เพียงสบเข้ากับเนตรหงส์เรียวงามแฝงประกายฉ่ำวาวราวหยาดน้ำค้างคู่นั้น ส่วนลึกของจิตวิญญาณก็พลันสะท้านไหว สายตาอาลัยรักฉายแววคิดถึงคะนึงหาลึกซึ้งถึงกระดูก ทั้งเทิดทูนบูชาราวกับเขาเป็นดั่งท้องฟ้าไกลเกินเอื้อมคว้า ไหนจะคำเรียกขานอันแสนคุ้นเคยที่เฉินเทียนอี้ไม่ได้ยินมานานปี ยังจะมีผู้ใดได้อีก
“เป็นไปไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่” เฉินเทียนอี้พึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาจ้องมองดวงหน้าที่ทั้งแปลกตาทั้งคุ้นเคยของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างเหม่อลอย หวนนึกถึงวันวานที่พวกเขาได้พานพบกัน
“หม่อมฉันหลานซือเยว่ถวายบังคมองค์ชายเก้าเพคะ” ร่างผอมบางของหลานซือเยว่ในวัยสิบสามหนาวสูงกว่าเขาในวัยหกหนาวเกือบช่วงตัว ยอบกายถวายบังคมองค์ชายตัวน้อยอย่างนอบน้อม แต่เขาที่ตอนนั้นยังไม่รู้ความและหยิ่งยโส ใช้อำนาจกดข่มนางก็ไม่เคืองโกรธ
“เ
“มาดื่มชาหน่อยจะได้ชุ่มคอ เมื่อครู่เหนื่อยหรือไม่” เฉินเทียนอี้หยิบผ้ามาซับเหงื่อให้หลานซือเยว่อย่างใส่ใจ “เสด็จพ่อกับหลินเสวี่ยเฟิ่งต้าซือดูสนิทสนมคุ้นเคยกันดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางปรายตามองเสด็จพ่อที่กำลังหลอกล่อให้นักบวชผู้นั้นกินขนมดอกกุ้ยอย่างสำราญใจด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ถึงขนาดล่อลวงให้เสด็จพ่อหลงใหลจนแทบประคองอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือ นับว่ามีความสามารถโดยแท้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอะไร “อ๋อ นี่หรือเพราะ...” เฉินเทียนอี้กำลังจะบอกความจริงกับบุตรชาย แต่กลับเห็นหลานซือเยว่ขยิบตาให้ ทั้งยังส่ายหน้าเบาๆ ไม่ให้ชายหนุ่มบอกออกไปว่านี่คือเสด็จแม่ของเขา เฉินเทียนอี้จึงได้แต่ปิดบังไว้ “...หลินเสวี่ยเฟิ่งเป็นสหายเก่าของพ่อเอง เจ้าก็มาทำความรู้จักไว้สิ” “สหายเก่า? ดูไม่ออกเลยว่าเสด็จพ่อก็มีสหายเป็นนักบวชผู้หนึ่งด้วย” เฉินซือหยางเย้าเสด็จพ่อยิ้มๆ แสร้งท
“จำได้หรือไม่ว่าต้องพูดอย่างไร” “รู้น่า แค่เอ่ยคำว่า 'ขอโทษ' ง่ายจะตายไป” “ดี ไหนลองพูดดูซิ” “ขอโทษ” “เข้าไปแล้วห้ามก่อเรื่อง เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจแล้วน่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุมากกว่าเจ้าด้วย” เฉินซือหยางกับจ้าวลี่หมิงยืนเถียงกันอยู่หน้าห้องบรรทมในตำหนักหยางซิน ทำเอาหวังกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอมยิ้มขำนายท่านทั้งสอง “จะให้ขานนามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้อง” เฉินซือหยางโบกมือห้ามไว้ จ้าวลี่หมิงแอบชะโงกหน้าเข้าไปสังเกตการณ์ภายในห้อง เห็นเฉ
ดึกดื่นคืนค่ำจันทราหลบเร้นในหมู่เมฆ อารามหลวงตั้งตระหง่านกลางพระราชวังเงียบสงัด ภายในห้องพักแห่งหนึ่งซึ่งหลานซือเยว่อาศัยหลับนอน ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าคลุมศีรษะสีดำสนิท ดวงตาสีนิลดุจรัตติกาลเปล่งประกายวาววับท่ามกลางความมืด จับจ้องไปยังร่างบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงตั่งด้วยความรักใคร่ลึกซึ้งถึงกระดูก ร่างสูงเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ข้างเตียง ทรุดตัวลงนั่งข้างกายคนที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว มือหนาลูบไล้ดวงหน้าซึ่งติดตรึงอยู่ในใจไม่เสื่อมคลาย “เสวี่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มกระซิบเรียกหลินเสวี่ยเฟิ่งเสียงแผ่วชิดปากอิ่ม ริมฝีปากหนาประทับบนริมฝีปากบางเพียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ บดขยี้อย่างหนักหน่วงตามแรงอารมณ์ “ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้หรือไม่ ยอดรักของข้า” มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ของหลานซือเยว่ออกอย่างเร่งร้อน เป็นเพราะรีบมากเกินไปจึงทำให้หลานซือเยว่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
หลานซือเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนเบลอ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนตนเองไปทำอะไรมาร่างกายถึงได้ปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะสะโพกแทบครากอยู่รอมร่อ ทำเอาขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้แม้แต่ครึ่งชุ่น[1] ดีที่มีแรงจากมือหนาคอยบีบนวดให้ อาการปวดเมื่อยค่อยทุเลาเบาบางลง ขณะที่หลานซือเยว่หลับตาพริ้มสัมผัสกับความรู้สึกผ่อนคลายสบายเนื้อสบายตัว จู่ๆ ก็เริ่มตงิดใจกับแรงบีบนวดอันไร้ที่มาที่ไปนี้ เดี๋ยวนะ! ใครบีบนวดให้ข้ากัน? ดวงตาเรียวหงส์เปิดพรึ่บสะดุ้งตื่นเต็มตา หลานซือเยว่นอนคว่ำหน้าอยู่เอี้ยวตัวมองด้วยความสงสัย ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราผู้หนึ่งในชุดจื๋อตัวหรือชุดนักพรตสีฟ้าเทานั่งอยู่ข้างเตียง กำลังบีบนวดหลังไหล่ให้ตนอยู่ ร่างสูงโปร่งตกใจถลันตัวลุกขึ้นนั่ง รีบถอยห่างจากคนแปลกหน้า “ตื่นแล้วหรือ” &nb
“ร้องไห้ทำไม มีอะไรน่าเสียใจมากอย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงปรากฏขึ้นข้างกายหลานซือเยว่ ร่างสูงรวบคนร่างบางเข้ามากอดแนบอก เช็ดน้ำตาให้คนร่างบางอย่างอ่อนโยน กลับถูกหลานซือเยว่ผลักออกอย่างแรงด้วยความเดียดฉันท์ จนร่างสูงกระแทกกับผนังห้องเต็มแรง “ไปให้พ้น ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน” หลานซือเยว่ผลักไสเขาออกไปแต่กลับเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอง เมื่อเห็นเขาแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา จิตใต้สำนึกของหลานซือเยว่ร่ำร้องหาชายผู้นั้น ได้แต่ฝืนตัวเองเอาไว้สุดกำลังไม่ให้เข้าไปพยุงอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย “ทำไม เห็นหน้าผัวตัวเองแล้วรับไม่ได้อย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงกระชากร่างบางเข้ามากอดแนบอกแกร่ง มือหนาบีบคางเรียวแน่นด้วยแรงอารมณ์ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าทั้งนั้น เป็นเจ้าฉวยโอกาสตอนข้าหลับ สารเลว!” หลานซือเยว่ปัดมือหนาออก ดวงตาสีน้ำเงินวาววับด้วยโทสะไม่ยอมรับความสัมพันธ์ใดๆ กับคนตรงหน้าทั้งสิ้น  
ตลาดเช้าในเมืองผิงอานยังคงคึกคัก ผู้คนเดินเบียดเสียดกันเนืองแน่นดูสินค้าบนแผงลอยข้างทางที่มีมากมายดูละลานตาไปหมด ทั้งผลท้ออวบอิ่มฉ่ำน้ำ ปลาสดๆ หลากหลายชนิด ผักสดใหม่ที่เพิ่งเก็บมาจากสวนล้วนมีให้เลือก เสี่ยวเอ้อร้านน้ำชา ร้านขายผ้า และโรงเตี๊ยมต่างออกมายืนเรียกลูกค้ากันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความขยันขันแข็งเป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตา ท่ามกลางความครึกครื้นอาชาฝีเท้าจัดสีชาดดุจโลหิตตัวหนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนในตลาดดุจลมพายุ ทำเอาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์หลบหนีกันจ้าละหวั่น “หลีกทาง!” จ้าวลี่หมิงตะโกนก้องควบม้าเหงื่อโลหิตสีแดงเพลิงมุ่งหน้าสู่ตำหนักอี้ชิ่ง ชายหนุ่มกำหมัดแน่นมาตลอดทางด้วยความโมโห ป้ายหยกประจำตัวองค์รัชทายาทสีเขียวอร่ามตรงชายพกส่องแสงแยงตาทหารเฝ้าประตูตำหนักจนดวงตาแทบมืดบอด ประกอบกับใบหน้าบึ้งตึงของว่าที่พระชายา ทำเอาพวกเขากระโดดหลบแทบไม่ทัน อารมณ์ขุ่นมัวขนาดนี้ใครล่ะจะกล้าขวางทาง
“กลับมาแล้วหรือหยางหยาง” จ้าวลี่หมิงที่ยึดครองตำแหน่งประธานในตำหนักหลักเอนกายอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เพราะต้องนั่งรออีกฝ่ายเป็นเวลานานจนแทบหลับคาเก้าอี้ ดวงตาปรือมองคนร่างสูงทอประกายฉ่ำน้ำคลอหางตาแดงระเรื่อเย้ายวนใจคน “เมียจ๋า” เฉินซือหยางครางเสียงละเมอ ปรี่เข้าไปหาคนตัวเล็กแต่กลับถูกจ้าวลี่หมิงชี้นิ้วสั่ง ทำเอาร่างสูงชะงักกึก “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เห็นนั่นหรือไม่” เฉินซือหยางไล้สายตาไปตามข้อมือขาวผ่อง ดวงตาเคลิ้มลอยมองตามปลายนิ้วเรียวน่าบีบจับที่เด็กน้อยของเขาชี้บอกอย่างหลงใหลเล็บสีชมพูอ่อนยามข่วนเกาแผ่นหลังเขายังรู้สึกซาบซ่านจนถึงบัดนี้ก่อนจะสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งซึ่งวางหราอยู่หน้าห้อง กระดานซักผ้า? “เอามาทำไม” “ยังมีหน้ามาถาม ท่านไปทำอะไรลับหลังข้ามาล่ะ ยังไม่คุกเข่าสำนึก
แต่แล้วความกังวลของหลานซือเยว่กลับต้องเสียเปล่า เมื่อกลับมาถึงพระราชวังแล้วกลับไม่เห็นสวีเฟยหลงแม้แต่เงา หลานซือเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอกตามเสด็จเฉินเทียนอี้ไปทานอาหารมื้อกลางวันด้วยความสบายใจ ทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกันที่ตำหนักหยางซิน ภายในตำหนักหลักอบอวลไปด้วยบรรยากาศหวานชื่นอย่างที่ไม่ได้มีมานาน “ออกไปเดินย่อยอาหารที่ลานด้านนอกกันดีกว่า” หลานซือเยว่เอ่ยชวน เห็นเฉินเทียนอี้ล้มตัวลงบนเตียงแล้วไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนอีกราวกับงูเหลือมที่เขมือบเหยื่อจนอิ่มแปล้แล้วเอาแต่นอนนิ่ง และมีทีท่าว่าจะหลับไปทั้งอย่างนั้น “ไม่เอา เราง่วงแล้ว” เฉินเทียนอี้พลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ดึงรั้งหลานซือเยว่ลงมานั่งบนเตียงก่อนจะขยับศีรษะไปนอนหนุนตักคนร่างบางหน้าตาเฉย “อ้วน! ไม่ยอมขยับตัวทำอะไร อีกหน่อยก็จะกลายเป็นหมู” หลานซือเยว่ต่อว่าสามีขำๆ เฉินเทียนอี้ครางรับในลำคออย
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต