สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น
“คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรง เพราะมีชนักปักหลัง
“รู้ความผิดของตนเองหรือไม่”
“ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่”
เพี๊ยะ!!!
เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
หลังจากทั้งสองคนตกลงว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เฉินซือหยางก็ชวนเด็กน้อยของเขาดื่มฉลองกันอย่างชื่นมื่น ทั้งสุราอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะจนเต็มไปหมด แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นของชอบของจ้าวลี่หมิงทั้งสิ้น “หยางหยางดื่มสุราอะไรอยู่หรือ ให้ชีชีชิมบ้างสิ” จ้าวลี่หมิงง่วนอยู่กับการใช้ตะเกียบคีบนั่นชิมนี่อยู่ เงยหน้ามองเฉินซือหยางที่เอาแต่จิบสุราเคล้าแสงจันทร์ ท่าทางรสชาติดียิ่งจึงอยากลิ้มลองดูบ้าง หากได้จิบสักอึกคงคลายหนาวได้ดีทีเดียว “นี่เป็นสุราบ่มร้อยปีฤทธิ์แรงนัก เจ้าดื่มไม่ได้หรอก จางกงกง” เฉินซือหยางเอ่ยเรียก เพียงไม่นานจางเสี่ยวเหล่ยก็ยกสุราผูเถาที่เตรียมไว้ให้จ้าวลี่หมิงโดยเฉพาะเข้ามา “เจ้าดื่มสุรานี้จะดีกว่านะ” “นี่คือสุราอะไรหรือ” จ้าวลี่หมิงมองสุราสีม่วงแปลกตาในจอกอย่างสนใจ ลองดมดูก็พบว่ามีกลิ่นหอมของผลไม้บางอย่าง พอได้ชิมก็ยิ่งชอบใจเพราะสุราสีม่วงใสนี้รสชา
เฉินซือหยางพาจ้าวลี่หมิง และหลานซือเยว่กลับตำหนักบูรพา ตำหนักบูรพานั้นกว้างใหญ่กว่าตำหนักอี้ชิ่งมากนัก แต่ก็ห่างไกลจากตำหนักหยางซินของเสด็จพ่อมากเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่อยากย้ายมา แต่พอผ่านพิธีสวมกวานแล้วก็จำต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ บัดนี้ผ่านมานานปีอะไรๆ ก็ล้วนคุ้นชิน ชายหนุ่มเดินนำทั้งสองเข้ามาในห้องโถงหลัก สั่งให้จางกงกงปรนนิบัติหลานซือเยว่ล้างเนื้อล้างตัว และเชิญหมอหลวงให้มาตรวจดูอาการ “ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอก ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็มีวิชาแพทย์ติดตัว” จ้าวลี่หมิงห้ามไว้ เฉินซือหยางได้แต่พยักหน้าตกลง “ต้าซือเชิญพักผ่อนที่ตำหนักข้างก่อนเถิดขอรับ” จางกงกงผายมือเชิญหลานซือเยว่ที่ใบหน้าขาวซีดเนื้อตัวเปียกปอน ในเมื่อสภาพตนเองไม่น่าดูถึงเพียงนี้หลานซือเยว่ก็ไม่อิดออด ตามจางกงกงไปชำระล้างร่างกายแต่โดยดี ถึงแม้จะอยากอยู่กับบุตรชายให้นาน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ทะเลสาบเหลียนไห่เดิมทีเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีแม่น้ำห้าสายไหลมารวมกัน เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะพบเจอท่านที่นั่น เพียงแต่ถูกน้ำพัดมาไกลถึงขนาดนี้แล้วยังรอดชีวิต นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ” “อืม สวรรค์คุ้มครองโดยแท้ทุกวันนี้ข้ายังนึกกราบไหว้แทบไม่ทัน” หลานซือเยว่พูดติดตลก ทำเอาจ้าวลี่หมิงหัวเราะเฮฮาตามไปด้วย “เคราะห์ใหญ่ผ่านพ้นย่อมมีโชคตามมา ต่อจากนี้ต้าซือจะทำเช่นไรต่อไป” “เดิมบิดามารดาข้าล้วนสิ้นใจไปหมดแล้วจึงตัดสินใจออกบวช หันหน้าเข้าสู่พระธรรมเพื่อกล่อมเกลาจิตใจที่กำลังเศร้าหมอง ไหนเลยจะรู้ว่าตนเองจะโชคร้าย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเดินไปทางไหน” “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ที่เมืองหลวงมีอารามพุทธอยู่หลายแห่ง ประเดี๋ยวข้าจะค่อยๆ ตรวจสอบให้ น่าจะมีอารามดีๆ สักแห่งให้ท่านได้พักพิง” “ขอขอบค
“เสด็จแม่!... ไม่สิ! เป็นไปไม่ได้ เหตุใดใบหน้าของคนผู้นี้ถึงได้...” เฉินซือหยางตะลึงงันจ้องมองใบหน้าของหลานซือเยว่ไม่วางตา ตอนอยู่ที่ท่าเรือเพราะความมืดสลัวเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าใบหน้าของนักบวชผู้นี้คล้ายคลึงกับมารดาของเขายิ่งนัก แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นบุรุษจึงขับเน้นให้ดวงหน้าอ่อนหวานนั้นคมชัดยิ่งขึ้นหลายส่วน แลดูงดงามโดดเด่นกว่ามารดาเขามากนัก เป็นความงามเหนือโลกีย์ดั่งสัตตบงกชที่แย้มบานในสระหยกอมฤตบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหาได้แปดเปื้อนเศษธุลีแดงแม้เพียงเศษเสี้ยวประหนึ่งเทพเซียนผู้สูงสง่าน่าเลื่อมใสแล้วคนที่ดูสูงส่งถึงเพียงนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับมารดาเขา ในเมื่อญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงซูโม่หลันหรือนามที่แท้จริงก็คือ 'หลานโม่หลัน'ลูกพี่ลูกน้องของมารดาเขา ตระกูลหลานของเสด็จแม่เป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ ในเมืองห่างไกล ทั้งตระกูลมีเพียงท่านตาที่เป็นเสมียนชั้นผู้น้อยในที่ว่าการอำเภอ มารดาเขาจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมคัดเลือกนางกำนัล แล
จ้าวลี่หมิงนอนขลุกอยู่ในห้องจนสายโด่ง พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนตัวโตที่นอนอยู่เคียงข้างลุกออกไปนานแล้ว จ้าวลี่หมิงเรียกจางกงกงเข้ามาปรนนิบัติ พอได้อาบน้ำล้างหน้าก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย “ต้าซือทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง” “ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ เห็นต้าซือบอกว่าจะรอให้พระชายาตื่นก่อนค่อยทานพร้อมกัน” “แล้วตอนนี้ต้าซืออยู่ที่ใด” “ต้าซือชมดอกท้ออยู่ที่ศาลารับลมริมสระบัวตำหนักปีกซ้ายพ่ะย่ะค่ะ” “จัดสำรับที่ศาลารับลมก็แล้วกัน ไม่ต้องทำพวกเนื้อสัตว์ขึ้นโต๊ะนะ ข้าจะทานเจเป็นเพื่อนต้าซือ” “พ่ะย่ะค่ะพระชายา” จ้าวลี่หมิงเดินไปหาหลานซือเยว่ที่ตำหนักปีกซ้าย เห็นอีกฝ่ายกำลังจิบชาชมทัศนียภาพยามเช้าอย่างสบายอารมณ์ จ้าวลี่หมิงไม่อยาก
เฉินซือหยางหลงวนอยู่ในเงามืด ความทรงจำต่างๆ โถมทะลักเข้าหาดุจโคมม้าหมุน ทำเอาเขาปวดศีรษะจนแทบระเบิด ร่างกายจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งอนธการ เงาร่างโปร่งใสปรากฏขึ้นหน้าเรือนไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเฟิง บนยอดเขาซีเทียนเฟิง เฉินซือหยางเดินดูโดยรอบอย่างแสนคิดถึง ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต และโต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐยังคงเหมือนในความทรงจำ “จิ้ง... จิ้งเฟิ่ง... สวีจิ้งเฟิ่ง! ตื่นได้แล้วเจ้าตัวขี้เกียจ” เฉินซือหยางหันไปตามเสียงเรียก เห็นเงาร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงหรือแท้จริงแล้วคือ ‘ไป่ชิงถงเกอเกอ’ คนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาใช้เท้าแตะประตูห้องนอนอย่างกักขฬะ ตรงเข้าไปเขย่าตัวปลุกเขาในวัยเด็กที่นอนหลับอุตุอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนา “อย่ามัวแต่เมาขี้ตา รีบๆ ลุกขึ้นมา
สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาสัมผัสโดนใบหน้าคมเข้มที่กำลังสลบไสลเรียกสติเขาให้กลับฟื้นคืน สวีเฟยหลงตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองติดอยู่ในช่องเขาคับแคบแห่งหนึ่ง แขนขาหักผิดรูปผิดร่าง เจ็บปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย เขากัดฟันบิดแขนขาให้เข้ารูป ยังไม่ทันได้ลงมือทำแผลให้กับตนเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอึกทึกก้องสะท้อนไปทั่วหินผา “ค้นให้ทั่ว จับโจรชั่วที่รวมหัวกับเผ่ามารสังหารพี่น้องเราชาวสวรรค์มาลงทัณฑ์ให้ได้” เสียงผู้คนพูดคุยกันดังแว่วใกล้เข้ามาทุกทีๆ สวีเฟยหลงรู้ดีว่าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องหอบสังขารที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลบหนีออกจากที่แห่งนี้ สวีเฟยหลงหนีเข้าป่าลึก ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำร่างสูงโซซัดโซเซล้มลงในแอ่งโคลน “มันอยู่นั่น!” ทหารสวรรค์กรูกันเข้ามารุมล้อมสวีเฟยหลง ชายหนุ่มแค่นเสียงเย้ยหย
ตั้งแต่ต้นหลินเสวี่ยเฟิ่งกอดประคองร่างสูงของเฉินเทียนอี้ไว้ไม่ยอมห่าง ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเพราะใจห่วงกังวลคนในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น "ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ" “ขะ... ขอโทษ คราวนี้ข้าก็ไม่อาจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าได้” หลินเสวี่ยเฟิ่งส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการคือได้อยู่เคียงคู่ท่านจนผมขาวต่างหากเล่าคนโง่ เพราะฉะนั้นท่านห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด แข็งใจไว้ เสี่ยวชีกำลังจะมา เขาต้องรักษาท่านได้แน่” ฝ่ามือเรียวพยายามกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งโลหิตที่ทะลักทลายออกมาจากร่างแกร่งได้เลย เฉินเทียนอี้ส่ายหน้าเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นเป็นสายจากดวงหน้างาม
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง
ดินแดนทางเหนือมีหิมะปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี ป้อมปราการสูงตระหง่านท้าลมพายุ ปุยหิมะโปรยปรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมไปทุกอณูพื้นที่ ถึงภูมิอากาศจะเลวร้าย พืชพรรณธัญญาหารยากเพาะปลูก แต่ชาวบ้านก็ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งไม่คิดจะย้ายถิ่นฐาน เพราะชื่อเสียงของกองทัพตระกูลจ้าวเลื่องลือระบือไกลเป็นที่น่าครั่นคร้ามแก่อริราชศัตรู แม้แม่ทัพใหญ่อย่างจ้าวลี่จิ่นบุตรสาวของจ้าวมู่จะไม่อยู่ประจำการที่กองทัพด่านหน้า แต่แคว้นรอบข้างก็ยังไม่กล้ายกทัพเข้ามารุกราน ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขและปลอดภัย แต่แล้วความสงบสุขก็อันตรธานหายไป “ช่วยด้วย... กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หมู่บ้านเป่ยปิงตกอยู่ในฝันร้ายอันน่าหวาดผวา ศพของผู้คนนอนกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนทั้งเด็ก คนแก่ และสตรีที่ไร้เรี่ยวแรงหลบหนี แม้แต่บุรุษร่างสูงใหญ่ก็ยากจะต้านทานเมื่อต้องสู้กับสิ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณปลายนิ้วปลุกจ้าวลี่หมิงให้ตื่นจากนิทรานัยน์ตาสีน้ำตาลซ่อนประกายมรกตคู่งามสะท้อนภาพดวงหน้าคมเข้มเคล้าคลอมือนิ่ม ริมฝีปากหยักจุมพิตนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม “ตื่นแล้วหรือ ข้ากวนเจ้า?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แฝงประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ “ท่านพึ่งรู้ตัวหรือ” จ้าวลี่หมิงหลบสายตา ชักมือหนีคนตัวโตทั้งใบหูแดงระเรื่อแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น หนำซ้ำยังโดนคนหน้าหนาจูบหลังมือนุ่มหนักๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “อย่าซนสิ! ตอนนี้ยามใดแล้ว” “เพิ่งยามเฉิน[1] เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินซือหยางนอนทอดหุ่ยสบายอารมณ์ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเขาหยุดว่าราชการหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาตัวน้อย โยนภาร
ตำหนักบูรพาอบอวลไปด้วยความสุข ถึงแม้องค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของงานจะปลีกตัวออกไปตั้งแต่ต้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายในการประจบประแจงจึงเบนเข็มมายังเฉินเทียนอี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างดาหน้าเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสาย ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิ่งอึดอัดนิดหน่อย “เสี่ยวเทียนข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะ” “ถ้าเจ้าเบื่อเรากลับกันเลยไหม” “อย่าดีกว่า ท่านคอยรับรองแขกแทนหยางเอ๋อร์เถอะ ข้าไปไม่นานหรอก” หลินเสวี่ยเฟิ่งตบหลังมือหนาเบาๆ แล้วปลีกตัวออกมาจากงาน โดยมีหวังกงกงตามรับใช้ใกล้ชิด หลินเสวี่ยเฟิ่งเหม่อมองตำหนักหลักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของบุตรชาย เทียนมงคลสาดแสงสีแดงสลัวราง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบต่างจากงานพิธี ณ ลานหน้าตำหนักโดยสิ้นเชิง หลินเสวี่ยเฟิ่งยิ้มบาง แ