คงเป็นเพราะบวมช้ำรุนแรง แม้แต่ตอนพูดเจ๋ออ๋องยังรู้สึกเจ็บปวดเกินทน เสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังไม่ชัดเลยสักนิดกู้ชูหน่วนเอ่ยเสียงฮึดฮัด "ช่างเป็นใบหน้าที่อัปลักษณ์เหลือเกิน เฮ้อ โชคดีที่ถอนหมั้นไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องพะอืดพะอมมันเสียทุกวันเป็นแน่"ไฟโกรธของเจ๋ออ๋องโหมกระพือหญิงอัปลักษณ์เช่นนางกล้าดีอย่างไรถึงได้รังเกียจเดียจฉันท์ว่าเขาขี้เหร่"แน่จริงเจ้าก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกสิ จะปกปิดไปใย""ข้ากลัวว่าเจ้าจะอิจฉาในใบหน้าอันงดงามของข้าน่ะสิ""แหวะ..."เจ๋ออ๋องเกือบจะอาเจียนออกมาใบหน้าแปลกประหลาดเป็นหลุมเป็นบ่อของนางนั่นหรือ ที่เขาจะอิจฉา"กู้ชูหน่วน แน่จริงก็มาเดิมพันกันอีกสักตา""ได้สิ แต่คราวนี้ถ้าต่ำกว่าสามล้านตำลึง ข้าไม่เดิมพันด้วยหรอกนะ""ได้ สามล้านตำลึงก็สามล้านตำลึง หากเจ้าเอาชนะพวกข้าห้าคนไม่ได้ นอกจากเจ้าจะต้องแก้ผ้าวิ่งหนึ่งร้อยรอบแล้ว ข้าจะตัดมือทั้งสองข้าของเจ้าด้วย"กู้ชูหน่วนตอบตกลงโดยไม่ลังเล "ได้ เช่นนั้นทุกท่านเป็นพยาน ท่านอ๋องผู้แสนโง่เขลานี้พูดกับปากตัวเองว่าจะให้เงินสามล้านตำลึงกับข้า ข้ามิได้ขูดรีดเขาแต่อย่างใด"ทุกคนหมดคำจะพูดพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพ
กู้ชูหน่วนคว้าก้านอ้อยขึ้นมากัดอย่างสบายใจ หันไปมองสองยอดฝีมือจากแคว้นจ้าวพลางผิวปาก"พวกเจ้าสองคนอยากเดิมพันกับข้าอีกหรือไม่?"ฉางเจินกับฉางผิงมุมปากกระตุกหญิงผู้นี้เป็นผีพนันหรืออย่างไร? คำก็เดิมพันสองคำก็เดิมพันตาเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งแพ้ไป ทำเอาคุณชายอี้ต้องเล่นกับนางอีกตั้งเจ็ดวัน พวกเขาก็รู้สึกมากพอแล้ว จะกล้าเดิมพันอีกได้อย่างไรฉางเจินส่ายหน้า บอกไปตามตรง "คุณหนูสาม พวกเรามาประลองศิลปะ ไม่ได้มาเพี่อวางเดิมพัน ความชอบของคุณหนูสาม พวกเราเข้าใจ ขอโปรดคุณหนูสามไปถามคนอื่นเถิด""มีแต่หนอนหนังสือ น่าเบื่อชะมัด"กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น หันไปมองอี้เฉินเฟยที่นั่งอย่างสง่างาม กระพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "คุณชายอี้ ตาเมื่อกี้ เจ้าไม่นึกเสียใจใช่หรือไม่""แน่นอนว่าไม่ หลังการประลองศิลปะจบลง ข้าน้อยอี้จะทำตามบัญชาคุณหนูสามทุกประการ"ผู้ชมส่งเสียงฮือฮาเล่าลือกันว่าอี้เฉินเฟย คุณชายอี้ผู้นี้เป็นคนมีเมตตา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะใจเย็นขนาดนี้เขาคืออัจฉริยะเลื่องชื่อ ทั้งยังเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของสำนักขงจื้อ ชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับเล่นสนุกกับหญิงอัปลักษณ์ไม่เอาไหนเขาดูไม่ออกหร
เจ๋ออ๋องปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว เจ็บจนนั่งไม่ติดที่ เขาอยากจะจบหมากกระดานนี้โดยเร็ว แต่เข้าจ้องมาครึ่งค่อนวันแล้วก็เหมือนกับฉางเจินและฉางผิง ไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางไหน แต่เพราะร้อนรน ความเจ็บปวดของร่างกายยิ่งทำให้ทรมาน เขาแกะเกาจนถลอกไปทั้งตัวกู้ชูหน่วนเอ่ยหยอก "เจ๋ออ๋อง ทรมานปานนี้ ยอมแพ้แล้วไปรักษาตัวไม่ดีกว่าหรือ ถึงอย่างไรก็ต้องเสียสามล้านตำลึงอยู่ดี สำหรับเจ้า ข้าเชื่อว่าแค่นี้คงเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย"เจ๋ออ๋องเคยคิดว่าจะยอมแพ้ตานี้ เพราะค่ายกลวิจิตรอันแสนล้ำลึกนี้ กู้ชูหน่วนเองก็ไม่มีทางแก้ได้แน่นอนแต่พอได้ยินนางพูดดังนั้น เจ๋ออ๋องจึงฝืนอดทน กัดฟันนั่งต่อไปเงินสามล้านตำลึง นางคิดว่าเป็นสามร้อยตำลึงหรือ คิดจะทิ้งขว้างอย่างไรก็ได้?เพิ่งเสียไปสองล้านตำลึง ป่านนี้ที่บ้านคงไม่เหลืออะไรแล้ว หากยังแพ้อีกเขาคงต้องเที่ยวไปยืมเงินคนอื่นเทพหมากล้อมเดินหมากเป็นคนแรก หมากก้าวนั้นของเขาเดินเหมือนไม่ได้เดิน เพราะทั้งกระดานไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะหมากตัวนั้นของเขาเลย"ตาข้าแล้วหรือ"กู้ชูหน่วนหยิบหมากขาวขึ้นมา มองไปยังหมากที่อัดแน่นเต็มกระดาน คล้ายกับลังเลว่าจะเดินไปทางไหนผู้ชมจับจ้องที่ห
"เช่นนั้นแล้วข้าไม่ได้เดินผิดใช่หรือไม่? โชคดีๆ ตกใจแทบแย่ ว่าแต่เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่เดินเล่า? รีบเล่นให้จบ ข้าจะได้กลับไปนอนเร็วๆ"ผู้ชมมุมปากกระตุกนอนอะไรอีก?เดินอะไรเล่า?หมากนี้ตายทั้งกระดานแล้ว จะเดินไปทางไหนก็ตัน จะให้พวกเขาวางหมากตรงไหนเจ๋ออ๋องลุกลี้ลุกลน อยากจะล้มกระดานให้มันรู้แล้วรู้รอดมีแต่ทางตัน หมากล้อมเช่นนี้ใครจะเล่นได้?จากนั้นทุกครั้งที่เทพหมากล้อมเดินหมาก กู้ชูหน่วนก็ขวางเขาได้ทุกทางเขาถอย กู้ชูหน่วนก็ถอยเขาบุก กู้ชูหน่วนก็บุกหนึ่งสิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกครั้งกู้ชูหน่วนจะทิ้งงานยากให้เขาเสมอ ทำเขาโมโหจะต้องทึ้งผม ไม่รู้ว่ากู้ชูหน่วนจงใจแกล้งเขาหรืออย่างไรเพราะนางทำหน้าใสซื่อ ยิ้มไร้เดียงสาเยี่ยเฟิงเองก็เดินไปแล้วสี่ตา แต่ละตานั้นถูกกู้ชูหน่วนสวนกลับได้ทั้งหมดฉางเจินกับฉางผิงได้แต่เฝ้าดู เพราะพวกเขาไม่มีปัญญาแม้จะเดินสักตาเจ๋ออ๋องนั่งไม่ติดที่ คันคะเยอไปทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาถูกเขาเกาจนเลือดห้อ แถมยังมีส่วนลับของร่างกายอีกหลายแห่งที่ไม่อาจล้วงเกาต่อหน้าผู้อื่นได้ ทำได้เพียงอดทนเอาไว้ทว่าเขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วหยิบหมากลงเดินอย่างขอไปทีกู้ชูห
นางยิ่งไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเทพหมากล้อมจะคุกเข่าลงตรงหน้า เคารพนางเป็นอาจารย์เสียอย่างนั้นกู้ชูหน่วนไม่มีกะใจจะแทะอ้อยต่อไป สะบัดอ้อยในมือทิ้งแต่บังเอิญว่าสะบัดไปโดนหัวของเจ๋ออ๋อง ทำเอาเจ๋ออ๋องหัวปูนโนเป็นลูก"กู้ชูหน่วน เจ้าจงใจแกล้งข้าใช่ไหม"กู้ชูหน่วนชะงักไปสาบานต่อฟ้าดิน ครั้งนี้นางไม่ได้ตั้งใจแกล้งเขาจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอ้อยต้นนั้นมีลูกตาหรืออย่างไร ถึงได้ชอบลงโทษคนชั่วอยู่เรื่อย"เป็นแค่คุณหนูสามของจวนอัครเสนาบดี แต่กลับกล้ากลั่นแกล้งข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร?"ริมฝีปากของเจ๋ออ๋องบวมเจ่อมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คำที่พูดออกมาแทบฟังไม่รู้เรื่อง ทุกคนได้ยินไม่ชัดเลยว่าเขาพูดอะไรกู้ชูหน่วนพยักหน้าขมวดคิ้ว "ข้ารู้ว่าเจ้าน้อยเนื้อต่ำใจ โธ่ แพ้ให้ข้าไม่น่าอายหรอกน่า อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนแคว้นเย่ มิใช่คนแคว้นจ้าว แคว้นหวา หรือแคว้นฉู่ ถึงฮ่องเต้จะมอบแก้วแหวนเงินทองให้ ก็ไม่มีทางตกเป็นคนของคนแคว้นอื่น""พูดจาเหลวอะไรข้องเจ้า....""ใช่ๆ เจ้าเจ็บหนัก เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่เดิมพันย่อมมีแพ้ชนะ เช่นนั้นแล้วเงินสามล้านตำลึง เจ๋ออ๋องก็ยังต้องจ่าย
แคว้นฉู่และแคว้นหวากำลังห้ำหั่นกัน แทบจะปะทะกันได้ทุกเมื่อ อี้เฉินเฟยไกล่เกลี่ย "ท่านทั้งหลายใจเย็นเถิด งานประลองศิลปะนั้นจัดขึ้นเพื่อประชันฝีมือ ได้เข้าร่วมเป็นสำคัญ แพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องรอง"อี้เฉินเฟยไม่เกี่ยวจะพูดอย่างไรก็ได้พวกเขาอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจ เดินทางไกลเป็นพันลี้มายังแคว้นเย่ ก็เพื่อกระดิ่งภินวิญญาณบ้าบออะไรนั่นยามนี้พ่ายแพ้แล้ว ก็เท่ากับว่าได้แต่มองผู้อื่นชิงกระดิ่งภินวิญญาณตาปริบๆพวกเขาตั้งใจว่าจะสวนกลับ แต่พอนึกดูแล้วอี้เฉินเฟยเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน ทั้งๆ ที่มีโอกาสเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว แต่เขากลับยอมแพ้นั่นพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่สนใจกระดิ่งภินวิญญาณสักเท่าไร แล้วพวกเขาจะเอาหน้าที่ไหนเป็นตอกกลับความสัมพันธ์ของแคว้นหวาและแคว้นฉู่นั้นเดิมทีก็เปราะบางอยู่แล้ว แต่เปราะบางกว่าเดิมเพราะคำพูดประโยคนั้นกู้ชูหน่วนชนะแล้ว ว่าตามหลักแล้วอัครเสนาบดีกู้ก็กู้หน้าคืนได้มาบ้างแต่สีหน้าของเขายังถมึงทึงเช่นเดิมชนะเช่นนี้ ไร้ซึ่งเกียรติยศ แถมยังเป็นลูกสาวคนที่สามของเขาอีก มีแต่ยิ่งเกลียดชังเข้าไปใหญ่"ยัยขี้เหร่ชนะเสียอย่างนั้น" เซียวอวี่เชียนพึมพำกับเอง ราวกับฝันไปอย่างไรอย่างน
"ก็ได้ เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ"เจ๋ออ๋องปัดมือหมอหลวงออก อดทนความเจ็บปวดเอาไว้ "กู้ชูหน่วน เจ้ากล้าเดิมพันอีกตาหรือไม่""เดิมพันอีกแล้ว? เจ้ามีเงินพอให้แพ้อีกหรือ?"บ่าวเอ่ยเตือนอย่างกังวลใจ "ท่านอ๋อง จะเดิมพันอีกไม่ได้แล้วนะขอรับ ตอนนี้เราไม่มีเงินแล้ว"เจ๋ออ๋องแพ้จนคลั่งไปแล้ว สนใจคำเตือนของบ่าวเสียที่ไหน เขาเอ่ยอย่างไม่ลังเล "ข้ามัดจำด้วยจวนเจ๋ออ๋อง และเรือนอีกหกหลังภายใต้ชื่อจวนเจ๋ออ๋อง หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องคืนเงินห้าล้านตำลึงให้ข้า รวมกับมือทั้งสองข้างของเจ้าด้วย"เขาไม่เชื่อหรอกว่านางคนไม่เอาไหนจะแต่งโคลงกลอนได้กู้ชูหน่วนเอ่ยเสียงเย้ยหยัน "ท่านเจ๋ออ๋อง แต่จวนเจ๋ออ๋องกับเรือนอีกหกหลัง แต่คิดจะแลกกับเงินห้าล้านตำลึงและสองมือของข้า จวนเจ๋ออ๋องของเจ้าทำงานทองหรือไร?"บางคนเผลอหัวเราะออกมาเจ๋ออ๋องหน้าเขียวจนม่วงนอกจากจวนเจ๋ออ๋องและเรือนอื่น เขาก็แพ้จนหมดเนื้อหมดตัวแล้วครั้นคิดจะเอ่ยปากขอยืมเงินจากใครดี กู้ชูหน่วนก็พูดแทรกขึ้น"เพราะสงสารเจ้าหรอกนะ เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเดิมพันกับเจ้า แต่ว่านะเจ๋ออ๋อง เจ้าคิดให้ดีละ หากเจ้าแพ้ครั้งนี้ เจ้าคงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว""วางใจเถิด ข
ห้าคนแข่งขัน ฉางเจินและฉางผิงเขียนๆ หยุดๆ ตั้งสมาธิใช้ความคิดเยี่ยเฟิงยังคงนั่งหลังตรงประหนึ่งต้นไผ่ เขาก้มหน้า แพขนตาไม่มีกะพริบ มือจับพู่กันตวัดเขียน ผ่านไปไม่นานก็แต่งกลอนไปเกือบสิบบทแล้วเจ๋ออ๋องแม้จะเขียนไม่หยุด แต่ก็ร้อนรนไม่อาจสงบนิ่ง มือเกาไม่หยุด เรียวคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่ กลอนที่แต่งเสร็จแล้วเดี๋ยวเดียวก็ถูกขยำทิ้งเมื่อหันไปมองกู้ชูหน่วนที่อ้าปากหาวอย่างเกียจร้าน ทว่ามือเองก็ไม่หยุดเขียน ตวัดแปรงแต่งกลอนบหนึ่งจนเสร็จ แม้จะเสร็จเป็นคนสุดท้าย แต่กลอนที่นางแต่งนั้น เว้นแต่เทียบกับเยี่ยเฟิงแล้ว นางนั้นแต่งได้จำนวนมากที่สุดอาจารย์สวีสบถด่าเหมือนเช่นเคย "จองหอง จองหองเกินไปแล้ว ป่านนี้แล้วนางยังเสแสร้งให้ใครดูอีก"ผู้ชมจากสำนักบัณฑิตหลวงต่างส่ายหน้าถอนหายใจต่อให้ชนะสองรอบแล้วอย่างไรเล่า แต่สามรอบสุดท้ายก็แพ้อยู่ดีเท่าที่พวกเขาคาดการณ์ บัณฑิตยากจนอย่างเยี่ยเฟิงคงเป็นผู้ชนะในครั้งนี้กู้ชูหน่วนเขียนเร็วนัก นางเขียนเสร็จก็เขียนอีกบทต่อ สี่คนที่เหลือถึงกลับเงยหน้าขึ้นมองกู้ชูหน่วนอย่างประหลาดใจไม่รู้ว่านางมีแผนการอะไรอีกกันแน่แม้แต่ฮ่องเต้ยังตกตะลึงกู้ชูหน่วนแต
เยี่ยเฟิงจัดใหม่อีกรอบ เพื่อให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น มุมปากยกขึ้นเบาๆ "ข้าก็คิดว่างามเช่นกัน""ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าผู้นี้นั้นเลี้ยงง่ายนัก ผัดกับข้าวอะไรก็ได้มาอย่างสองอย่างก็พอแล้ว เจ้า..."กู้ชูหน่วนยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยเฟิงเหลือบมองดูฟ้า ก่อนจะปิดฝาตระกร้าสำรับ ริมปีากแดงระเรื่องขยับเบาๆ "พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จะไม่ทันกาลแล้ว รบกวนเจ้าหลีกทางหน่อย""ห้ะ..."กู้ชูหน่วนตะลึงงันกับข้าวพวกนี้ไม่ได้ให้นางหรอกหรือหรือว่าเขิน จึงจะส่งไปให้ที่ห้องนางอย่างนั้นหรือท่ามกลางความสงสัย เยี่ยเฟิงกลับมาอีกรอบ ก่อนจะปลดผ้าคลุมบนใบหน้าของตนเอง แล้วเอ่ยถาม "แม่นางกู้ สีหน้าข้าดูแย่หรือไม่""ไม่...ไม่หรอก" ก็แค่ตาบวมไปหน่อยก็เท่านั้น"ขอบใจ"เยี่ยเฟิงกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากโรงเจไป เหลือเพียงกู้ชูหน่วนและฝูกวงที่กำลังมองหน้ากันตาปริบๆนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือเยี่ยเฟิงไม่เห็นว่านายหญิงอยู่ที่นี่หรอกหรือกู้ชูหน่วนกระแอมสองสามที "เยี่ยเฟิงหน้าบาง พวกเราต้องเข้าใจ ไป กลับห้องไปกินกับข้าวเจที่เยี่ยเฟิงทำกันเถอะ""ขอรับ"ทั้งสองคนเดินตามกันออกไปจากโรงเจ แต่พวกเข
"ไม่ใช่ปัญหา จากที่นี่ไปเสี่ยวเหอชุน ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็ไม่พอ ไม่สู้อยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันสองวัน"เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่าเยี่ยเฟิงรีบอยากจะกลับไปที่สุดหรอกหรือเหตุใดถึงจะไม่กลับอีกแล้วล่ะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่อีกทั้งต้องเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย"เจ้า...คงจะไม่ได้คิดสั้นหรอกนะ..." กู้ชูหน่วนหยั่งเชิงเยี่ยเฟิงชะงัก จากนั้นเมื่อรู้ถึงความเป็นห่วงของกู้ชูหน่วน เขาก็เผยยิ้มอ่อนโยนที่เห็นได้ไม่บ่อยนักออกมา"วางใจเถอะ ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น อีกอย่าง...ข้ายังมีคนในครอบครัวให้ต้องดูเล" นอกจากท่านยาย ยังมีท่านพ่อท่านแม่ที่ล้วนแต่ต้องการการดูแลจากเขาทั้งสิ้นแม้เขาจะไม่สามารถเปิดเผยตัวคนกับท่านพ่อท่านแม่ได้ แต่เขาจะคอยอธิษฐานให้พวกเขาลับหลังอยู่เงียบๆกู้ชูหน่วนโล่งใจ "รีบบอกแต่แรกสิ เจ้าจะซื้อกับข้าวอะไรบ้าง ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่""ไม่ต้อง ข้าไปคนเดียวก็พอ อย่างไรก็ชินแล้ว""ได้ มีสิ่งใดต้องการให้ช่วยก็บอกได้เลย""อืม"แผ่นหลังผอมบางของเยี่ยเฟิงหายไปจากในวัด กู้ชูหน่วนลูบปลายคางพลางพึมพำกับตัวเอง "เสี่ยวฝูกวง เจ้ารู้สึกบ้างไหมว่าเยี่ยเฟิงมีบางอย่างไม่ปกติ""มีด้วยหรือ ข้าน้อย
กู้ชูหน่วนถือหญ้าตี้อวี้ไว้ในมือ แต่กลับไม่มีอารมณ์ที่จะฟื้นฟูใบหน้าเลยแม้แต่น้อย จึงโยนหญ้าตี้อวี้กลับเข้าไปในแหวนปริภูมิ แล้วไปที่ศาลาในวัดเพื่อปล่อยใจให้ว่างเปล่าเพียงลำพังฝูกวงไม่รู้ว่าปรากฏตัวข้างกายนางเมื่อใดและปลอบโยนว่า "นายหญิง คุณชายเยี่ยเฟิงจิตใจดี สวรรค์จะไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน"กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะข้ากำหนดชะตาของข้าเอง ไม่ใช่สวรรค์นางไม่เคยเชื่อสวรรค์หากสวรรค์มีตา ก็คงส่งคนที่รังแกเขาลงนรกไปนานแล้ว จะลอยหน้าลอยตาเช่นนี้ได้อย่างไร"ฝูกวง ช่วยข้าทำอะไรสักหน่อยได้หรือไม่""นายหญิงเชิญสั่ง ข้าจะทำทุกอย่าง""ช่วยข้าสืบประวัติของเยี่ยเฟิง ข้าอยากรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาคือใคร" บางทีการพบพ่อแม่ที่แท้จริงอาจช่วยบรรเทาใจที่ปวดร้าวลงได้บ้าง"ขอรับ ข้าน้อยจะสืบหาประวัติของคุณชายเยี่ยให้ได้ และจะรีบมารายงานข่าวดีให้นายหญิงทราบ""ได้"เวลาผ่านไปหลายถ้วยน้ำชา ประตูห้องของเยี่ยเฟิงก็เปิดออกกู้ชูหน่วนส่งสายตาให้ฝูกวง เป็นสัญญาณให้ตามนางไปโดยเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้เยี่ยเฟิงบังเอิญเจอพวกเขา ทำให้ศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายลงไปอีก เพราะตาของเขาบวมแดงมาก พวกเขาพยายามจะทำเป็นไม่ส
เยี่ยเฟิงในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่ร้องเรียกให้เขาไปปรากฏตัวแม้เขาจะกลัว ก็อยากเปิดเผยตัวตนแต่คำพูดของซิ่งเอ๋อร์ทำให้ขาที่ยกขึ้นมาแล้วก้าวออกไปไม่ได้อีกต่อไปองค์ชาย......องค์ชายแห่งแคว้นฉู่?แล้วนางก็คือ......ฮองเฮาแห่งแคว้นฉู่?ฮองเฮาฉู่เอ็ดว่า "ระวังจะมีคนได้ยิน""เหนียงเหนียงทรงระแวงมากเกินไป ที่นี่ไม่มีใครหรอก พวกเรามาไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋นทุกปีก็ไม่เคยเห็นคนร้ายเลยสักคน ที่นี่ดูแลดีมากเพคะ""ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ""เพคะๆ ๆ บ่าวพูดผิดไป แต่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งพระสนมนับสามพันคนไว้ประดับบารมี แต่ก็ไม่เคยทรงโปรดปรานพระสนมองค์ใดนอกจากพระองค์เลย พระองค์กับฮ่องเต้ทรงมีองค์ชายเพียงองค์เดียว พระองค์มีสถานะสูงส่งมาก สวรรค์จะไม่คุ้มครองพระองค์แล้วจะคุ้มครองใครเล่าเพคะ""ข้าเพียงเขาปลอดภัยและมีสุขภาพดีก็พอแล้ว ส่วนเขาจะเป็นองค์ชายที่สูงส่งที่สุดในแคว้นฉู่หรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว" ฮองเฮาฉู่ปักธูปลงกระถาง แล้วถอนหายใจด้วยความโศกเศร้าเยี่ยเฟิงพิงประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลอาบแก้มใบหน้าของเขาซีดเผือกทันทีองค์ชาย......สูงส่งมาก......แต่เขา......เขาก็แค่ของเล่นของนาย
ขณะที่เยี่ยเฟิงเดินมาถึงประตูวิหารใหญ่ ซิ่งเอ๋อร์และฮองเฮาฉู่ได้พูดคุยกัน ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ม่านตาหดเล็กลง ราวกับว่าเท้าของเขามีน้ำหนักเป็นพันชั่ง เขาจึงก้าวต่อไปไม่ได้"ฮูหยิน ท่านชายน้อยหายตัวไปนานหลายปีแล้ว แม้ว่ายามนี้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านก็อาจจะจำเขาไม่ได้ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?""ยามนั้นที่ข้าคลอดบุตรยากและสลบไป ข้าเห็นดอกเหมยที่บริเวณไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา ดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน ข้ายังคิดว่าทำไมเด็กชายถึงมีปานรูปดอกเหมยที่ไหล่ได้"ปาน......ดอกเหมย?เยี่ยเฟิงหายใจเร็วขึ้นเขาใช้ความพยายามอย่างมากจึงสามารถยืนอยู่หลังประตูได้ร่างกายเย็นเฉียบแนบชิดประตู ราวกับว่าหากไม่แนบชิดประตู เขาก็จะยืนไม่ไหวไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา......ก็มีปานเป็นรูปดอกเหมยเช่นกัน และยังเป็นดอกที่กำลังเบ่งบาน......แม่เฒ่าบอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดก็......มี......"แค่ปานรูปดอกท้อ จะสามารถระบุตัวท่านชายน้อยได้อย่างไร? แล้วหากมีคนปลอมตัวล่ะเจ้าคะ?""เป็นไปไม่ได้ ดอกเหมยดอกนั้นแตกต่างจากดอกเหมยอื่นๆ กลีบดอกน้อยกว่าดอกเหมยทั่วไปหนึ่งกลีบ นอกจากข้าและแม่นมแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ เยี่ยเฟิงหันมองเล็กน้อยฮูหยินผู้นั้นกับลูกชายแท้ๆ ถูกพรากจากกันมานานถึงสิบแปดปี และเขาก็พลัดพรากจากพ่อแม่แท้ๆ มาสิบแปดปี นางอาจเป็นแม่ของเขาใช่หรือไม่?เมื่อมองดูฮูหยินอีกครั้ง ท่าทางสง่างาม พูดจาไพเราะ แม้จะอายุมากแล้ว แต่ใบหน้าก็ดูแลอย่างดี ไม่เหมือนคนยากจนเลยฮูหยินสูงศักดิ์เช่นนี้ จะเป็นแม่แท้ๆ ของเขาได้อย่างไรกันเยี่ยเฟิงหัวเราะเสียงเบาเขาคงคิดถึงพ่อแม่จนเพี้ยนไปแล้วฮองเฮาฉู่ตาแดงก่ำ ความเศร้าโศกแวบผ่านไป "ยามนั้น ลูกชายคนเล็กของข้าหลินเอ๋อร์ถูกขโมยไปที่นอกเมืองชิงหง ราชครูบอกว่า หากอยากจะตามลูกชายคนเล็กกลับมา ก็ต้องมาไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋น ราชครูชำชองวิชาห้าธาตุแปดทิศ สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ เขาไม่โกหกข้าแน่นอน""แต่ท่านมาไหว้พระที่นี่ทุกปี และเมื่อก่อนก็มาสวดมนต์ที่วัดไป๋อวิ๋นทุกวัน ไม่ใช่ว่ายังหาเด็กชายคนนั้นไม่เจอหรอกหรือ"พอนึกถึงเรื่องในอดีต ซิ่งเอ๋อร์ก็ร้องไห้เมื่อเด็กน้อยถูกขโมยไป ฮองเฮาก็คิดถึงทุกวัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ในช่วงสิบปีแรก อยู่ที่วัดไป๋อวิ๋นสวดมนต์ทุกวัน เพื่อเพิ่มบุญให้กับท่านชายน้อย หวังว่าจะได้กลับมาเป็นครอบครัวก
กู้ชูหน่วนพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นไปพักที่วัดไป๋อวิ๋นก่อนก็แล้วกัน”กู้ชูหน่วนก็ไม่รู้จะปลอบเยี่ยเฟิงอย่างไรเรื่องแบบนี้ต้องให้เขาคิดเองนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นฉากนั้น เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆเยี่ยเฟิงแม้จะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่นางก็รู้สึกได้เขามองนางเป็นเพื่อน และเพราะว่ามองนางเป็นเพื่อน จึงไม่อยากให้นางเห็นฉากที่น่าอับอายที่สุดของเขา“ร่างกายยังไหวหรือไม่? ห่กไม่ไหว เราพักที่นี่ก่อนก็ได้”“ไหว ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวเหล่าทหารจะไล่ตามมา”เยี่ยเฟิงเดินนำไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ปรากฏสีหน้าใดๆฝูกวงอธิบาย “วันนั้นในป่าไผ่ที่พลัดหลงกับนายหญิง พวกข้าเจอกับนายท่านของเผ่าหมอหลายคน พวกข้ายืนหยัดต่อสู้ไม่ไหว เยี่ยเฟิงขาช้าก็เลยถูกจับไป ข้าน้อยหานายหญิงไม่เจอ จึงแอบแฝงตัวเข้าไปในเผ่าหมอเพื่อไปช่วยเยี่ยเฟิง แต่ไม่นึกว่าจะเจอนายหญิงในเผ่าหมอ เรื่องต่อจากนั้น นายหญิงก็รู้แล้ว”“อืม ไปกันเถอะ”วัดไป๋อวิ๋น ที่นี่เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของวัดชิงหง มีผู้มาทำกราบไหว้ไม่ขาดสาย ภายในวัดมีสามเณรน้อยเดินไปมาให้เห็นกู้ชูหน่วนประนมมือด้วยท่าทางนอบน้อม "ท่านเณรน้อย ได้ยินมาว่าวัดไป๋อวิ๋นศักดิ์สิทธิ์มาก พ
เมื่อพลังของค่ายกลลดลง กู้ชูหน่วนจึงพบทางลับเข้าไปได้แต่ทางลับนี้กลับไม่ใช่ทางลับที่เพิ่งแยกจากหัวหน้าเผ่าหมอมานางรู้สึกสงสัยค่ายกลนี้แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้?เมื่อครู่ยังป้องกันได้อย่างแน่นหนา ไม่มีที่ให้โจมตี แต่ยามนี้กลับกลายเป็นค่ายกลที่พุพังไปได้?มีใครมาช่วยนางทลายค่ายกลไปครึ่งหนึ่งหรือไม่?มีใครในเผ่าหมอช่วยนางทลายค่ายกลหรือไม่?หรือว่าจะเป็นอาโม่?"นายหญิง เราพบทางลับเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่รีบออกไป หรือว่าจะต้องตามหาอะไรอีกหรือ" ฝูกวงถามด้วยความมึนงงไม่ไกลนัก หัวหน้าเผ่าหมอยกมุมปากด้วยรอยยิ้มที่หยิ่งยโส แล้วยกมือขาวขึ้นเบาๆ ดมกลิ่นดอกไม้ในมือด้วยท่าทางกระหาย และเปล่งเสียงออกมาจากมุมปาก"โง่นัก นางกำลังตามหาข้าอยู่แน่นอน หากหาข้าไม่เจอ นางจะหนีไปได้อย่างไร"กู้ชูหน่วนกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่เงียบสงบ ไม่มีเงาของใครเลย แต่ไกลออกไปมีแสงไฟลุกโชน ไม่รู้ว่ามีทหารจำนวนเท่าใดกำลังตามล่าพวกนางอยู่นางเหลือบมองทางลับ แล้วมองไปยังแสงไฟที่อยู่ไกลออกไป กัดฟันแน่น "ไป"อาโม่เดินเล่นในเขาดูดวิญญาณราวกับเดินเล่นในสวนของตัวเอง คงจะรอนางไม่ไหวแล้วน่าจะจากไปแล้วแล้วนางก็รู้ทางลับหลาย
กู้ชูหน่วนเดินวนกลับมาอีกรอบนางเอามือลูบขมับที่ปวดตุบ แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า "พวกเราติดอยู่ในค่ายกลแล้ว และเป้นค่ายกลที่ทรงพลังมากๆ ด้วย""นายหญิง ท่านมีวิธีทลายค่ายกลนี้หรือไม่"กู้ชูหน่วนส่ายศีรษะนางไม่เคยเห็นค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หากจะให้ทลายคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปี"หากทางลับออกไปไม่ได้ ข้าขออาสาคุ้มกันให้พวกเจ้าออกทางประตูใหญ่""ข้าจำได้ว่ามีทางลับหลายทาง ไปทางนี้กันก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกทางประตูใหญ่""ได้"หัวหน้าเผ่าหมอถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเซวี่ยซาก้มศีรษะลงต่ำ แทบอยากหายตัวไปเลยเสียประเดี๋ยวนี้เขาคิดว่าหัวหน้าเผ่าหมอจะโกรธ แต่กลับได้ยินเสียงของหัวหน้าเผ่าหมอที่เรียบเฉยดังขึ้น"ถูกต้องแล้ว ไปทางนี้แหละ เมื่อครู่ข้ารอนางอยู่ที่ทางลับนั่นเอง"เซวี่ยซา "เอิ่ม......""เซวี่ยซา ไปดูกันดีกว่า""ขอรับ"เซวี่ยซาเดินตามหัวหน้าเผ่าหมอ และตามพวกกู้ชูหน่วนติดๆทว่าพวกกู้ชูหน่วนเดินวนไปวนมา ราวกับอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ นางทำเครื่องหมายไว้ตลอดทาง แต่ก็ยังวนกลับมาอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเปิดทางให้ คงปะทะกับยามเฝ้าเวรไปแล้วเขาเตือนด้วยความระมัดร