หลังจากทั้งสองคนตกลงว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เฉินซือหยางก็ชวนเด็กน้อยของเขาดื่มฉลองกันอย่างชื่นมื่น ทั้งสุราอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะจนเต็มไปหมด แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นของชอบของจ้าวลี่หมิงทั้งสิ้น
“หยางหยางดื่มสุราอะไรอยู่หรือ ให้ชีชีชิมบ้างสิ” จ้าวลี่หมิงง่วนอยู่กับการใช้ตะเกียบคีบนั่นชิมนี่อยู่ เงยหน้ามองเฉินซือหยางที่เอาแต่จิบสุราเคล้าแสงจันทร์ ท่าทางรสชาติดียิ่งจึงอยากลิ้มลองดูบ้าง หากได้จิบสักอึกคงคลายหนาวได้ดีทีเดียว
“นี่เป็นสุราบ่มร้อยปีฤทธิ์แรงนัก เจ้าดื่มไม่ได้หรอก จางกงกง” เฉินซือหยางเอ่ยเรียก เพียงไม่นานจางเสี่ยวเหล่ยก็ยกสุราผูเถาที่เตรียมไว้ให้จ้าวลี่หมิงโดยเฉพาะเข้ามา
“เจ้าดื่มสุรานี้จะดีกว่านะ”
“นี่คือสุราอะไรหรือ” จ้าวลี่หมิงมองสุราสีม่วงแปลกตาในจอกอย่างสนใจ ลองดมดูก็พบว่ามีกลิ่นหอมของผลไม้บางอย่าง พอได้ชิมก็ยิ่งชอบใจเพราะสุราสีม่วงใสนี้รสชา
เฉินซือหยางพาจ้าวลี่หมิง และหลานซือเยว่กลับตำหนักบูรพา ตำหนักบูรพานั้นกว้างใหญ่กว่าตำหนักอี้ชิ่งมากนัก แต่ก็ห่างไกลจากตำหนักหยางซินของเสด็จพ่อมากเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่อยากย้ายมา แต่พอผ่านพิธีสวมกวานแล้วก็จำต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ บัดนี้ผ่านมานานปีอะไรๆ ก็ล้วนคุ้นชิน ชายหนุ่มเดินนำทั้งสองเข้ามาในห้องโถงหลัก สั่งให้จางกงกงปรนนิบัติหลานซือเยว่ล้างเนื้อล้างตัว และเชิญหมอหลวงให้มาตรวจดูอาการ “ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอก ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเองก็มีวิชาแพทย์ติดตัว” จ้าวลี่หมิงห้ามไว้ เฉินซือหยางได้แต่พยักหน้าตกลง “ต้าซือเชิญพักผ่อนที่ตำหนักข้างก่อนเถิดขอรับ” จางกงกงผายมือเชิญหลานซือเยว่ที่ใบหน้าขาวซีดเนื้อตัวเปียกปอน ในเมื่อสภาพตนเองไม่น่าดูถึงเพียงนี้หลานซือเยว่ก็ไม่อิดออด ตามจางกงกงไปชำระล้างร่างกายแต่โดยดี ถึงแม้จะอยากอยู่กับบุตรชายให้นาน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ทะเลสาบเหลียนไห่เดิมทีเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีแม่น้ำห้าสายไหลมารวมกัน เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะพบเจอท่านที่นั่น เพียงแต่ถูกน้ำพัดมาไกลถึงขนาดนี้แล้วยังรอดชีวิต นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ” “อืม สวรรค์คุ้มครองโดยแท้ทุกวันนี้ข้ายังนึกกราบไหว้แทบไม่ทัน” หลานซือเยว่พูดติดตลก ทำเอาจ้าวลี่หมิงหัวเราะเฮฮาตามไปด้วย “เคราะห์ใหญ่ผ่านพ้นย่อมมีโชคตามมา ต่อจากนี้ต้าซือจะทำเช่นไรต่อไป” “เดิมบิดามารดาข้าล้วนสิ้นใจไปหมดแล้วจึงตัดสินใจออกบวช หันหน้าเข้าสู่พระธรรมเพื่อกล่อมเกลาจิตใจที่กำลังเศร้าหมอง ไหนเลยจะรู้ว่าตนเองจะโชคร้าย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเดินไปทางไหน” “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ที่เมืองหลวงมีอารามพุทธอยู่หลายแห่ง ประเดี๋ยวข้าจะค่อยๆ ตรวจสอบให้ น่าจะมีอารามดีๆ สักแห่งให้ท่านได้พักพิง” “ขอขอบค
“เสด็จแม่!... ไม่สิ! เป็นไปไม่ได้ เหตุใดใบหน้าของคนผู้นี้ถึงได้...” เฉินซือหยางตะลึงงันจ้องมองใบหน้าของหลานซือเยว่ไม่วางตา ตอนอยู่ที่ท่าเรือเพราะความมืดสลัวเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าใบหน้าของนักบวชผู้นี้คล้ายคลึงกับมารดาของเขายิ่งนัก แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นบุรุษจึงขับเน้นให้ดวงหน้าอ่อนหวานนั้นคมชัดยิ่งขึ้นหลายส่วน แลดูงดงามโดดเด่นกว่ามารดาเขามากนัก เป็นความงามเหนือโลกีย์ดั่งสัตตบงกชที่แย้มบานในสระหยกอมฤตบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหาได้แปดเปื้อนเศษธุลีแดงแม้เพียงเศษเสี้ยวประหนึ่งเทพเซียนผู้สูงสง่าน่าเลื่อมใสแล้วคนที่ดูสูงส่งถึงเพียงนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับมารดาเขา ในเมื่อญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงซูโม่หลันหรือนามที่แท้จริงก็คือ 'หลานโม่หลัน'ลูกพี่ลูกน้องของมารดาเขา ตระกูลหลานของเสด็จแม่เป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ ในเมืองห่างไกล ทั้งตระกูลมีเพียงท่านตาที่เป็นเสมียนชั้นผู้น้อยในที่ว่าการอำเภอ มารดาเขาจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมคัดเลือกนางกำนัล แล
จ้าวลี่หมิงนอนขลุกอยู่ในห้องจนสายโด่ง พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนตัวโตที่นอนอยู่เคียงข้างลุกออกไปนานแล้ว จ้าวลี่หมิงเรียกจางกงกงเข้ามาปรนนิบัติ พอได้อาบน้ำล้างหน้าก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย “ต้าซือทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง” “ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ เห็นต้าซือบอกว่าจะรอให้พระชายาตื่นก่อนค่อยทานพร้อมกัน” “แล้วตอนนี้ต้าซืออยู่ที่ใด” “ต้าซือชมดอกท้ออยู่ที่ศาลารับลมริมสระบัวตำหนักปีกซ้ายพ่ะย่ะค่ะ” “จัดสำรับที่ศาลารับลมก็แล้วกัน ไม่ต้องทำพวกเนื้อสัตว์ขึ้นโต๊ะนะ ข้าจะทานเจเป็นเพื่อนต้าซือ” “พ่ะย่ะค่ะพระชายา” จ้าวลี่หมิงเดินไปหาหลานซือเยว่ที่ตำหนักปีกซ้าย เห็นอีกฝ่ายกำลังจิบชาชมทัศนียภาพยามเช้าอย่างสบายอารมณ์ จ้าวลี่หมิงไม่อยาก
เพียงสบเข้ากับเนตรหงส์เรียวงามแฝงประกายฉ่ำวาวราวหยาดน้ำค้างคู่นั้น ส่วนลึกของจิตวิญญาณก็พลันสะท้านไหว สายตาอาลัยรักฉายแววคิดถึงคะนึงหาลึกซึ้งถึงกระดูก ทั้งเทิดทูนบูชาราวกับเขาเป็นดั่งท้องฟ้าไกลเกินเอื้อมคว้าไหนจะคำเรียกขานอันแสนคุ้นเคยที่เฉินเทียนอี้ไม่ได้ยินมานานปียังจะมีผู้ใดได้อีก “เป็นไปไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่” เฉินเทียนอี้พึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาจ้องมองดวงหน้าที่ทั้งแปลกตาทั้งคุ้นเคยของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างเหม่อลอย หวนนึกถึงวันวานที่พวกเขาได้พานพบกัน “หม่อมฉันหลานซือเยว่ถวายบังคมองค์ชายเก้าเพคะ” ร่างผอมบางของหลานซือเยว่ในวัยสิบสามหนาวสูงกว่าเขาในวัยหกหนาวเกือบช่วงตัว ยอบกายถวายบังคมองค์ชายตัวน้อยอย่างนอบน้อม แต่เขาที่ตอนนั้นยังไม่รู้ความและหยิ่งยโสใช้อำนาจกดข่มนางก็ไม่เคืองโกรธ “เ
“มาดื่มชาหน่อยจะได้ชุ่มคอ เมื่อครู่เหนื่อยหรือไม่” เฉินเทียนอี้หยิบผ้ามาซับเหงื่อให้หลานซือเยว่อย่างใส่ใจ “เสด็จพ่อกับหลินเสวี่ยเฟิ่งต้าซือดูสนิทสนมคุ้นเคยกันดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางปรายตามองเสด็จพ่อที่กำลังหลอกล่อให้นักบวชผู้นั้นกินขนมดอกกุ้ยอย่างสำราญใจด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ถึงขนาดล่อลวงให้เสด็จพ่อหลงใหลจนแทบประคองอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือ นับว่ามีความสามารถโดยแท้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอะไร “อ๋อ นี่หรือเพราะ...” เฉินเทียนอี้กำลังจะบอกความจริงกับบุตรชาย แต่กลับเห็นหลานซือเยว่ขยิบตาให้ ทั้งยังส่ายหน้าเบาๆ ไม่ให้ชายหนุ่มบอกออกไปว่านี่คือเสด็จแม่ของเขา เฉินเทียนอี้จึงได้แต่ปิดบังไว้ “...หลินเสวี่ยเฟิ่งเป็นสหายเก่าของพ่อเอง เจ้าก็มาทำความรู้จักไว้สิ” “สหายเก่า? ดูไม่ออกเลยว่าเสด็จพ่อก็มีสหายเป็นนักบวชผู้หนึ่งด้วย” เฉินซือหยางเย้าเสด็จพ่อยิ้มๆ แสร้งท
“จำได้หรือไม่ว่าต้องพูดอย่างไร” “รู้น่า แค่เอ่ยคำว่า 'ขอโทษ' ง่ายจะตายไป” “ดี ไหนลองพูดดูซิ” “ขอโทษ” “เข้าไปแล้วห้ามก่อเรื่อง เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจแล้วน่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุมากกว่าเจ้าด้วย” เฉินซือหยางกับจ้าวลี่หมิงยืนเถียงกันอยู่หน้าห้องบรรทมในตำหนักหยางซิน ทำเอาหวังกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอมยิ้มขำนายท่านทั้งสอง “จะให้ขานนามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้อง” เฉินซือหยางโบกมือห้ามไว้ จ้าวลี่หมิงแอบชะโงกหน้าเข้าไปสังเกตการณ์ภายในห้อง เห็นเฉ
ดึกดื่นคืนค่ำจันทราหลบเร้นในหมู่เมฆ อารามหลวงตั้งตระหง่านกลางพระราชวังเงียบสงัด ภายในห้องพักแห่งหนึ่งซึ่งหลานซือเยว่อาศัยหลับนอน ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าคลุมศีรษะสีดำสนิท ดวงตาสีนิลดุจรัตติกาลเปล่งประกายวาววับท่ามกลางความมืด จับจ้องไปยังร่างบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงตั่งด้วยความรักใคร่ลึกซึ้งถึงกระดูก ร่างสูงเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ข้างเตียง ทรุดตัวลงนั่งข้างกายคนที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว มือหนาลูบไล้ดวงหน้าซึ่งติดตรึงอยู่ในใจไม่เสื่อมคลาย “เสวี่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มกระซิบเรียกหลินเสวี่ยเฟิ่งเสียงแผ่วชิดปากอิ่ม ริมฝีปากหนาประทับบนริมฝีปากบางเพียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ บดขยี้อย่างหนักหน่วงตามแรงอารมณ์ “ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้หรือไม่ ยอดรักของข้า” มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ของหลานซือเยว่ออกอย่างเร่งร้อน เป็นเพราะรีบมากเกินไปจึงทำให้หลานซือเยว่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต