กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิด มันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้
กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา
ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน
 
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
หลังจากทั้งสองคนตกลงว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เฉินซือหยางก็ชวนเด็กน้อยของเขาดื่มฉลองกันอย่างชื่นมื่น ทั้งสุราอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะจนเต็มไปหมด แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นของชอบของจ้าวลี่หมิงทั้งสิ้น “หยางหยางดื่มสุราอะไรอยู่หรือ ให้ชีชีชิมบ้างสิ” จ้าวลี่หมิงง่วนอยู่กับการใช้ตะเกียบคีบนั่นชิมนี่อยู่ เงยหน้ามองเฉินซือหยางที่เอาแต่จิบสุราเคล้าแสงจันทร์ ท่าทางรสชาติดียิ่งจึงอยากลิ้มลองดูบ้าง หากได้จิบสักอึกคงคลายหนาวได้ดีทีเดียว “นี่เป็นสุราบ่มร้อยปีฤทธิ์แรงนัก เจ้าดื่มไม่ได้หรอก จางกงกง” เฉินซือหยางเอ่ยเรียก เพียงไม่นานจางเสี่ยวเหล่ยก็ยกสุราผูเถาที่เตรียมไว้ให้จ้าวลี่หมิงโดยเฉพาะเข้ามา “เจ้าดื่มสุรานี้จะดีกว่านะ” “นี่คือสุราอะไรหรือ” จ้าวลี่หมิงมองสุราสีม่วงแปลกตาในจอกอย่างสนใจ ลองดมดูก็พบว่ามีกลิ่นหอมของผลไม้บางอย่าง พอได้ชิมก็ยิ่งชอบใจเพราะสุราสีม่วงใสนี้รสชา
เฉินซือหยางพาจ้าวลี่หมิง และหลานซือเยว่กลับตำหนักบูรพา ตำหนักบูรพานั้นกว้างใหญ่กว่าตำหนักอี้ชิ่งมากนัก แต่ก็ห่างไกลจากตำหนักหยางซินของเสด็จพ่อมากเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่อยากย้ายมา แต่พอผ่านพิธีสวมกวานแล้วก็จำต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ บัดนี้ผ่านมานานปีอะไรๆ ก็ล้วนคุ้นชิน ชายหนุ่มเดินนำทั้งสองเข้ามาในห้องโถงหลัก สั่งให้จางกงกงปรนนิบัติหลานซือเยว่ล้างเนื้อล้างตัว และเชิญหมอหลวงให้มาตรวจดูอาการ “ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอก ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็มีวิชาแพทย์ติดตัว” จ้าวลี่หมิงห้ามไว้ เฉินซือหยางได้แต่พยักหน้าตกลง “ต้าซือเชิญพักผ่อนที่ตำหนักข้างก่อนเถิดขอรับ” จางกงกงผายมือเชิญหลานซือเยว่ที่ใบหน้าขาวซีดเนื้อตัวเปียกปอน ในเมื่อสภาพตนเองไม่น่าดูถึงเพียงนี้หลานซือเยว่ก็ไม่อิดออด ตามจางกงกงไปชำระล้างร่างกายแต่โดยดี ถึงแม้จะอยากอยู่กับบุตรชายให้นาน
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต