เมื่อคืนพวกเฉินซือหยางวิ่งไล่กันอย่างเมามันมากเกินควร เล่นเอาทุกคนหอบหนักไม่อยากจะขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหน จึงพร้อมใจนอนชมดาวบนระเบียงกว้าง ร่ำสุราเคล้าแสงจันทร์กันจนเมามาย ก่อนที่ทุกคนจะผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น เดือดร้อนจางกงกงและหวังกงกงต้องคอยใช้ผ้าปัดยุงให้เจ้านายทั้งหลายทั้งคืนจนดวงตาดำคล้ำราวกับสยงเมา[1] สภาพที่ปรากฏในตอนเช้าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าอเนจอนาถมากเพียงไร
ส่วนบรรดานายท่านที่หลับสบายโดยสร้างเรื่องลำบากให้ผู้อื่นน่ะหรือ ลองกวาดตาดูสิว่ามีคนไหนไม่หลับฝันหวานบ้าง จ้าวลี่หมิงนอนทับอยู่บนตัวเฉินซือหยาง มือบางซุกเข้าไปในอกเสื้อที่เลื่อนหลุดของคนร่างสูงอย่างคลุมเครือ ไหนจะเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัยตอนที่อีกฝ่ายละเมออยู่นั่น ยังมีน้ำลายไหลหยดบนอกกว้างเป็นย่อมๆ อีก หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ พวกเรารู้นะว่าเมื่อคืนท่านฝันลามกอะไร!
ขันทีเฒ่าทั้งสองเบนสายตาหนีจากภาพน่าอับอายนั่น ก็มาเจอกับร่างสูงของเฉินเทีย
“วาดอะไรอยู่หรือเห็นยุ่งง่วนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว” เหล่าหวังถามสหาย พวกเขาเป็นจิตรกรที่อาศัยปลายพู่กันในการหาเลี้ยงชีพ ทุกวันทั้งคู่จะออกมาตั้งแผงขายภาพวาดที่ตลาดยามเช้าหรือไม่ก็แวะเวียนไปตามบ้านของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน เพื่อวาดภาพหญิงงามตามการว่าจ้างของบรรดาแม่สื่อ ด้วยความที่พวกเขามีฝีมือมากพอตัวประกอบกับราคาค่างวดที่ต้องจ่ายก็นับว่าย่อมเยา คุณภาพเกินราคา กิจการจึงเจริญรุ่งเรืองดียิ่ง วันนี้พวกเขามาเยือนวัดหานซิงก็นับว่าไม่เสียเที่ยว เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายคล้อยมีบรรดาหญิงสาวมาอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น เหล่าหวังและเหล่าเวินผู้เป็นสหายจึงยุ่งกันมือเป็นระวิง แต่เพราะวาดภาพเหมือนจนชำนาญเพียงสะบัดปลายพู่กันไม่กี่คราภาพหญิงงามและวิวทิวทัศน์รอบด้านก็ปรากฏบนผืนผ้าราวกับมีชีวิต หลังจากยุ่งง่วนกันอยู่ทั้งบ่าย เมื่อเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วจึงเตรียมลงจากวัดหานซิงกลับบ้านพักผ่อน จิตรกรแซ่หวังเก็บข้าวของเสร็จ พอหันมาอีกทีก็พบว่าสหายที่ควรจะเตรี
หลานซือเยว่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุระหว่างคนกับสิงโต ฝ่ายเฉินซือหยางก็สะกิดจ้าวลี่หมิงยิกๆ พยักพเยิดให้คนหัวทึบดูหลินเสวี่ยเฟิ่งเป็นตัวอย่าง “พระชายาป้อนข้าบ้างสิ” “หือ?ขนมก็อยู่ในมือท่านไง กินเองสิ” “เจ้าอุตส่าห์มอบหัวใจดวงนี้ให้ ข้าจะตัดใจกินมันลงได้อย่างไร” ไม่พูดเปล่าเขายังใช้กระดาษซับมันห่อขนมเฉียวกั๋วแล้วเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี ทำแบบนี้ไม่กลัวจะโดนมดกัดหรือยังไงนะ จ้าวลี่หมิงสงสัยแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอันใด ยอมป้อนขนมอีกฝ่ายแต่โดยดี “น่ารักที่สุด” เฉินซือหยางหยิกแก้มอวบ ทั้งคณะเดินเล่นไปตามถนนชมงานเทศกาลสองฟากฝั่งตรงกลางเป็นแม่น้ำสายเล็กตัดผ่านกลางเมืองหานโจว มีเรือลำน้อยล่องผ่านเป็นระยะ ด้านหน้าและทางที่พวกเขาเดินผ่านมามีสะพานข้ามฟากหลายแห่ง ด้านข้างสะพานมีท่าเรือให้ผู้คนสัญจรไปมา
