หลังจากฟังแผนการร้ายของแม่ใหญ่แล้ว ไป๋เหยีนก็กลับไปหามารดาที่เรือนหลังเล็กอันเป็นที่อยู่ พอนางฮัวซื่อเห็นบุตรชายกลับมา ก็ถามทันทีว่า "อาเหยียน ท่านแม่ใหญ่เรียกไปพบเรื่องอะไรหรือ?" ไป๋เหยียนไม่ได้ตอบทันที แต่ประคองมารดาไปนั่งลงที่โต๊ะน้ำชา "ท่านแม่นั่งลงก่อนขอรับ" พอมารดานั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนั่งลงอีกฟากของโต๊ะ พลางโบกมือให้สาวใช้ของมารดาออกจากห้องไปก่อน แล้วจึงตอบเสียงเรียบๆ ว่า "แม่ใหญ่ต้องการให้ข้าตีสนิทกับพระชายา แล้วหาทางช่วงชิงท่านอ๋อง" "หา..." นางฮัวซื่ออุทานด้วยความตกใจ "ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เพื่ออะไรกัน?" "แม่ใหญ่ต้องการให้ฉินอ๋องสนับสนุนให้ท่านพ่อได้ตำแหน่งเจ้ากรม" "แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?" ดวงหน้าคนเป็นแม่วิตกกังวล"ข้าไม่เอาคอไปพาดเขียงหรอกท่านแม่...ทำสำเร็จท่านพ่อเป็นใหญ่...ทำไม่สำเร็จคนต้องตายคือข้า" ไป๋เหยียนกล่าว "แต่ความคิดเลวร้ายของแม่ใหญ่ก็ช่วยให้ข้ามองเห็นช่องทางขึ้นมา" "ข้าจะหาทางสนิทสนมกับพระชายา...หากเป็นไปได้ ก็จะได้บารมีของพระชายาและท่านอ๋องคุ้มหัว จากนั้นหาทางสอบเข้ารับราชการ เมื่อมีผู้สูงศักดิ์เป็นญาติ หนทางก้าวหน้าก
พระชายาไป๋หยงเห็นน้องชายร้องไห้น้ำตาอาบหน้า ก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกร่างเล็กขึ้นมาอุ้มแนบอก พลางถาม "อาหยู เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้?" "เกอเกอ...ข้าอกหักแล้ว พี่หว่านหว่านหมั้นกับท่านน้า ไม่ได้หมั้นกับข้า...ฮือๆๆๆๆ" ฉินอ๋องหลี่อี้ชะงักมือที่จะยกถ้วยน้ำชา...เขานึกได้คร่าวๆ แล้ว เจ้าน้องเมียตัวน้อย มีปัญหาแต่ต้น ไม่ว่าจะเรื่องจำนวนซาลาเปา เรื่องเรียกชื่อ หยงหยง หยูหยู แล้ววันนั้นเขาก็กล่าวเพียงแค่สั้นๆ ว่าอาจจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับแม่นางหว่านหว่าน ทำให้เจ้าน้องเมียตัวน้อยเอาไปมโนโมเมทึกทักเอาว่า จะจับคู่ให้ตนเอง ฉินอ๋องจึงเอื้อมมือมาดึงตัวไป๋หยูไปนั่งข้างๆ ถามเสียงเรียบๆ ว่า "อาหยู เจ้าเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?" "เป็นขอรับ...ฮึๆๆ" กล่าวไปสะอื้นไป "เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง อกหักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดั่งคำโบราณที่ว่า...จะแก้แค้น รอสิบปีก็ไม่สาย จะแต่งเมีย รอสิบปีก็ไม่นาน" ไป๋หยูเริ่มมึนงง...ไอ้คำกล่าวอันแรกก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่คำกล่าวอันหลังนี่ ไม่เคยได้ยิน "จริงหรือขอรับ? ท่านอ๋องพี่เขย" "จริงแท้แน่นอน คิดดูสิรออีกสิบปี...เจ้าฝึกวรยุทธ์ได้มากเท
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ ร่างสูงใหญ่บึกบึน แม้สวมใส่เสื้อผ้าสีเทาเนื้อผ้าธรรมดา แต่ยังมีสง่าองอาจอย่างยิ่ง "คุณชาย...พวกเราได้พบกันอีกแล้ว เห็นหรือไม่?" เขาฉีกยิ้มกว้าง ไป๋เหยียนนึกรำคาญ...ชายคนนี้ตามตอแยตนอยู่ได้! จึงทำหน้านิ่ง ตอบว่า "เป็นความบังเอิญ" "หนึ่งครั้งคือบังเอิญ ครั้งสองครั้งสามคือวาสนา...ข้ามีนามว่าสีไค คุณชายละมีนามว่าอะไร?" ไป๋เหยียนนึกในใจ...ผู้ใดอยากรู้จักนามของท่านล่ะ? แต่เมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัวมาแล้ว ไป๋เหยียนก็ไม่อาจไม่ตอบ "ข้าแซ่ไป๋" "ยินดีที่ได้รู้จัก" สีไคเอ่ย "น้องไป๋ ท่านมาทำอะไรที่นี่?" "เอ้อ..." ไป๋เหยียนอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจหันหลังกลับ จะจากไป แต่ถูกสีไคคว้าข้อมือเอาไว้ "ท่านจะมาขอพบพระชายาไป๋ใช่หรือไม่?" ไป๋เหยียนได้แต่นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้ว่าสมควรจะตอบอย่างไรดี สีไคก็เลยทั้งจูงทั้งดึงไป๋เหยียนเข้าไปในจวน เหล่าทหารเฝ้าจวนก็เปิดทางให้เหมือนว่าเขาเข้าออกจวนได้อย่างอิสระ "ท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ที่ไหน?" เขาถามบ่าวรับใช้ "อยู่ในสวนขอรับ" บ่าวรับใช้น้อมกายตอบอย่างสุภาพ "ไป...พวกเร
ทั้งหมดมาถึงหน้าประตูบ้านของเย่หว่าน ก็ได้ยินเสียงเอะอะจากข้างใน...แล้วมารดาของเย่หวานก็ถูกถีบออกมา ชายฉกรรจ์หน้าบากตามออกมาจากบ้าน ตรงรี่เข้าจะทำร้ายนางซ้ำ แต่ไป๋เหยียนกับไป๋หยูกระโจนเข้าไป ไป๋เหยียนชกหมัดใส่ ไป๋หยูเตะขา ชายหน้าบากคว้าหมัดเล็กๆ ของไปเหยียนไว้ แล้วผลักร่างบอบบางกระเด็น ไป๋หยูถูกอีกฝ่ายเตะกระเด็น กลิ้งกับพื้น สีไคเข้ารับตัวของไป๋เหยียนที่ลอยมาเอาไว้ หน้าผากของไป๋หยูโขกถูกก้อนอิฐ ร้องไห้ "แงงงง..." "อาหยูรีบไปบอกท่านอ๋องเร็วเข้า" ไป๋เหยียนตะโกน ไป๋หยูลุกขึ้นได้ก็วิ่งแจ้น... สีไคเข้าไปตะลุมบอนกับคนร้าย แต่คนร้ายมีด้วยกันห้าคน สี่คนเข้ามาพัวพันสีไคไว้ คนหนึ่งแบกร่างอ้อนแอ้นของเย่หว่านหนีไปสีไคสามารถสลัดหลุดจากคนร้ายทั้งสี่เพื่อติดตามคนร้ายที่ลักพาตัวเย่หว่านได้...แต่เขาไม่อาจตัดใจทิ้งไป๋เหยียนไว้ลำพัง เพราะหนุ่มน้อยเองก็ถูกหมายตาจากอันธพาลที่จะลักพาตัวเขาไปขายเช่นกัน จึงเตะคนร้ายสองคนขาหัก ไม่สามารถหนีไปได้ คนร้ายอีกสองคนเห็นท่าไม่ดีก็เผ่นแนบ** ไป๋หยูขี่หลังบ่าวรับใช้ที่พยายามวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมาถ
ไป๋เหยียนกลับถึงเรือนเล็กอันเป็นที่อยู่ของเขาและมารดา...เห็นมารดานั่งปักผ้าอยู่ที่โต๊ะ "ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว" ไป๋เหยียนส่งเสียงทักทายมารดา นางฮัวซื่อเงยหน้ามองบุตรชาย แล้วทำสีหน้าประหลาดใจ "อาเหยียน เจ้าไปทำอะไรมา ทำไมเสื้อผ้ายับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ซ้ำยัง...มีดอกไม้เสียบอยู่บนผม" "ดอกไม้?" หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ไป๋เหยียนใช้มือคลำศีรษะ แล้วเอาดอกไม้ออกจากผม "มันมาอยู่บนศีรษะของข้าได้อย่างไร? ต้องเป็นเจ้าบ้านั่นแน่ๆ" "ผู้ใดหรือ?" มารดาถาม "ไม่มีอะไรท่านแม่" แล้วไป๋เหยียนก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา "ท่านแม่...พวกเราขายถุงใส่เงินกับภาพวาดได้สิบตำลึงเงิน" เขาล้วงเงินจากถุงใส่เงินที่ห้อยอยู่ข้างเอวมาส่งให้มารดา นางฮัวซื่อจับมือบุตรชายแล้วเอาเงินจำนวนสิบตำลึงใส่ลงในมือของเขา "แม่อยากให้ลูกเอาเงินนี้ไปซื้อผ้าที่ค่อนข้างดีมาสักผืน ให้แม่ตัดเสื้อชุดใหม่ให้เจ้าสักชุด" นางและบุตรชายมีเสื้อผ้าที่ดูดีคนละชุด ซึ่งแม่ใหญ่จะนำมาให้สวมใส่ต่อเมื่อต้องออกงาน เพื่อไม่ให้อำมาตย์ไป๋หลงเสียหน้า แต่ถ้าไป๋เหยียนจะไปขอมาใส่เพื่อออกไปข้างนอกหรือสมัครงานก็จะต้องถูกซักไซร้ไล่เ
"เพราะเมื่อก่อนนั้น ท่านตาของเสี่ยวเหยียนเป็นอำมาตย์เจ้ากรมพิธีการ แต่ไป๋หลงเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ในกรมพิธีการ ในงานมดอกไม้ที่จัดขึ้นในวังหลวง มีคนผลักคุณหนูฮัวลี่บุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการฮัวซานตกสระ ชายหนุ่มหลายคนต่างกระโดดลงสระหมายช่วยนาง แต่ไป๋หลงกระโดดลงไปช่วยคุณหนูฮัวได้ก่อนคนอื่น เขาจึงได้แต่งงานกับนาง แต่เพราะว่าเวลานั้นไป๋หลงมีภรรยาเอกอยู่ก่อนแล้ว คุณหนูจึงจำต้องแต่งเป็นภรรยารอง...เพราะความสัมพันธ์ของพ่อตากับลูกเขย เจ้ากรมพิธีการฮัวซานจึงสนับสนุนไป๋หลงจนได้ขึ้นมาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันอำมาตย์ฮัวซานก็มีสุขภาพอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว เขาจึงคิดจะลาออก ใครใครต่างคิดว่า อำมาตย์ฮัวซานจะต้องเสนอให้บุตรเขยของตนขึ้นมารับตำแหน่งต่อ แต่ทว่า..." เล่าถึงตรงนี้...สีไคก็ยกจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วพบว่าจอกว่างเปล่าซะแล้ว จึงคว้ากาสุรามารินให้ตนเอง พลางบ่นพึมพำ "มีเมียก็ดีอย่างนี้ ไม่ต้องรินเหล้าเอง" ไป๋หยงเพิ่งจะได้รู้เบื้องหลังการเป็นอำมาตย์ของท่านลุง อยากรู้ต่อเร็วเร็วก็เร่งรัดสีไคว่า "พี่ไค แต่อะไรหรือ?" สีไคยิ้มเหมือนแยกเขี้ยว แล้วกล่าวต่อ "อำมาตย์ฮัวซ
"สะใภ้" ท่านย่าเรียกนางหลิวซื่อ "อาหยู ยังไม่กลับอีกหรือ?" ท่านย่าถามพลางเดินเข้ามาในห้องโถง โดยมีสาวใช้นางหนึ่งติดตามเข้ามาด้วย "ท่านย่า นั่งก่อนเจ้าค่ะ" นางหลิวซื่อกล่าว พลางเดินไปประคองอีกฝ่ายมานั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะใหญ่ "เมื่อสักครู่ คนจากจวนฉินอ๋องมาส่งข่าวว่า คืนนี้อาหยูจะค้างที่จวนฉินอ๋องเจ้าค่ะ" ท่านย่าถอนใจเบาๆ อดบ่นไม่ได้ว่า "เด็กคนนี้สนิทสนมกับท่านอ๋องมากเกินไปแล้ว" "ที่ท่านย่ากล่าวมา เหมือนว่า...มันมิใคร่ดีนัก?" นางหลิวซื่อกล่าวอย่างคาดคะเน "สะใภ้ นั่งลงก่อน" นางหลิวซื่อจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด ท่านย่าหันไปสั่งสาวใช้ "เจ้าออกไปก่อน" "เจ้าค่ะ" สาวใช้รับคำ แล้วเดินออกจากห้องโถงไป พอหมดคนนอก...ท่านย่าก็กล่าวว่า "ฉินอ๋องเป็นชายรักชาย หากอาหยูเติบโตขึ้น เป็นที่ต้องตาต้องใจของเขา หรือว่าอาหยูเกิดหลงรักเขา...เฮ้อ... ข้าไม่อยากจะคิดเลย" "ท่านย่า...พวกเราจำต้องดับไฟแต่ต้นลม" นางหลิวซื่อกล่าว "ข้าคิดได้หนทางหนึ่งคือรีบให้อาหยูแต่งงานกับเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันเสียแต่เนิ่นๆ" "ข้าเห็นด้วย" ท่านย่าพยักหน้า "พี่ชายของข้า
"ฮิๆๆ..." ไป๋เหยียนส่งเสียงหัวเราะ "เจ้าขำอะไร?" สีไคเลิกคิ้วเข้มขึ้น "ข้าก็ขำท่านนะสิ...ช่างแต่งละครได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก น่าจะนำไปขายโรงงิ้ว" ไป๋เหยียนประชด "เจ้าไม่เชื่อหรือ?" "ย่อมต้องไม่เชื่อ" "เช่นนั้นข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น" สีไคเอ่ยเสียงดุ แล้วคว้าตัวไป๋เหยียนขึ้นพาดบ่า "เจ้าทำอะไร?" ไป๋เหยียนตะโกน "ท่านสี!" นางฮัวซื่ออุทานอย่างตกใจ สีไคก้าวฉับๆ มุ่งหน้าไปเรือนนางหลิวซื่อ อย่างว่องไว นางฮัวซื่อก็วิ่งตามมาอย่างไม่คิดชีวิต "ปล่อยข้านะ" ไป๋เหยียนทำเสียงขู่ กำหมัดตุบร่างกำยำ พร้อมกับดิ้นรนจะให้หลุดจากมือของสีไคแต่ไร้ประโยชน์ สีไคแบกร่างบอบบางมาที่เรือนของนางหลิวซื่อ เข้าไปในห้องโถที่ฉินอ๋องและพระชายานั่งร่วมโต๊ะกับท่านแม่ยายและท่านย่า มีหยูหยูกำลังอวดแผลแห่งความกล้าหาญให้มารดาดูอยู่ จึงวางไป๋เหยียนลงยืนบนพื้น ไป๋เหยียนเห็นฉินอ๋องกับไป๋หยงก็รีบน้อมคำนับ "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาขอรับ" นางฮัวซื่อก็รีบยอบกาย "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาเจ้าค่ะ" "ไม่ต้องมากพิธี...เชิญทุกคนนั่ง ดื่มน้ำชา กินของว่างด้วยกัน" "ขอบพระคุณ
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน