มีกินก็ไปหมายตาของผู้อื่น”“นั่นน่ะสิ แม่นางกู้ช่วยพวกเรามามากพอแล้ว ไฉนเลยยังจะกล้าละโมบเสบียงอาหารของนาง ชาติก่อนเป็นวิญญาณตายเพราะความหิวกระมัง”คนอื่นเองก็ต่างพากันช่วยพูด ฮูหยินผู้เฒ่าซูคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาถึงขั้นยังเลือกช่วยกู้หว่านเยว่ ทันใดนั
“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้” กู่หว่านเยว่ไม่กล้าพูดอะไรอีก อวิ๋นมู่น่าตายนัก นางไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว!ต่อไม่ พวกเขาออกเดินทางได้ไม่นาน คนตระกูลอวิ๋นก็ไล่ตามมาทันชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ามองไปรอบๆ จากนั้นจ้องมองไปที่อวิ๋นมู่ แล้วจึงควบม้าเข้ามาดึงสายบังเหียน ลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่าลงหน้าอวิ๋นมู่“คุณชายน้อย ในที่สุดก็หาท่านพบแล้ว เหตุใดองครักษ์มู่ชิงถึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น? เหตุใดท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเล่าขอรับ?”“กลับไปค่อยคุยเถอะ”เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นมู่ไม่อยากพูดอะไรที่นี่“ขอรับ”ลุงฝูเองก็สังเกตเห็นว่ามากคนมากตา จึงรีบสั่งให้ออกมาพามู่ชิงลงจากด้านหลังของอวิ๋นมู่“คุณชาย พวกเจ้าจะออกเดินทางกันตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ?”อวิ๋นมู่ลังเลใจ ส่งสายตามองไปยังกู้หว่ายเยว่ซึ่งอยู่ไม่ไกลเรื่องบ่อน้ำมันก๊าดจำเป็นต้องให้เขาไปจัดการ เขาไม่สามารถร่วมทางกับกลุ่มเนรเทศได้อีกแล้วอวิ๋นมู่เดินไปหาพวกกู้หว่านเยว่ กล่าวคำอำลากับพวกเขาสองสามคำ ทิ้งเสบียงอาหารเอาไว้ ก่อนจะขึ้นรถม้าแล้วหันหลังจะจากไปแม้ว่าครั้งนี้พวกเขาต้องแยกจากกัน แต่ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะได้กลับมาพบกันใหม่“อวิ๋นมู่ชอบเจ้า”ทัน
โชคดีที่กู้หว่านเยว่ฉลาด หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ขับรถเทียมลาได้อย่างชำนาญทุกคนหิวท้องกิ่ว ตอนนี้มีอาหารแล้ว ก็ต้องอิ่มท้องให้เร็วที่สุดหลังจากพบที่โล่งแล้ว ซุนอู่ก็สั่งให้คาราวานหยุดพัก กินข้าวกันอยู่แถวนั้นกู้หว่านเยว่นำอาหารปรุงสุกที่เน่าเสียง่ายออกมาทั้งหมด แล้วแจกจ่ายให้กับตระกูลอื่นค่าตอบแทนคือช่วยพวกนางซักเสื้อผ้า ปะชุนเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าเรียกได้ว่าเป็นการช่วยเหลือแบบพึ่งพากันแล้ว โดยทั่วไป ทุกตระกูลล้วนแต่ก็เห็นด้วย กระทั่งว่าญาติผู้หญิงของหลายตระกูลเริ่มช่วยกันหาฟืนมาจุดไฟสักพัก ควันสีขุ่นก็ลอยฟุ้งอยู่ในค่าย กลิ่นหอมของอาหารคละคลุ้งอยู่ในอากาศผู้หิวโหยทั้งหลาย ถืออาหารชิ้นใหญ่ไว้ในมือกู้หว่านเยว่หยิบเป็ดย่างออกมาสองตัว ใช้ใบมีดเล็กๆ หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วแบ่งให้ซูจิ่นเอ๋อร์และหยางซื่อหลายคนไม่มีตะเกียบ ดังนั้นจึงจับมันด้วยมือเปล่า ยัดเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากอย่างมูมมาม ดูสะใจอิ่มเอมไม่น้อย“ท่านแม่ ท่านอย่าหวงอาหารนะเจ้าคะ บนเทียมลายังมีเหลืออยู่”กู้หว่านเยว่กลัวว่าหยางซื่อจะเก็บอาหารไว้ให้พวกเขา จะไม่เต็มใจกินอีกครั้ง นางจึงต้องเตือนเอาไว้ก่อนหยางซื่อหัว
นักการหลายคนหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าซู“เจ้าจะตะโกนทำไม? หุบปากเดี๋ยวนี้”“นาง... ซือซือนางตายแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซูชี้ไปยังหลี่ซือซือที่อยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวพูดขึ้นมาแล้ว หลี่ซือซือก็น่าสงสารไม่น้อย นางเพียงอยากกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนออกเดินทาง แต่ก็ถูกด่ากลับมาหนึ่งบทใบหน้าชราของฮูหยินผู้เฒ่าซูกระตุก“นางคงไม่มาหาข้าตอนกลางดึกกระมัง?”“ไม่หรอก นางจะไปกล้าเช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านเป็นย่าของนางนะเจ้าคะ” หลิวซื่อเม้มปาก ไม่สงสารหลี่ซือซือเลยสักนิดหญิงแพศยาที่ล่อลวงคนของนาง ตายไปแล้วก็ดีฮูหยินผู้เฒ่าซูกลับแอบคิดว่า เพราะนางที่เป็นย่าไม่สนใจชีวิตเป็นตายของนาง นางจึงกังวลว่าอีกฝ่ายจะกลับมาหาตอนกลางดึกสองวันนี้ ทุกครั้งที่หลี่ซือซือขอให้นางป้อนน้ำให้ นางก็ปฏิเสธด้วยความรังเกียจนักการสองคนนั่งลง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลี่ซือซือไม่หายใจแล้ว จึงหันไปรายงานซุนอู่“ให้ตระกูลซูเก่าจัดการกันเอง”ใบหน้าของซุนอู่ไร้อารมณ์ หลี่ซือซือทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก ตายไปคงจะดีเสียกว่าแน่นอนว่า คนตระกูลซูเก่าไม่มีใครกล้าจัดการกับเรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ดีกับนางอย่างซูหัวจวิ้นท
ซูหัวจวิ้นชี้ไปที่ท้องฟ้า“หลี่ซือซือ หลี่ซือซือกลับมาหาข้าแล้ว”แม้ว่าหลี่ซือซือจะกรรมตามสนอง แต่เมื่อซูหัวจวิ้นพูดเช่นนี้ขึ้นมา ประกอบกับรอบด้านมืดมิด ทุกคนก็รู้สึกว่าเส้นขนทั้งร่างลุกพรึบ กวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็วซุนอู่เองก็ยังรู้สึกได้ถึงลมร้ายที่กำลังโชยมา เขาจึงหยิบแส้ขึ้นมา เดินไปหาซูหัวจวิ้น แล้วเฆี่ยนเขาด้วยความโกรธ“ถ้าเจ้ายังกล้าพูดไร้สาระอีก ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”“โอ๊ยๆๆ ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ หลี่ซือซือกลับมาแล้วจริงๆ นางโทษข้าที่ไม่ดูแลนาง โทษที่ข้าไม่ปกป้องนาง... แล้วก็ท่านแม่ นางเองก็กำลังโทษท่านด้วย!”จู่ๆ ซูหัวจวิ้นก็ชี้ไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าซู ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซูกรีดร้องด้วยความตกใจ“อ๊าๆๆ เจ้าสี่ ท่านจะตายแล้ว ยังมาพูดไร้สาระอะไรอยู่อีก?”ซูจิ่นเอ๋อร์สั่นงันงกอยู่ในอ้อมแขนของหยางซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่า หลี่ซือซือนาง...”กู้หว่านเยว่เหลือบมองนางแล้วถามว่า “เจ้าเคยทำอะไรผิดหรือเปล่าเล่า?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์คิด นอกจากช่วงแรกที่นางทำตัวโง่ๆ ก็ไม่น่าจะทำเรื่องผิดใจกับนางอีก?“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เช่นนั้นจะกลัวอะไร?”ด้วยกังวลว่าคำพูดของซูหัวจวิ้นจะทำ
กู้หว่านเยว่ขอให้ระบบแสดงแผนที่ของภูเขาใกล้เคียงขึ้นมา จึงได้รู้ว่าข้างหน้าไกลออกไปสองชั่วยาม มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่“ถ้าท่านเชื่อข้า ก็ให้ทุกคนตามข้ามา”“ตามท่านไป?”ซุนอู่ลังเลกู้หว่านเยว่แข็งแกร่งมากก็จริง แต่นางไม่ใช่ผู้เบิกทางเส้นทางจางเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “หัวหน้า ข้าว่าฝนครั้งนี้พิลึกนัก ไม่รู้ว่าตากฝนนานเข้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า เช่นนั้น พวกเราไม่สู้ฟังคำแนะนำของแม่นางน้อยกู้”เขาเสริมอีกว่า“ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราก็เชื่อฟังแม่นางน้อยกู้มาตลอด ก็ไม่เคยมีผิดพลาดนะขอรับ”“ก็ใช่”ประสบการณ์ในฐานะหัวหน้านักการศาลาว่าการ เป็นได้ไม่ดีเท่ากู้หว่านเยว่“ก็ได้ ท่านนำทาง พวกเราจะเดินตามท่านเอง”ด้วยเหตุนี้ ซุนอู่จึงให้นักการปลุกทุกคนขึ้นมา แล้วให้พวกเขาลุกขึ้นออกเดินทางต่อไปคนอื่นๆ เองก็สัมผัสได้ว่าฝนที่ตกลงมาผิดปกติ ดังนั้นจึงรีบออกเดินทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีนักการมาเร่งแต่สำหรับตระกูลซูเก่าแล้ว ช่างทุกข์นักหลิวซื่อกำลังอุ้มคนบาดเจ็บเอาไว้ หนักเสียจนก้าวเดินไม่ได้เมื่อมองไปที่เกวียนลาของกู้หว่านเยว่ นางก็ขอร้องเบาๆ“หว่านเยว่ เจ้าว่าให้อาสี่