ภาพเงาร่างสูงสง่าของเฉินเทียนอี้ยืนเคียงข้างหลินเสวี่ยเฟิ่งตกอยู่ภายใต้สายตาคมลึกคู่หนึ่ง เฝิงไห่เหม่อมองเงาร่างที่กำลังโอบประคองกันของทั้งสองด้วยสายตาหม่นมัว คลื่นอารมณ์มากมายกระเพื่อมไหวในดวงตาคู่คม ทั้งความสับสน ยินดี ผิดหวัง ทดท้อ โศกศัลย์ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดซึ่งบีบคั้นอยู่ภายในอก จนเขาแทบหายใจไม่ออกปะปนกันไม่อาจบรรยายได้ “ท่านลุงเฝิงมัวยืนเหม่ออะไรอยู่ พวกเราจะกลับกันแล้วนะ” จ้าวลี่หมิงโบกมือเรียกเฝิงไห่เสียงดัง รอยยิ้มสว่างสดใสของเขาเรียกสติของเฝิงไห่กลับมาในที่สุด “รอก่อนพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์กำลังนำรถม้ามา” เฝิงไห่สูดลมหายใจลึกข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านในอกเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกตเห็นถึงความปั่นป่วนภายในจิตใจของเขา “หาที่นั่งรอกันก่อนดีกว่า” เฉินซือหยางเสนอแนะ
ดวงหน้างดงามเหนือโลกีย์ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นในกระจกวารีพิสดาร ประกายตาสีน้ำเงินสดใสทอดมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสวีเฟยหลงเสียดแทงนัยน์ตาผู้เป็นเจ้าของกระจกเป็นพิเศษ อารมณ์ริษยาพลุ่งพล่านอยู่ภายในอก แต่ไม่อาจกลบทับความตื่นเต้นยินดีอันแสนคลุ้มคลั่งที่ฉายชัดอยู่บนดวงหน้าของนางได้ “เห็นหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหนข้าก็สามารถลากคอเจ้าออกมาได้อยู่ดี” หลินช่านเฟิ่งแสยะยิ้มชั่วร้าย ใบหน้างดงามเหนือโลกีย์บิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่เหมือนผีร้ายที่หลุดออกมาจากขุมนรกมากกว่า ดวงตาเย็นเฉียบดั่งอสรพิษจ้องเงาร่างสูงสง่าของหลินเสวี่ยเฟิ่งไม่วางตา “ดูสิว่าคราวนี้เจ้าจะมีปัญญาหนีไปไหนพ้น” เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วตำหนักตะวันฉายก่อนเงาร่างของหลินช่านเฟิ่งจะค่อยๆ เลือนหายไปจนไม่เห็นเงา สวีเฟยหลงกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมอก
จ้าวลี่หมิงไล่ตามกระต่ายตัวน้อยไปตลอดทาง ด้วยเคล็ดวิชาฝ่าเท้าท่องวารีจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะไล่ตามทัน เพียงไม่นานก็สามารถเข้าใกล้กระต่ายตัวน้อยได้โดยไม่ทันรู้ตัว จ้าวลี่หมิงเล็งธนูไปยังกระต่ายชะตาขาด ลูกศรหลุดออกจากแล่งพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมาย แต่ภาพเหตุการณ์นองเลือดกลับไม่เกิดขึ้น ลูกศรที่จ้าวลี่หมิงมั่นใจมากว่าจะต้องโดนเป้าหมายแน่ๆ กลับถูกกระต่ายตัวนั้นงับไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ กระต่ายป่าหันขวับ ดวงตาสีแดงฉานจ้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างอาฆาตมาดร้าย ลูกธนูถูกฟันซีแหลมคมเกินกว่าที่จะเป็นฟันกระต่ายเคี้ยวลูกธนูกร้วมๆ แล้วกลืนลงท้องไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของจ้าวลี่หมิง “ว้ากกกก นี่มันตัวบ้าอะไรกันวะเนี่ย!” จ้าวลี่หมิงร้องเสียงดังเมื่อกระต่ายตัวนั้นกระโจนเข้าใส่ด้วยร่างกายที่ยืดขยายออกจนใหญ่โตเท่าหมี ฟันแหลมคมเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าอ้ากว้างจะกัดเข้าที่ลำคอของเขา “อันตราย!
ขณะเดียวกันอีกามรณะพุ่งเข้าใส่ร่างของเฉินซือหยางหายไปเพียงชั่วครู่ จู่ๆ ก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยอยู่เหนือน้ำ เงาร่างคล้ายกับหลินเสวี่ยเฟิ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง เส้นเลือดสีดำคล้ำกระจายไปทั่วร่างน่าหวาดผวาชวนให้ผู้พบเห็นขนพองสยองเกล้า สายตาดำมืดไร้ขอบเขตจับจ้องไปยังหลานซือเยว่ไม่คลาดสายตา ปีศาจร้ายกรีดร้องเสียงโหยหวนแสดงพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม พุ่งเข้าใส่หลานซือเยว่ที่นอนทับร่างของเฉินเทียนอี้ยังลุกไม่ขึ้น หลานซือเยว่หลับตากอดเฉินเทียนอี้แน่นเตรียมใจรับความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ “หยุดนะ!” สวีเฟยหลงคำรามลั่นซัดพลังใส่ร่างปีศาจร้ายนั่นจนมันปลิวไปกระแทกต้นไม้ กลุ่มก้อนชั่วร้ายสลายหายไปไม่เหลือร่องรอย “เสวี่ยเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” สวีเฟยหลงเข้าไปพยุงร่างโปร่งขึ้นจากพื้น กวาดตาสำรวจไปทั่วร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่ง ความห่วงใยร้อนอกร้อนใจฉายชัดบนดวงหน้าคม
ตั้งแต่จำความได้ข้าหลินช่านเฟิ่งก็ตกเป็นเบี้ยล่างหลินเสวี่ยเฟิ่งเรื่อยมา ตอนเด็กข้าต้องอาศัยอยู่ในเรือนเล็กท้ายตำหนัก เติบโตมากับแม่นมและสาวใช้ทั้งสี่โดยไร้ผู้คนเหลียวแล เพียงเพราะว่าตบะของข้าอ่อนด้อยกว่าเหล่าเทพเซียนที่เกิดในวัยไล่เลี่ยกัน จนไม่อาจเชิดหน้าชูตาดั่งเช่นพี่สาวผู้แสนดีของข้าได้ นางเกิดมาพร้อมกับโชควาสนาอันสูงส่ง หงส์น้ำแข็งหนึ่งเดียวบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่ามกลางหงส์เพลิงนับร้อยพันในรอบแสนปี เพียงแค่นางถือกำเนิดตำแหน่งเทพเหมันต์หนึ่งในเทพสี่ฤดูก็ตกลงบนศีรษะนางแล้วไหนเลยจะต้องแย่งชิงเหมือนกับหงส์ตัวอื่น ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับนางยังสลักลึกอยู่ในจิตวิญญาณไม่เคยจางหาย เงาร่างเล็กๆ ในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพร่างพราวบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งกาย เรือนผมสีเงินยาวสยายเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน นางมีใบหน้าที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็อดที่จะรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ ทั้งดวงตาสีน้ำเงินสดใสดุจทะเลสาบสีครามในยามคิมหันต์ ต่างกับข้าที่สกปรกเลอะเทอะไปด้วย
หลินช่านเฟิ่งควงแส้หั่วจูบุกเดียวไประบายอารมณ์กับชาวเผ่ามาร สังหารปีศาจสุกรลูกน้องใต้สังกัดของจอมมาร 'เซินโหลว' หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพมารจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ “ซ่างเซียนน้อยท่านนี้ช่างอารมณ์ร้ายเสียจริง ปีศาจน้อยเหล่านี้ของข้าทำอะไรให้ท่านเซียนขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือถึงได้ฆ่าแกงตามใจชอบเช่นนี้” เงาร่างผอมสูงในชุดผ้าคลุมสีนิลออกมาจากที่ซ่อนตัว หลังจากดูฉากการฆ่าล้างเผ่ามารจนจุใจแล้ว หน้ากากสีทองครึ่งหน้าเปล่งประกายเด่นหราระบุตัวตนของผู้ที่มาเยือน “จอมมารหลัวเหยียน!” “ไม่นึกว่านามของข้าจะเป็นที่เลื่องลือในหมู่เทพเซียน แม้แต่ท่านก็ยังรู้จัก ถือว่าเป็นเกียรติยิ่งแล้ว” หลังจากสงบใจได้ หลินช่านเฟิ่งก็ไม่แยแสว่าผู้มาใหม่จะกล่าวเช่นไร ในเมื่อข้าอยากหาเรื่องผู้ใดจะขวางข้าได้ “จอมมารโฉดชั่วอย่างเจ้าข้าย่อมต้องจดจำให้ขึ้นใจอยู่แล้ว” หลิน
สวีเฟยหลงยังไม่ทันได้จับสัมผัสทวนดับสุริยัน หลัวเหยียนก็แปรพักตร์อย่างรวดเร็ว ปลายทวนเปลี่ยนทิศว่องไวดุจอสรพิษพุ่งเข้าจู่โจมร่างสูง คมทวนแทงอกซ้ายของสวีเฟยหลงจนได้เลือด “เสด็จพ่อ! / อาหลง!!” สวีจิ้งเฟิ่งกับหลินเสวี่ยเฟิ่งตะโกนเสียงดังลั่น ร่างบางปรี่เข้าพยุงสามีที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมประกายกระบี่คมกล้าหมายเอาชีวิตจอมมารผู้ชั่วช้าของสวีจิ้งเฟิ่ง “อ๊าก!!!!” หลัวเหยียนร้องโหยหวน เลือดสดๆ ไหลทะลักจากปากแผล ดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเป็นหัวที่ต้องหลุดจากบ่าไม่ใช่ไหล่ขวาอย่างที่เป็นอยู่ สวีจิ้งเฟิ่งจับจ้องหลัวเหยียนด้วยประกายตาเหี้ยมลึก แม้จะระแวดระวังมากเพียงไรแต่ก็ยังลงมือได้ไม่เร็วพอ ทำให้เสด็จพ่อต้องบาดเจ็บอีกครา ชายหนุ่มโมโหเจียนคลั่ง โดยไม่รอช้ามือหนากระชากกระบี่ออกอย่างแรงจนเลือดของมารร้
หนึ่งร้อยปีผ่านพ้น น่านฟ้าเมืองผิงอานปกคลุมไปด้วยเมฆเคราะห์หนาแน่นมานานปี บัดนี้กลับมาสว่างสดใส เมฆมงคลไหลเอื่อย สายรุ้งพาดผ่านเปล่งประกายหลากหลายสีสันงามระยับน่าจับตาดุจฟ้าหลังฝน ทิวากรสาดแสงเจิดจ้า พระพายโชยชื่นเย็นสบาย หมู่มวลวิหคโบยบินออกจากรัง สรรพสัตว์น้อยใหญ่หวนคืนถิ่นฐาน พายุอัสนีในที่สุดก็หยุดลง มังกรทองขดตัวอยู่เนิ่นนานนับร้อยปีเริ่มมีการขยับไหว เสียงร้องคำรามดังกึกก้อง คราบโลหิตสีชาดทองจับตัวแข็งหนาเป็นคืบปริแตก แสงสีทองมลังเมลืองเล็ดลอดออกมาตามรอยแยกสาดส่องไปทั่วพื้นพิภพ เผยให้เห็นเกล็ดสีทองเรียบลื่นเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ราวกับตอบรับเสียงร้องอันทรงพลัง ต้นอู๋ถงหมื่นลี้แทงยอดตระหง่านสูงเสียดฟ้า กิ่งก้านเขียวชอุ่มแผ่ร่มเงาไปทั่วทุกแห่งหน กลิ่นหอมระรื่นกรุ่นกำจาย
เหนือฟากฟ้าเมืองผิงอาน แคว้นต้าเฉินถูกเมฆหมอกหนาทึบปกคลุมดุจเมฆฝนยามพายุตั้งเค้า เสียงฟ้าร้องครั่นครืนดังกึกก้อง สายฟ้าแลบแปลบปลาบกระจายไปทั่วท้องฟ้าน่าครั่นคร้าม วายุโหมกระหน่ำพัดทลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ต้นไม้ใบหญ้าหลุดร่วง ฝุ่นทรายคละคลุ้งม้วนตัวกวาดผ่านร่างของพวกเขาไป สวีเฟยหลงหรี่ตามองท้องฟ้าเบื้องบนด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ใบหน้าเครียดขึง คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ทุกคนระวังตัวด้วย” สวีเฟยหลงกางม่านพลังซ้อนทับเขตอาคมของหลินเสวี่ยเฟิ่งอีกชั้น สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ! โดยไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ วัชระม่วงครามสายแรกก็ผ่าลงมากลางวง ทัณฑ์สวรรค์พิฆาตเซียน!! 
เฉินซือหยางหลงวนอยู่ในเงามืด ความทรงจำต่างๆ โถมทะลักเข้าหาดุจโคมม้าหมุน ทำเอาเขาปวดศีรษะจนแทบระเบิด ร่างกายจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งอนธการ เงาร่างโปร่งใสปรากฏขึ้นหน้าเรือนไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเฟิง บนยอดเขาซีเทียนเฟิง เฉินซือหยางเดินดูโดยรอบอย่างแสนคิดถึง ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต และโต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐยังคงเหมือนในความทรงจำ “จิ้ง... จิ้งเฟิ่ง... สวีจิ้งเฟิ่ง! ตื่นได้แล้วเจ้าตัวขี้เกียจ” เฉินซือหยางหันไปตามเสียงเรียก เห็นเงาร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงหรือแท้จริงแล้วคือ ‘ไป่ชิงถงเกอเกอ’ คนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาใช้เท้าแตะประตูห้องนอนอย่างกักขฬะ ตรงเข้าไปเขย่าตัวปลุกเขาในวัยเด็กที่นอนหลับอุตุอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนา “อย่ามัวแต่เมาขี้ตา รีบๆ ลุกขึ้นมา
สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาสัมผัสโดนใบหน้าคมเข้มที่กำลังสลบไสลเรียกสติเขาให้กลับฟื้นคืน สวีเฟยหลงตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองติดอยู่ในช่องเขาคับแคบแห่งหนึ่ง แขนขาหักผิดรูปผิดร่าง เจ็บปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย เขากัดฟันบิดแขนขาให้เข้ารูป ยังไม่ทันได้ลงมือทำแผลให้กับตนเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอึกทึกก้องสะท้อนไปทั่วหินผา “ค้นให้ทั่ว จับโจรชั่วที่รวมหัวกับเผ่ามารสังหารพี่น้องเราชาวสวรรค์มาลงทัณฑ์ให้ได้” เสียงผู้คนพูดคุยกันดังแว่วใกล้เข้ามาทุกทีๆ สวีเฟยหลงรู้ดีว่าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องหอบสังขารที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลบหนีออกจากที่แห่งนี้ สวีเฟยหลงหนีเข้าป่าลึก ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำร่างสูงโซซัดโซเซล้มลงในแอ่งโคลน “มันอยู่นั่น!” ทหารสวรรค์กรูกันเข้ามารุมล้อมสวีเฟยหลง ชายหนุ่มแค่นเสียงเย้ยหย
ตั้งแต่ต้นหลินเสวี่ยเฟิ่งกอดประคองร่างสูงของเฉินเทียนอี้ไว้ไม่ยอมห่าง ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเพราะใจห่วงกังวลคนในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น "ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ" “ขะ... ขอโทษ คราวนี้ข้าก็ไม่อาจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าได้” หลินเสวี่ยเฟิ่งส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการคือได้อยู่เคียงคู่ท่านจนผมขาวต่างหากเล่าคนโง่ เพราะฉะนั้นท่านห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด แข็งใจไว้ เสี่ยวชีกำลังจะมา เขาต้องรักษาท่านได้แน่” ฝ่ามือเรียวพยายามกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งโลหิตที่ทะลักทลายออกมาจากร่างแกร่งได้เลย เฉินเทียนอี้ส่ายหน้าเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นเป็นสายจากดวงหน้างาม
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง