ตลาดเช้าในเมืองผิงอานยังคงคึกคัก ผู้คนเดินเบียดเสียดกันเนืองแน่นดูสินค้าบนแผงลอยข้างทางที่มีมากมายดูละลานตาไปหมด ทั้งผลท้ออวบอิ่มฉ่ำน้ำ ปลาสดๆ หลากหลายชนิด ผักสดใหม่ที่เพิ่งเก็บมาจากสวนล้วนมีให้เลือก เสี่ยวเอ้อร้านน้ำชา ร้านขายผ้า และโรงเตี๊ยมต่างออกมายืนเรียกลูกค้ากันเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความขยันขันแข็งเป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตา ท่ามกลางความครึกครื้นอาชาฝีเท้าจัดสีชาดดุจโลหิตตัวหนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนในตลาดดุจลมพายุ ทำเอาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์หลบหนีกันจ้าละหวั่น
“หลีกทาง!”
จ้าวลี่หมิงตะโกนก้องควบม้าเหงื่อโลหิตสีแดงเพลิงมุ่งหน้าสู่ตำหนักอี้ชิ่ง ชายหนุ่มกำหมัดแน่นมาตลอดทางด้วยความโมโห ป้ายหยกประจำตัวองค์รัชทายาทสีเขียวอร่ามตรงชายพกส่องแสงแยงตาทหารเฝ้าประตูตำหนักจนดวงตาแทบมืดบอด ประกอบกับใบหน้าบึ้งตึงของว่าที่พระชายา ทำเอาพวกเขากระโดดหลบแทบไม่ทัน อารมณ์ขุ่นมัวขนาดนี้ใครล่ะจะกล้าขวางทาง
“กลับมาแล้วหรือหยางหยาง” จ้าวลี่หมิงที่ยึดครองตำแหน่งประธานในตำหนักหลักเอนกายอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เพราะต้องนั่งรออีกฝ่ายเป็นเวลานานจนแทบหลับคาเก้าอี้ ดวงตาปรือมองคนร่างสูงทอประกายฉ่ำน้ำคลอหางตาแดงระเรื่อเย้ายวนใจคน “เมียจ๋า” เฉินซือหยางครางเสียงละเมอ ปรี่เข้าไปหาคนตัวเล็กแต่กลับถูกจ้าวลี่หมิงชี้นิ้วสั่ง ทำเอาร่างสูงชะงักกึก “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เห็นนั่นหรือไม่” เฉินซือหยางไล้สายตาไปตามข้อมือขาวผ่อง ดวงตาเคลิ้มลอยมองตามปลายนิ้วเรียวน่าบีบจับที่เด็กน้อยของเขาชี้บอกอย่างหลงใหลเล็บสีชมพูอ่อนยามข่วนเกาแผ่นหลังเขายังรู้สึกซาบซ่านจนถึงบัดนี้ก่อนจะสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งซึ่งวางหราอยู่หน้าห้อง กระดานซักผ้า? “เอามาทำไม” “ยังมีหน้ามาถาม ท่านไปทำอะไรลับหลังข้ามาล่ะ ยังไม่คุกเข่าสำนึก
แต่แล้วความกังวลของหลานซือเยว่กลับต้องเสียเปล่า เมื่อกลับมาถึงพระราชวังแล้วกลับไม่เห็นสวีเฟยหลงแม้แต่เงา หลานซือเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอกตามเสด็จเฉินเทียนอี้ไปทานอาหารมื้อกลางวันด้วยความสบายใจ ทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกันที่ตำหนักหยางซิน ภายในตำหนักหลักอบอวลไปด้วยบรรยากาศหวานชื่นอย่างที่ไม่ได้มีมานาน “ออกไปเดินย่อยอาหารที่ลานด้านนอกกันดีกว่า” หลานซือเยว่เอ่ยชวน เห็นเฉินเทียนอี้ล้มตัวลงบนเตียงแล้วไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนอีกราวกับงูเหลือมที่เขมือบเหยื่อจนอิ่มแปล้แล้วเอาแต่นอนนิ่ง และมีทีท่าว่าจะหลับไปทั้งอย่างนั้น “ไม่เอา เราง่วงแล้ว” เฉินเทียนอี้พลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ดึงรั้งหลานซือเยว่ลงมานั่งบนเตียงก่อนจะขยับศีรษะไปนอนหนุนตักคนร่างบางหน้าตาเฉย “อ้วน! ไม่ยอมขยับตัวทำอะไร อีกหน่อยก็จะกลายเป็นหมู” หลานซือเยว่ต่อว่าสามีขำๆ เฉินเทียนอี้ครางรับในลำคออย
บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ณ ตำหนักจินหลวน เงาร่างสูงสง่านั่งเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ทองรับรู้ได้ถึงดวงจิตของคนผู้นั้นหลังจากที่เลือนหายไปนานปี เสียงคำรามก้องของมังกรบรรพกาลยิ่งเป็นการตอกย้ำการคาดเดาของเขา “ในที่สุดก็ยอมโผล่หัวออกมาสักทีนะ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มชั่วร้าย “ส่งคนไปที่หุบเขาเร้นเมฆา เด็ดหัวของสวีเฟยหลงมาให้ข้า” แม่ทัพสวรรค์ค้อมกายรับคำสั่งรวบรวมนักฆ่ายอดฝีมือนับพันใต้บังคับบัญชา มุ่งหน้าสู่แดนเร้นลับทางทะเลเหนือ พลังปราณโดยรอบเกิดการกระเพื่อมไหว ไอบริสุทธิ์มากมายหลั่งไหลเข้ามาในกายสวีเฟยหลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชายหนุ่มจมดิ่งอยู่ในห้วงสมาธิอยู่นั้น เงาร่างในชุดท่องราตรีสีดำสนิทพลันปรากฏขึ้นรอบกายชายหนุ่ม ลงมือจู่โจมโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นักฆ
สวีเฟยหลงหลับตาทำสมาธิ พลังปราณแผ่ซ่านไปตามเส้นเทพจร ลวดลายมังกรทองที่สลักอยู่บนร่างเปล่งรัศมีสีทองเจิดจรัส ดวงตาสีนิลสว่างวาบซัดฝ่ามือไปยังเวิ้งน้ำเบื้องหน้า อัสนีสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผ่าฟาดลงมาจนผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าซัดเข้าหาฝั่งพังป่าแถบนั้นหักไปทั้งแถบ หยาดน้ำจำนวนมากสาดกระเซ็น สวีเฟยหลงเก็บพลังกลับ ปรับลมปราณจนสงบราบเรียบ ลวดลายสีทองอร่ามของรอยสักจึงหม่นแสงลง แต่ก็ไม่ได้ซีดจางดังเก่าก่อน สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้นเพียงแต่ไม่เปล่งประกายเหมือนกับตอนที่ชายหนุ่มโคจรพลัง สวีเฟยหลงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งไปทั้งกายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว การซ่อมแซมดวงจิตเป็นไปได้ด้วยดี พลังวิญญาณเองก็เพิ่มพูนเกือบถึงขีดสุด ถึงแม้จะมีพวกหนอนแมลงเข้ามาก่อกวนกลางคัน แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นการหลวมรวมดวงจิตของเขาได้ แค่เพียงบำเพ็ญเพียรพลังแห่งทัณฑ์อัสนีสวรรค์พิโรธสำเร็จ แล้วผ่านด่านเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้ เลื่อนขั้นเป็นซ่างเสิน[1] พลังทั้งหมดของเขาก็จะฟื้นกลับคืนมาทั้งหมด คราวนี้ก็ไม
สวีเฟยหลงหลับตาลงอย่างรวดร้าว เสียงอบอุ่นนุ่มนวลของภรรยาในห้วงคำนึงยังคงดังกึกก้อง ‘ท่านวางใจเถอะ ถึงท่านจะไม่เต็มใจแต่งกับข้า แต่ข้าจะเป็นภรรยาที่ดีของท่าน ทำทุกอย่างเพื่อท่าน รักท่านเพียงผู้เดียว’ คำมั่นสัญญาที่บอกว่าจะรักเขาเพียงผู้เดียว เงาร่างที่ยอมรับความตายแทนเขาโดยไม่หวั่นเกรง ‘อาหลง ระวัง!’ เสียงร้องเตือนด้วยความห่วงใย แผ่นหลังแบบบางที่ขวางอยู่เบื้องหน้าเขา ปกป้องเขาอย่างสุดกำลังยังติดตรึงอยู่ในจิตใจไม่ลืมเลือน แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้ามีแต่ความตายก็ยังบุกหน้าฝ่าฟันร่วมกันกับเขาผู้นั้นอยู่แห่งหนใด ดวงตาคมเข้มดุจรัตติกาลสั่นไหว เงาร่างในห้วงคำนึงค่อยๆ เลือนหายไป เปลี่ยนเป็นหลินเสวี่ยเฟิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ “รักมันมากใช่ไหม คงรักมันมากสินะ” สวีเฟยหลงหัวเร
“พูดจาเย็นชาจังเลยน้าาา ไม่น่ารักเลยสักนิด แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ายอมรับปาก ข้าจะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่จงจำไว้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าข้า อย่าได้พูดชื่อมันให้ข้าได้ยินอีกเด็ดขาด ไม่งั้นหากข้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา คนที่จะต้องเสียใจย่อมเป็นเจ้า” สวีเฟยหลงแกล้งจุ๊บริมฝีปากบาง หลานซือเยว่กำมือแน่นข่มกลั้นความคลื่นเหียนที่ได้รับจากชายผู้นี้ ซึ่งสวีเฟยหลงก็เห็นอยู่ตำตา แต่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ 'เกลียดได้เกลียดไป อย่ามาตกหลุมรักเขาก็แล้วกัน' “เอาล่ะไม่แกล้งเจ้าแล้ว สายมากแล้วเจ้าก็กินอะไรหน่อยเถอะ" สวีเฟยหลงหยิบน้ำแกงปลาที่เย็นชืดไปนานออกมาใช้ฝ่ามืออุ่นให้ร้อนค่อยตักป้อนภรรยา "รู้ไหมข้าตั้งใจเคี่ยวตั้งนานเลยนะ น้ำแกงปลาชามนี้มีแต่ของที่มีประโยชน์ต่อเจ้า มา! เจ้าลองชิมดู” สวีเฟยหลงเป่าน้ำแกงให้หายร้อนยื่นช้อนหยกจ่อริมฝีปากบาง
“เอ๋อร์... เสวี่ยเอ๋อร์...” ใคร? ผู้ใดกำลังเรียกเขากัน หลานซือเยว่ครุ่นคิด จู่ๆ ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลานซือเยว่ในร่างของหญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามดั่งแสงจันทรานั่งขัดเขินอยู่หน้าคันฉ่องบานใหญ่ ใบหน้าคล้ายกับตนไม่มีผิดเพี้ยนส่งยิ้มเอียงอายให้หญิงสาวอีกคนผู้มีเค้าโครงหน้าเหมือนกันยืนหวีผมสีเงินงดงามให้ทางด้านหลัง “เสวี่ยเอ๋อร์ พอออกเรือนแล้วต้องปรนนิบัติองค์ไท่จื่อให้ดีรู้หรือไม่” “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลานซือเยว่ตอบรับไปตามสัญชาตญาณ “แล้วก็รีบมีหงส์หรือมังกรน้อยตัวอวบอ้วนให้อุ้มแม่เร็วๆ” “ท่านแม่ละก็” หลินเสวี่ยเฟิ่งเมื่อครั้นยังอยู่ในร่
ไกลออกไปนับพันหมื่นลี้ บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันสุขสงบกลับเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อชั่วอึดใจก่อนเหล่าเทพเซียนได้ยินเสียงร้องคำรามน่าเกรงขามของมังกรบรรพกาลต่างพากันหวาดหวั่นขวัญผวาเร่งเขียนฎีกาถวายเทียนตี้[1] ให้ทรงทราบถึงการปรากฏตัวอีกครั้งของอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลง เรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ ย่อมตกเป็นหัวข้อประชุมเร่งด่วน ทั้งองค์ประชุมต่างมีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งกลุ่มขั้วอำนาจเดิมของอดีตองค์ไท่จื่อ ทั้งขั้วอำนาจใหม่ของไท่จื่อสวีหนิงหลง รวมถึงผู้ที่จงรักษาภักดีต่อเทียนตี้ และพวกที่วางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด ต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายถกเถียงกันอยู่เป็นนานว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี “กระหม่อมเห็นควรว่าเราควรส่งทหารสวรรค์สิบหมื่นนายไปจับกุมอดีตองค์ไท่จื่อมาลงทัณฑ์ รับผิดชอบต่อหายนะที่พระองค์ได้ก่อไว้ในกาลก่อน” เห็นชัดว่าผู้ที่กล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นคนของสวีหนิงหลง คนของสวีเฟยหลงหรือจะยอมให้คนเหล่านั้นเพ
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต