"ยามนั้นมิใช่เพียงบรรดาอันธพาลห้าหกคนเท่านั้น ยังมีอีกหนึ่งผู้อันหลงทางมาภายหลัง เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี อีกทั้งยังมีบ่าวรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีแอบกระซิบเล่าลือกันว่า ในห้องของคุณหนูห้าตระกูลกู้มักจะได้ยินเสียงชายหญิงกระซิบกระซาบกันอย่างน่าสงสัย""หน้าด้านเกินไปเสียแล้ว คนเยี่ยงนี้จะมาเรียนที่สำนักบัณฑิตหลวงของเรา ข้าขยะแขยงที่จะเรียนกับนางนัก""ข้าก็ขยะแขยงเหมือนกัน"กู้ชูหน่วนยกนิ้วให้กับหลิ่วเยว่และอวี๋ฮุย"พวกเจ้าทั้งสองก็ใจร้ายเกินไป นางเป็นผู้หญิงนะ ทำลายชื่อเสียงนางเช่นนี้ ต่อไปนางจะอยู่อย่างไร"หลิ่วเยว่และอวี๋ฮุยแทบล้มลง"ลูกพี่ ไม่ใช่พี่บอกให้เรากระจายข่าวหรอกหรือ""พัวะ..."กู้ชูหน่วนดีดหน้าผากพวกเขา"ข้าบริสุทธิ์ใจและใจดีขนาดนี้ จะไปให้พวกเจ้าทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้อย่างไร"บริสุทธิ์ใจและใจดี?ไม่ละอายใจบ้างหรือ?หลิ่วเยว่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ใช่ ใช่ ใช่ ลูกพี่ใจดีที่สุดแล้ว เรื่องเลวทรามเช่นนี้ ลูกพี่จะทำได้อย่างไร เป็นความผิดของกู้ชูหลันเองชัดๆ กรรมตามสนองไปแล้วด้วย"กู้ชูหน่วนโค้งมุมปากยิ้ม ฟังเสียงซุบซิบนินทา ความรู้สึกหม่นหมองในใจก็ค่อยๆ จางหายไป"ไม่เพีย
กู้ชูหลันฟังเสียงเหยียดหยามของผู้คนในสำนักบัณฑิตหลวง นางแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี"ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ""หากเจ้าบริสุทธิ์จริงก็ให้แสดงรอยประทับพรหมจรรย์ออกมาสิ"กู้ชูหลันเม้มริมฝีปาก แต่ก็ตอบอะไรไม่ออกรอยประทับพรหมจรรย์ของนางหายไปนานแล้ว หากนางเปิดแขนออก ก็เท่ากับยอมรับผิดผู้คนในสำนักบัณฑิตหลวงหัวเราะเยาะ "ข้าบอกแล้วอย่างไรว่านางไม่กล้าเปิดเผยรอยประทับพรหมจรรย์หรอก เพราะนางเป็นนางโลม""เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าเป็นข่าวลือ แต่ยามนี้คุณหนูห้าตระกูลกู้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยรอยประทับพรหมจรรย์ แสดงว่าทำจริง ถุย คนอย่างนางมีหน้ามาเรียนในสำนักบัณฑิตหลวงด้วยหรือ รีบไสหัวกลับจวนอัครเสนาบดีเถอะ อย่ามาทำให้ที่นี่เสื่อมเสียชื่อเสียงเลย""ข้าไม่ได้ทำจริงๆ"กู้ชูหลันปิดบังใบหน้าที่ร้อนผ่าวทำไม...ทำไมเพียงแค่ข้ามคืน คนทั้งเมืองหลวงถึงรู้เรื่องของนางได้?ใครแพร่งพรายกัน?ตกลงใครแพร่งพรายเนี่ยนางเงยหน้าขึ้น ก็พบกับกู้ชูหน่วนที่กำลังยิ้มมุมปากพริบตาเดียว ไฟในทรวงของกู้ชูหลันก็ลุกโชนขึ้นมา นางรีบวิ่งเข้าไปหา และด่าทอด้วยความโกรธ“กู้ชูหน่วน เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่? เจ้าจงใจใส่ร้ายป้ายสีข้า เ
นางยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?"นอกจากเจ้าแล้ว ใครใส่ร้ายข้า""เจ้าพึมพำว่าข้าใส่ร้ายเจ้า เจ้าก็หาหลักฐานมาสิ หากเจ้าหาหลักฐานไม่ได้ ก็ยกแขนเสื้อขึ้น หากยังมีรอยประทับพรหมจรรย์อยู่ ก็ถือว่าข้าใส่ร้ายเจ้า"ทุกคนหันไปมองกู้ชูหลันอีกครั้งกู้ชูหลันโกรธจนหน้าเขียว แต่ก็ไม่กล้ายกแขนเสื้อขึ้นกู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะ แล้วเรียกเซียวอวี่เชียนกับพวกมา "ยืนนิ่งทำไม ทำงานได้แล้ว""ทำงาน?"เซียวอวี่เชียนกับพวกมึนงง"ทำงานอะไร?""เดิมพันสักสองสามรอบ"เซียวอวี่เชียนกับพวกตาเป็นประกาย "คราวนี้เราจะแทงว่าใครชนะ""แน่นอนว่า...แทงข้าสิ""ตุบ..."เซียวอวี่เชียนเข่าอ่อนเล็กน้อย แต่หลิ่วเยว่กับอวี๋ฮุยถึงกับล้มคว่ำลงกับพื้นทุกคนมองกู้ชูหน่วนด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า แม้แต่หลิ่วเยว่เองก็ยังส่งสายตาเช่นนั้น"ลูกพี่ แทงว่าพี่แพ้หรือ?”"พัวะ..."กู้ชูหน่วนตบศีรษะเขาไปหนึ่งป้าบ “พูดอะไร แทงข้าชนะสิ”“แทงพี่ชนะ?”เซียวอวี่เชียนกับพวกรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เดิมทีพวกเขายังหวังว่าจะได้เงินก้อนโตจากนางอีกสักครั้งหลังจากเมื่อวานชนะไปมาก ดูแล้วก็แค่โชคช่วย“ยัยขี้เหร่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการจะชนะในรอบชิงยากเย
เมื่อนึกถึงเมื่อวานที่หลิ่วเยว่พูดกับเขาว่า กู้ชูหลันแอบลอบกัด จึงทำให้เขาโดนพ่อดุด่าเซียวอวี่เชียนเบิกตากว้าง มองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความไม่เชื่อหรือว่า...ยัยขี้เหร่จะช่วยเขาแก้แค้น?เซียวอวี่เชียนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้ในเมืองหลวงอันสงบสุขนี้ ทำไมทุกคนถึงพูดถึงแต่ข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับกู้ชูหลันกันหมด ยัยขี้เหร่ฉลาดราวกับสุนัขจิ้งจอก นางจะยอมเดิมพันทั้งที่ตัวเองเสียเปรียบได้อย่างไรเซียวอวี่เชียนรู้สึกอบอุ่นใจ เสียงก็อ่อนโยนลง"ยัยขี้เหร่ ข้ารู้เจตนาของเจ้าแล้ว พวกเราไม่เดิมพันครั้งนี้แล้ว"กู้ชูหน่วนเบ้ปากใส่เขา"ก่อนหน้านี้ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า เจ้าไม่ยอม ยามนี้สายไปเสียแล้ว วันขึ้นหนึ่งค่ำของเดือนหน้าข้าจะแต่งงานกับเทพสงคราม เก็บน้ำลายที่ไหลย้อยของเจ้ากลับไปเถอะ อย่ามาเพ้อฝันในตัวลูกพี่ของเจ้าอีกเลย"เซียวอวี่เชียนงงงวยนางพูดอะไรเนี่ย?น้ำลายไหลย้อย?เขาเคยน้ำลายไหลย้อยเมื่อใดกัน?"เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทพสงครามเป็นคนเช่นไร แล้วเจ้ากล้าจะแต่งงานกับเขาอีกหรือ?" เซียวอวี่เชียนทำเสียงสูงอย่างฉับพลัน"รู้ อยู่ใต้หนึ่งคนอยู่เหนือหมื่นคน มีอำนาจ มีเงิน ใบหน้
สมาชิกของสำนักบัณฑิตหลวงสามารถไปวางเดิมพันที่เวทีประลองได้ เพื่อทายว่าใครจะเป็นผู้ชนะหากมีการเดิมพันส่วนตัว เหล่าอาจารย์ประจำเวทีประลองก็จะทำหน้าที่เป็นพยานหากผู้ใดแพ้แล้วไม่ยอมชำระหนี้ ชายผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิในการสอบคัดเลือกขุนนางตลอดชีวิต ไม่สามารถเข้ารับราชการได้ส่วนหญิงสาวจะถูกตีหน้า ครอบครัวจะต้องแบกรับความอัปยศไปตลอดกาล และไม่มีใครในแคว้นเย่กล้าแต่งงานด้วยดังนั้น การเดิมพันในสำนักบัณฑิตหลวงจึงไม่มีใครกล้าเบี้ยวหนี้พวกหลิ่วเยว่พยายามห้ามปราม แต่ห้ามไม่ได้ ในที่สุดกู้ชูหน่วนก็มาถึงเวทีประลอง นำเงินสองแสนตำลึงของตนและเงินที่ยืมมาจากเซียวอวี่เชียนอีกสองแสนตำลึงไปวางเดิมพันทั้งหมด"น้องห้า หากข้าชนะ ประเดี๋ยวอย่ามานั่งร้องไห้นะ""รอเจ้าชนะก่อนแล้วค่อยพูด"ขณะที่กู้ชูหลันวางเดิมพัน มือของนางสั่นเทา หัวใจเต้นรัววันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของนางในสำนักบัณฑิตหลวงแล้ว ด้วยข่าวลือจำนวนมากในเมืองหลวง นางคงไม่สามารถเรียนต่อในสำนักบัณฑิตหลวงได้อีกแล้วนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะเอาเงินสองแสนตำลึงที่เคยเสียไปกลับคืนมากู้ชูหลันกัดฟัน ตัดสินใจเดิมพันกับกู้ชูหน่วนอย่างเป็นทางการนางทนไม่
"จุ จุ จุ คุณหนูสามตระกูลกู้เป็นคนโง่เขลา คุณหนูห้าตระกูลกู้เป็นหญิงร่านมากรัก ส่วนคุณหนูสองตระกูลกู้ก็คงไม่ใช่คนดีอะไรหรอก""นั่นสิ ต่อไปนี้หากจะแต่งงานก็อย่าไปแต่งกับคุณหนูของจวนอัครเสนาบดีเชียวนะ เพราะลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ดูจากนิสัยของกู้ชูหน่วนกับกู้ชูหลันแล้ว กู้ชูหลันก็คงไม่ต่างกัน"กู้ชูหน่วนไม่สนใจว่าคนอื่นจะนินทานางอย่างไร นางมองไปที่การเดิมพันในสนามประลองอย่างไม่ละสายตาในบรรดาการเดิมพันทั้งหมด มีการแทงพนันเจ๋ออ๋องมากที่สุด ส่วนกู้ชูอวิ๋นเมื่อเทียบกับครั้งก่อนจำนวนน้อยลงไปมาก คงกระทบเพราะเรื่องของกู้ชูหลันแต่สำหรับนาง...ไม่มีใครแทงพนันนางเลยคนในสำนักบัณฑิตต่างร้องตะโกน"เดิมพันคุณหนูสามตระกูลกู่ อัตราการจ่ายหนึ่งต่อห้าร้อย รีบๆ เดิมพันเถอะ หากพลาดโอกาสนี้ต้องรออีกห้าปีเลยนะ"ดวงตาของกู้ชูหน่วนเป็นประกายหนึ่งต่อห้าร้อย?หมายความว่าหากนางชนะ วางเงินหนึ่งตำลึงจะได้เงินถึงห้าร้อยตำลึงกู้ชูหน่วนหันหลังกลับทันที แล้วยื่นมือออกไป "พวกเจ้าต้องมีเงินติดตัวมาแน่ๆ ใช่หรือไม่ ข้าขอยืมก่อน ข้ารับประกันว่าพวกเจ้าจะได้กำไรกลับไปจำนวนมากแน่"เซียวอวี่เชียนสงสัยขึ้นมา “มิใช่ว่าเ
เขาผู้นี้รูปงามอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ มีออร่าสูงส่ง และแม้แต่การเดินก็ยังมีความสง่างามที่เหนือโลก"คารวะอาจารย์ซ่างกวานยามเช้า"ทุกคนกล่าวทักทายอย่างเคารพและหลีกทางให้ซ่างกวานฉู่พยักหน้าช้าๆ "สวัสดียามเช้า"กู้ชูหน่วนยิ้มเอ่ย "ท่านอาจารย์มาที่สนามประลองได้อย่างไร หรือว่าท่านจะมาเล่นพนันด้วย?""วันนี้ศิษย์ทั้งสามของข้าล้วนเข้ารอบชิง ข้าจึงต้องมาให้กำลังใจ"ทุกคนอดเข้ามาใกล้และร้องตะโกนไม่ได้ว่า "ท่านอาจารย์ซ่างกวานจะลงพนันด้วยหรือ? โอ้พระเจ้า ท่านอาจารย์ซ่างกวานมีสายตาอันเฉียบแหลม คนที่ท่านลงพนันต้องชนะแน่นอน เรายังลังเลอะไรอยู่ ไปลงพนันตามท่านเถอะ""ใช่แล้ว แทงตามท่านอาจารย์ซ่างกวานชนะแน่นอน"หลิ่วเยว่เสียใจมาก หากรู้เช่นนี้ก็คงไม่หยิบเงินออกมาแล้วคนในสนามประลองต่างยิ้มอย่างสุภาพ "ท่านอาจารย์ซ่างกวาน ท่านลงพนันใครหรือ"ซ่างกวานฉู่หยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาจากตัวราวกับเสียดาย"ข้าไม่มีอะไรติดตัว เงินหนึ่งพันตำลึงนี้คือเงินเก็บทั้งหมดของข้า ข้าพนัน...คุณหนูสามตระกูลกู้"เฮือก...หลายคนล้มลงพนัน พนัน พนัน พนัน...พนันกู้ชูหน่วนรึ?วันนี้อาจารย์ซ่างกวานป่วยหรือไม่? ทำไมท่าน
ไม่นาน โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งก็ถูกตั้งทางขวามือของนาง นางกำนัลพาเยี่ยเฟิงมายังที่นั่งกู้ชูหน่วนเลิกคิ้วเยี่ยเฟิง ชาวเมืองธรรมดาก็มีที่นั่งด้วยหรือ?แล้วทำไมกู้ชูอวิ๋นถึงไม่มีที่นั่ง?ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของกู้ชูอวิ๋นกำแน่น ความร้อนรนฉายวาบขึ้นบนใบหน้าอ่อนหวานนางนึกว่าขันทีจะตั้งโต๊ะอีกตัวหนึ่ง แต่นางรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา จึงได้แต่กระซิบถามนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ"ช่วยถามหน่อยได้หรือไม่ว่าขาดโต๊ะไปตัวหนึ่งหรือเปล่า"นางกำนัลส่ายหน้าอย่างงุนงง "ไม่นี่เจ้าคะ ที่นั่งข้างหน้าจัดไว้เพียงเท่านี้""ผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศไม่มีที่นั่งหรือ? ข้าเห็นสามอันดับแรกของแคว้นอื่นก็มีกันทั้งนั้น" ว่ากันด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ นางก็มิได้ด้อยกว่าชิวเฟิงแต่อย่างใด แต่เหตุใดชิวเฟิงถึงมีที่นั่ง ทว่านางกลับไม่มี"ข้าทาสไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ"คนไม่น้อยพากันมองมาที่กู้ชูอวิ๋น แต่ละคนสุมหัวกระซิบกระซาบแม้กู้ชูอวิ๋นจะเป็นลูกสาวอนุ ทว่านางนั้นมากความสามารถ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มีแต่คนชื่นชม ไม่มีผู้ใดติฉินนินทานางแต่เพราะกู้ชูหน่วนและกู้ชูหลัน วันนี้ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใดก็มีแต่ชี้นิ้วตำหนิ ทำเอานางโมโหยิ่งนักก
ขณะที่เยี่ยเฟิงเดินมาถึงประตูวิหารใหญ่ ซิ่งเอ๋อร์และฮองเฮาฉู่ได้พูดคุยกัน ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ม่านตาหดเล็กลง ราวกับว่าเท้าของเขามีน้ำหนักเป็นพันชั่ง เขาจึงก้าวต่อไปไม่ได้"ฮูหยิน ท่านชายน้อยหายตัวไปนานหลายปีแล้ว แม้ว่ายามนี้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านก็อาจจะจำเขาไม่ได้ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?""ยามนั้นที่ข้าคลอดบุตรยากและสลบไป ข้าเห็นดอกเหมยที่บริเวณไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา ดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน ข้ายังคิดว่าทำไมเด็กชายถึงมีปานรูปดอกเหมยที่ไหล่ได้"ปาน......ดอกเหมย?เยี่ยเฟิงหายใจเร็วขึ้นเขาใช้ความพยายามอย่างมากจึงสามารถยืนอยู่หลังประตูได้ร่างกายเย็นเฉียบแนบชิดประตู ราวกับว่าหากไม่แนบชิดประตู เขาก็จะยืนไม่ไหวไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา......ก็มีปานเป็นรูปดอกเหมยเช่นกัน และยังเป็นดอกที่กำลังเบ่งบาน......แม่เฒ่าบอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดก็......มี......"แค่ปานรูปดอกท้อ จะสามารถระบุตัวท่านชายน้อยได้อย่างไร? แล้วหากมีคนปลอมตัวล่ะเจ้าคะ?""เป็นไปไม่ได้ ดอกเหมยดอกนั้นแตกต่างจากดอกเหมยอื่นๆ กลีบดอกน้อยกว่าดอกเหมยทั่วไปหนึ่งกลีบ นอกจากข้าและแม่นมแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ เยี่ยเฟิงหันมองเล็กน้อยฮูหยินผู้นั้นกับลูกชายแท้ๆ ถูกพรากจากกันมานานถึงสิบแปดปี และเขาก็พลัดพรากจากพ่อแม่แท้ๆ มาสิบแปดปี นางอาจเป็นแม่ของเขาใช่หรือไม่?เมื่อมองดูฮูหยินอีกครั้ง ท่าทางสง่างาม พูดจาไพเราะ แม้จะอายุมากแล้ว แต่ใบหน้าก็ดูแลอย่างดี ไม่เหมือนคนยากจนเลยฮูหยินสูงศักดิ์เช่นนี้ จะเป็นแม่แท้ๆ ของเขาได้อย่างไรกันเยี่ยเฟิงหัวเราะเสียงเบาเขาคงคิดถึงพ่อแม่จนเพี้ยนไปแล้วฮองเฮาฉู่ตาแดงก่ำ ความเศร้าโศกแวบผ่านไป "ยามนั้น ลูกชายคนเล็กของข้าหลินเอ๋อร์ถูกขโมยไปที่นอกเมืองชิงหง ราชครูบอกว่า หากอยากจะตามลูกชายคนเล็กกลับมา ก็ต้องมาไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋น ราชครูชำชองวิชาห้าธาตุแปดทิศ สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ เขาไม่โกหกข้าแน่นอน""แต่ท่านมาไหว้พระที่นี่ทุกปี และเมื่อก่อนก็มาสวดมนต์ที่วัดไป๋อวิ๋นทุกวัน ไม่ใช่ว่ายังหาเด็กชายคนนั้นไม่เจอหรอกหรือ"พอนึกถึงเรื่องในอดีต ซิ่งเอ๋อร์ก็ร้องไห้เมื่อเด็กน้อยถูกขโมยไป ฮองเฮาก็คิดถึงทุกวัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ในช่วงสิบปีแรก อยู่ที่วัดไป๋อวิ๋นสวดมนต์ทุกวัน เพื่อเพิ่มบุญให้กับท่านชายน้อย หวังว่าจะได้กลับมาเป็นครอบครัวก
กู้ชูหน่วนพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นไปพักที่วัดไป๋อวิ๋นก่อนก็แล้วกัน”กู้ชูหน่วนก็ไม่รู้จะปลอบเยี่ยเฟิงอย่างไรเรื่องแบบนี้ต้องให้เขาคิดเองนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นฉากนั้น เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆเยี่ยเฟิงแม้จะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่นางก็รู้สึกได้เขามองนางเป็นเพื่อน และเพราะว่ามองนางเป็นเพื่อน จึงไม่อยากให้นางเห็นฉากที่น่าอับอายที่สุดของเขา“ร่างกายยังไหวหรือไม่? ห่กไม่ไหว เราพักที่นี่ก่อนก็ได้”“ไหว ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวเหล่าทหารจะไล่ตามมา”เยี่ยเฟิงเดินนำไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ปรากฏสีหน้าใดๆฝูกวงอธิบาย “วันนั้นในป่าไผ่ที่พลัดหลงกับนายหญิง พวกข้าเจอกับนายท่านของเผ่าหมอหลายคน พวกข้ายืนหยัดต่อสู้ไม่ไหว เยี่ยเฟิงขาช้าก็เลยถูกจับไป ข้าน้อยหานายหญิงไม่เจอ จึงแอบแฝงตัวเข้าไปในเผ่าหมอเพื่อไปช่วยเยี่ยเฟิง แต่ไม่นึกว่าจะเจอนายหญิงในเผ่าหมอ เรื่องต่อจากนั้น นายหญิงก็รู้แล้ว”“อืม ไปกันเถอะ”วัดไป๋อวิ๋น ที่นี่เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของวัดชิงหง มีผู้มาทำกราบไหว้ไม่ขาดสาย ภายในวัดมีสามเณรน้อยเดินไปมาให้เห็นกู้ชูหน่วนประนมมือด้วยท่าทางนอบน้อม "ท่านเณรน้อย ได้ยินมาว่าวัดไป๋อวิ๋นศักดิ์สิทธิ์มาก พ
เมื่อพลังของค่ายกลลดลง กู้ชูหน่วนจึงพบทางลับเข้าไปได้แต่ทางลับนี้กลับไม่ใช่ทางลับที่เพิ่งแยกจากหัวหน้าเผ่าหมอมานางรู้สึกสงสัยค่ายกลนี้แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้?เมื่อครู่ยังป้องกันได้อย่างแน่นหนา ไม่มีที่ให้โจมตี แต่ยามนี้กลับกลายเป็นค่ายกลที่พุพังไปได้?มีใครมาช่วยนางทลายค่ายกลไปครึ่งหนึ่งหรือไม่?มีใครในเผ่าหมอช่วยนางทลายค่ายกลหรือไม่?หรือว่าจะเป็นอาโม่?"นายหญิง เราพบทางลับเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่รีบออกไป หรือว่าจะต้องตามหาอะไรอีกหรือ" ฝูกวงถามด้วยความมึนงงไม่ไกลนัก หัวหน้าเผ่าหมอยกมุมปากด้วยรอยยิ้มที่หยิ่งยโส แล้วยกมือขาวขึ้นเบาๆ ดมกลิ่นดอกไม้ในมือด้วยท่าทางกระหาย และเปล่งเสียงออกมาจากมุมปาก"โง่นัก นางกำลังตามหาข้าอยู่แน่นอน หากหาข้าไม่เจอ นางจะหนีไปได้อย่างไร"กู้ชูหน่วนกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่เงียบสงบ ไม่มีเงาของใครเลย แต่ไกลออกไปมีแสงไฟลุกโชน ไม่รู้ว่ามีทหารจำนวนเท่าใดกำลังตามล่าพวกนางอยู่นางเหลือบมองทางลับ แล้วมองไปยังแสงไฟที่อยู่ไกลออกไป กัดฟันแน่น "ไป"อาโม่เดินเล่นในเขาดูดวิญญาณราวกับเดินเล่นในสวนของตัวเอง คงจะรอนางไม่ไหวแล้วน่าจะจากไปแล้วแล้วนางก็รู้ทางลับหลาย
กู้ชูหน่วนเดินวนกลับมาอีกรอบนางเอามือลูบขมับที่ปวดตุบ แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า "พวกเราติดอยู่ในค่ายกลแล้ว และเป้นค่ายกลที่ทรงพลังมากๆ ด้วย""นายหญิง ท่านมีวิธีทลายค่ายกลนี้หรือไม่"กู้ชูหน่วนส่ายศีรษะนางไม่เคยเห็นค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หากจะให้ทลายคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปี"หากทางลับออกไปไม่ได้ ข้าขออาสาคุ้มกันให้พวกเจ้าออกทางประตูใหญ่""ข้าจำได้ว่ามีทางลับหลายทาง ไปทางนี้กันก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกทางประตูใหญ่""ได้"หัวหน้าเผ่าหมอถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเซวี่ยซาก้มศีรษะลงต่ำ แทบอยากหายตัวไปเลยเสียประเดี๋ยวนี้เขาคิดว่าหัวหน้าเผ่าหมอจะโกรธ แต่กลับได้ยินเสียงของหัวหน้าเผ่าหมอที่เรียบเฉยดังขึ้น"ถูกต้องแล้ว ไปทางนี้แหละ เมื่อครู่ข้ารอนางอยู่ที่ทางลับนั่นเอง"เซวี่ยซา "เอิ่ม......""เซวี่ยซา ไปดูกันดีกว่า""ขอรับ"เซวี่ยซาเดินตามหัวหน้าเผ่าหมอ และตามพวกกู้ชูหน่วนติดๆทว่าพวกกู้ชูหน่วนเดินวนไปวนมา ราวกับอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ นางทำเครื่องหมายไว้ตลอดทาง แต่ก็ยังวนกลับมาอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเปิดทางให้ คงปะทะกับยามเฝ้าเวรไปแล้วเขาเตือนด้วยความระมัดร
เยี่ยเฟิงยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็ได้ยินเสียงดังปัง! โย่วหู้ฝ่าถอยหลังไปชนกับศาลาไม้ด้านนอกด้วยอย่างแรงจนทำให้ศาลาพังทลาย"เฮือก......"เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ แล้วก็หายใจรวยรินฝูกวงยังคงสภาพสมบูรณ์ ดวงตาจ้องไปที่ลำคอของโย่วหู้ฝ่า ยืนมองลงมาจากที่สูงชัยชนะเป็นที่ประจักษ์เส้นประสาททั้งหมดของโย่วหู้ฝ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดแปดจะมีพลังมากขนาดนี้"ข้าเป็นถึงโย่วหู้ฝ่าของหัวหน้าเผ่าหมอ เจ้ากล้าที่จะฆ่าข้า ก็เท่ากับว่าเจ้ามาขัดขวางเผ่าหมอทั้งเผ่า"ฝูกวงยิ้มเยาะ "สู้กันมานานขนาดนี้ มีคนจากเผ่าหมอมาช่วยเจ้าสักคนหรือไม่?"คำพูดประโยคนี้ทำให้โย่วหู้ฝ่าตระหนักขึ้นทันทีวังที่ปกป้องอย่างแน่นหนา ทำไมถึงไม่มีทหารเฝ้าสักคน?หัวใจของเขาเต้นถี่ขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูกทว่าสิ่งที่เขาไม่สามารถเชื่อได้ยิ่งกว่าก็คือกู้ชูหน่วนชักดาบอีกเล่มของฝูกวงออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งเผยให้เห็นความเย็นเยือกราวกับความตายนางเอ่ยย้ำทีละพยางค์ว่า "กล้าแตะต้องเยี่ยเฟิง เจ้าต้องพร้อมที่จะตาย"โย่วหู้ฝ่าพยายามจะขัดข
ในห้องนอน เยี่ยเฟิงถูกกางแขนขามัดติดกับเตียง มือและเท้าถูกโซ่ตรึงไว้ เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยกระจายอยู่เต็มพื้นโย่วหู้ฝ่ากำลังจะทำตามอำเภอใจเยี่ยเฟิงพยายามดิ้นรน แต่ก็ทำไม่ได้ กลับยิ่งทำให้แผลฉีก เลือดไหลซึมออกมา"เพียะ......"โย่วหู้ฝ่าตบเยี่ยเฟิงด้วยฝ่ามือแล้วด่าทอ“ถุย มาทำเป็นสูงส่งอะไรห้ะ คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเคยรับใช้นายท่านหลันอย่างไร ด้วยหน้าตาของเจ้า ข้ายอมลดตัวลงมา เจ้าก็ควรจะดีใจได้แล้ว”ประโยคนี้แทงใจเยี่ยเฟิงอย่างเจ็บปวดความทรงจำในอดีตพรั่งพรูเข้ามาในสมองราวกับคลื่นซัดสาดทุกฉากทุกตอนทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีค่าหากชีวิตเลือกได้ ใครจะอยากมีชีวิตแบบนี้ใครอยากอยู่ใต้อำนาจของคนอื่น และยอมรับชะตากรรมอย่างเต็มใจ“ไอ้ชาติชั่ว! แค่ดอกไม้ริมทาง ยังจะกล้าจ้องหน้าข้าอีก บอกให้รู้ไว้ว่าคืนนี้ผ่านไป ข้าจะให้เจ้าไปรับใช้ลูกน้องข้า เจ้าชอบทำเป็นสูงส่งนักใช่หรือไม่ ดูซิว่าเจ้าจะทำได้อีกนานแค่ไหน”โย่วหู้ฝ่าตบเยี่ยเฟิงไปอีกหลายครั้ง พร้อมกับคำด่าและเร่งความเร็วในการกระทำ"ติ๊ง......"น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้มของเยี่ยเฟิง แผลบนร่างกายเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่เท่ากับหัวใจท
เซวี่ยซาตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาขบคิดอย่างหนัก แต่นึกไม่ออกว่าแม่นางกู้คล้ายกับเพื่อนเก่าคนไหนของนายท่านกันแน่เขาอยู่เคียงข้างนายท่านตั้งแต่เด็ก นายท่านดูเหมือนจะ......ไม่มีเพื่อนเลยสักคน......เซวี่ยซาก้มศีรษะลง ไม่กล้าเอ่ยคำใดและรอรับคำสั่งเงียบๆทว่าหัวหน้าเผ่าหมอกลับยังไม่ออกคำสั่ง เพียงแต่เเอ่ยกับตนเองเบาๆ ว่า "นางไม่เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น นางกระฉับกระเฉงกว่ามาก ที่เหมือนกันก็คือ......ดวงตาคู่นั้น"ผู้หญิง?หรือว่าจะเป็นเจ้าสำนักซิวหลัว?นายท่านมิใช่สังหารนางไปแล้วรึ?เงียบอยู่นาน เซวี่ยซาจึงเอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวังว่า “นายท่าน ท่านบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับเจ้าสำนักซิวหลัว และไปรักษาตัวที่ป่าไผ่ เรื่องนี้เป็นฝีมือของนายท่านชิ่งฮวาที่แพร่งพรายออกไป”“ผู้ที่เข้าร่วมก่อกบฏมีทั้งนายท่านชิ่งฮวา นายท่านดอกท้อ นายท่านทับทิม และนายท่านดอกบัว รวมถึงโย่วหู้ฝ่าด้วย ไม่ทราบว่านายท่านจะลงโทษพวกเขาอย่างไร”“พวกสวะ กล้าหักหลังนายท่าน ฆ่าทิ้งเสียเถอะ”“นายท่านทั้งสี่......ฆ่าหมดเลยหรือ?” เซวี่ยซาหายใจถี่ขึ้นสิบสองกองธงสังหารไปสี่ เช่นนั้นเผ่าหมอก็แทบต้องเปลี่ยนเลือดใหม่หมดเลย"ท่าน
ทหารเวรยามทั้งสองตกใจมาก กำลังจะถามว่าเป็นใคร ก็เห็นหัวหน้าเผ่าหมอผู้สูงส่งยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองขาอ่อน คุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยเสียงดังโครม ร่างกายสั่นเทาคล้ายใบไม้สั่นในตะแกรง พูดออกมาแต่ละคำก็สั่นจนฟันกระทบกัน"ข้า......ข้าน้อย......ขอคารวะท่านหัวหน้าเผ่าหมอ"หัวหน้าเผ่าหมอยืนหันหลังให้พวกเขา ด้วยท่าทางสง่างาม มองดูมือที่เรียวยาวและขาวดั่งหยกของตน เขายืนอยู่ที่นั่นเพียงแค่คนเดียว แต่กลับมีอำนาจอันน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าผู้สูงส่งที่ทำลายล้างทุกสิ่งได้ด้วยการดีดนิ้วหัวหน้าเผ่าหมอเอ่ยด้วยเสียงเกียจคร้านว่า "รู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าทำความผิดอะไร?"เมื่อได้ยินคำถามนี้ ยามทั้งสองแทบตกใจจนฉี่ราดด้วยสถานะของหัวหน้าเผ่าหมอ คงไม่แม้แต่สนใจที่จะพูดคุยกับพวกเขา แต่วันนี้หัวหน้าเผ่าหมอเลือกที่จะพูดคุยกับพวกเขาไม่ ไม่ใช่พูดคุย แต่เป็นการซักถามพวกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะพวกเขาคุยเรื่องของโย่วหู้ฝ่าและหัวหน้าเผ่าหมอได้ยินเข้า?ยามคนแรกสั่นกลัวจนพูดไม่ออก "เพราะ......เพราะข้าพูดถึงโย่วหู้ฝ่า.....""ไม่ใช่" หัวหน้าเผ่าหมอให้คำตอบที่ไม่ค่อยพบเห็นนักด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขคนที่สองกลืนน้ำลาย