เมื่อมีผู้มาแสดงน้ำใจอย่างไม่มีเหตุผล ย่อมไม่ได้มีเจตนาดีเมิ่งจิ่นเหยาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไม่ละ ข้ายังมีธุระอื่นอีก”เมื่อได้ฟัง เมิ่งจิ่นอวี้ก็ถามด้วยใบหน้าผิดหวัง “พี่หญิงใหญ่ ท่านไม่อยากไปกินข้าวด้วยกันกับพวกข้างั้นหรือเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้พวกเราพี่น้องมีเรื่องบาดหมางกันอยู่บ้าง ทว่าข้าก็มิใช่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น ตอนนี้มาพบกันบนถนน จึงได้เชื้อเชิญพี่หญิงใหญ่ไปกินข้าวด้วยกันด้วยความจริงใจนะเจ้าคะ”ท่านหญิงจิ้งหนิงจับจ้องเมิ่งจิ่นอวี้ด้วยความคาดหวัง อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าการที่นางเอาอกเอาใจผู้อื่น แต่ผู้อื่นกลับเมินเฉยนั้นช่างน่าอับอาย จึงได้กล่าวว่า “อาอวี้ คนเขาไม่อยากสนใจเจ้า ไยเจ้าต้องไปรบเร้าด้วยเล่า? อีกอย่าง วันนี้ข้าเชิญเจ้าไม่ได้คิดที่จะเชิญนางเสียหน่อย”เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองเมิ่งจิ่นอวี้ และเปลี่ยนความคิดในฉับพลัน หันมาแย้มยิ้มอย่างงดงามแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อท่านหญิงมีน้ำใจ เช่นนั้นหากข้าน้อยปฏิเสธก็คงจะดูไม่สุภาพนัก”ท่านหญิงจิ้งหนิง “???”เมิ่งจิ่นอวี้ตะลึงงันชิงชิวกับหนิงตงก็งงงันเช่นกันชั่วครู่ ท่านหญิงจิ้งหนิงถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ กล่าวอย่างไม่สบอาร
เมื่อท่านหญิงจิ้งหนิงได้ฟังก็ตะลึงงัน มองไปยังเมิ่งจิ่นอวี้อย่างต้องการคำอธิบายใบหน้าของเมิ่งจิ่นอวี้ชะงักค้าง กล่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นสุขว่า “พี่หญิงใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ท่านทำผิดถึงได้ถูกท่านย่าลงโทษแท้ ๆ ไยถึงได้ผลักความรับผิดชอบมากที่ข้า และปรักปรำข้าด้วยเล่า? ท่านย่าจัดการเรื่องราวด้วยความยุติธรรม ไม่มีทางลำเอียงแน่นอนเจ้าค่ะ”ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ถามกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “น้องรองลองพูดมาสิว่า ข้าทำผิดเรื่องใดกระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นอวี้ถูกคำพูดนี้ทำให้สำลักไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “พี่หญิงใหญ่รู้อยู่แก่ใจของตนเองดี ต่อหน้าท่านหญิง ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องน่าอับอายที่ผ่านมาของพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ ช่างเถิด ล้วนแต่เป็นเรื่องในอดีตทั้งนั้น หลังจากนี้พี่หญิงใหญ่เปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรก็แต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว หากยังทำผิดอีก จวนฉางซินโหวคงต้องตำหนิตระกูลเมิ่งที่ไม่สั่งสอนพี่หญิงใหญ่ให้ดีเป็นแน่”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ภายในไม่ยิ้มตามว่า “เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้เช่นไรกัน? เป็นเจ้าที่มัวแต่ห่วงเล่นแล้
ชิงชิวกับหนิงตงตามเมิ่งจิ่นเหยาออกมาจากห้องส่วนตัว ต่างก็รู้สึกงงงันอยู่บ้าง ทว่าเมื่อคิดถึงสีหน้าท่าทางที่รับมือไม่ทันและลนลานของคุณหนูรองแล้ว ก็รู้สึกแอบพอใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งหนิงตงยิ้มตาหยีพลางถามว่า “ฮูหยิน คำพูดที่ท่านกล่าวออกมาต่อหน้าท่านหญิงเมื่อครู่ ท่านหญิงจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยายักไหล่อย่างไม่แยแส ยิ้มพลางกล่าวว่า “จะสนใจว่านางเชื่อหรือไม่ทำไม เพียงแค่เห็นเมิ่งจิ่นอวี้ไม่มีความสุขก็พอแล้ว ทั้งวันเอาแต่พูดเรื่องที่เหมือนจะจริงแต่ไม่ใช่ความจริงทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด สามารถสร้างปัญหาให้นางได้ก็ดีมากทีเดียว ข้าพูดเรื่องพวกนั้นต่อหน้าท่านหญิงจิ้งหนิงในวันนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ท่านหญิงระแวดระวังไว้บ้าง ไม่เชื่อใจนางอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ออกหน้าแทนนางอีกแล้ว เว้นเสียแต่ว่าท่านหญิงจะถูกนางหลอกลวงเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำอีกครั้ง”หนิงตงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านหญิงที่มาจากราชวงศ์อันละโมบและเหี้ยมโหด จะกลับใสซื่อเช่นนี้ได้ ช่างหาได้ยากเหลือเกินเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นด้วย “ถูกพะเน้าพะนอจนเติบใหญ่ ไม่รู้จักรสชาติของความทุกข์ ย่อมมีนิสัยที่ไร้เ
เมื่อเมิ่งจิ่นอวี้เห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น และมองดูท่านหญิงจิ้งหนิงจากไปอย่างทำอันใดไม่ได้ ย่ำเท้าอย่างร้อนใจ ภายในใจเกลียดเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกเมิ่งจิ่นเหยาจะเล่นงานเช่นนี้ อีกทั้งดูเหมือนว่าท่านหญิงจะเชื่อนางไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน……เมื่อถึงหน้าประตูภัตตาคารอีกแห่งหนึ่ง เมิ่งจิ่นเหยากับสาวใช้ทั้งสองคนก็ลงมาจากรถม้าทั้งสามคนกำลังจะเข้าไปในภัตตาคาร ทว่ากลับมองเห็นคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าหรูหราที่อยู่ด้านข้าง พวกนางนายบ่าวอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นท่านหญิงจิ้งหนิงท่านหญิงจิ้งหนิงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้พบกับนาง จึงตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็กล่าวว่า “กู้ฮูหยิน ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะเจอกันอีกครั้งได้เร็วถึงเพียงนี้”สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาสงบนิ่ง แย้มยิ้มมุมปาก “ไยท่านหญิงถึงไม่อยู่ด้วยกันกับน้องรองของข้าน้อยเล่าเจ้าคะ? หรือจะบอกว่า ท่านหญิงต้องการมาเพื่อออกหน้าแทนนางอีกแล้ว และมาหาเรื่องข้าน้อยกระนั้นหรือ?”ท่านหญิงจิ้งหนิงจ้องมองนางอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่านางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่ากำลังมองดูเรื่องตลกของตนเอง ก็ไม่พอใจไปชั่วขณะ “มิใ
เมิ่งจิ่นเหยากำลังถือถ้วยชา เมื่อจิบน้ำชาแล้ว ก็ถามกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า “คำพูดอันใดงั้นหรือเจ้าคะ?”เมื่อได้ฟัง ท่านหญิงจิ้งหนิงก็รู้สึกว่านางจงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจภาษาคน จึงจับจ้องไปที่นาง “ก็เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งที่พวกเราคุยกันที่ภัตตาคารก่อนนั่น”เมิ่งจิ่นเหยาแสดงสีหน้าท่าทางเข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน ยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง พลางกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “หากข้าน้อยบอกว่าเป็นความจริง ท่านหญิงอาจไม่เชื่อก็เป็นได้ และหากข้าน้อยบอกว่าเป็นเรื่องโกหก ก็จะขัดต่อมโนธรรมของตนเอง ข้าน้อยก็จะรู้สึกผิดต่อมโนธรรมได้เจ้าค่ะ”ท่านหญิงจิ้งหนิงถูกคำพูดนี้ทำให้สำลัก ช่างหน้าหนาเสียจริง พูดอ้อมไปอ้อมมาเพื่อบอกว่าสิ่งที่ตนเองพูดล้วนเป็นความจริงสินะผ่านไปสักพัก ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ถามอีกว่า “เช่นนั้นที่หออุปรากรครั้งที่แล้ว น้องสาวของเจ้าคิดจะผลักเจ้าลงไปจริงงั้นหรือ สุดท้ายตัวนางเองไม่ได้ระวังตกลงไป แต่ว่าถูกเจ้าช่วยเอาไว้ได้ ทั้งยังใส่ความเจ้าต่อหน้าข้าด้วย?”เมิ่งจิ่นเหยาถามกลับ “มิเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ? ท่านหญิงคิดว่าข้าน้อยกับนางกำลังล้อเล่นกันอยู่อย่างนั้นหรือ?”สีหน้าของท่านหญิงจิ้งหนิงเคร่งขรึมล
ที่กล่าวกันว่ากินของผู้อื่นแล้วจะเอนเอียงนั้น เมิ่งจิ่นเหยาที่กินอาหารไปมื้อใหญ่โดยไม่ต้องใช้เงิน ก็พูดคุยด้วยง่ายยิ่งนัก นางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ต่อไปท่านหญิงจะไปที่ไหนงั้นหรือเจ้าคะ? อยากให้ข้าน้อยไปเป็นเพื่อนหรือไม่? หากไม่ต้องการให้ข้าน้อยไปด้วย เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวก่อน ”เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองดูนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า การแต่งกายของนางในวันนี้สดใสและเป็นธรรมชาติ จึงพยักหน้าอยู่ชั่วครู่ “พอมองดูแล้วเจ้าก็เป็นผู้ที่มีสายตาที่ดีเช่นกัน ไปเป็นเพื่อนข้าเลือกเครื่องประดับสักสองสามชิ้นเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาตอบรับอย่างยินดี ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีธุระอื่นอีก ก็คิดเสียว่าหาความสุขให้ตนเองแล้วกัน……หอจินอวี้ ร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงสายตาของเมิ่งจิ่นเหยาไม่เลวเลยจริง ๆ เลือกเครื่องประดับหลายชิ้นให้กับท่านหญิงจิ้งหนิงท่านหญิงจิ้งหนิงรู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ “กู้ฮูหยิน สายตาของเจ้าดีกว่าน้องสาวของเจ้ามากนัก เครื่องประดับที่นางเลือกให้ข้า ข้าไม่ค่อยถูกใจเท่าใดนักเลย”เมิ่งจิ่นเหยาแย้มยิ้ม “ท่านหญิงชื่นชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะลองไปดูชิ้นอื่นสัก
เมื่อเห็นดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกว่าตนเองได้เล่นใหญ่ไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะทำให้นางมีโทสะจนหาทิศหาทางไม่เจอ เดิมทีนางเพียงแต่คิดว่าท่านหญิงจิ้งหนิงผู้นี้เงอะงะจนดูน่ารักดี อยากจะหยอกล้อสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางมาจ่ายเงินให้ตนเองได้จริง ๆ จึงรีบตามไปอย่างรวดเร็วเมื่อออกมาจากหอจินอวี้แล้ว นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านหญิงอย่ามีโทสะไปเลยเจ้าค่ะ หากว่าโกรธเสียจนกระทบสุขภาพ เช่นนั้นคงเป็นความผิดบาปของข้าน้อยแล้วจริง ๆ ”ฝีเท้าของท่านหญิงจิ้งหนิงชะงักค้าง หันหน้ามาพลางหรี่ตามองนาง แค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เอาเถิด เจ้าก็อย่ามาอยู่ต่อหน้าข้าแล้วเอาแต่เรียกตนเองว่าข้าน้อยอยู่เลย ถ่อมตนเช่นนี้ไม่เหมือนกับนิสัยเดิมของเจ้า ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ใช้เงินท่านหญิงเช่นข้าไปแล้วพันกว่าตำลึง ยังไม่เคยมีสตรีคนใดกล้าหลอกเงินของข้าเลย”เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็เปลี่ยนสรรพนามในการเรียกตนเองทันที “ท่านหญิงอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ หากโกรธจนเสียสุขภาพ นั่นถือเป็นความผิดของข้า”ท่านหญิงจิ้งหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “...”ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
ท่านหญิงจิ้งหนิงตกใจ “ข้าน่ารักหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย ท่านหญิงจิ้งหนิงน่ารักมากจริง ๆ ดวงตาเมล็ดซิ่ง แก้มเปล่งปลั่งดั่งลูกท้อ คิ้วเรียวบางเหมือนใบหลิว แถมยังมีแก้มยุ้ยแบบเด็กน้อย นิสัยก็ซื่อ ๆ และยังดูเปิ่น ๆ เล็กน้อยอีกสายตาของท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองเมิ่งจิ่นเหยาอย่างแปลก ๆ สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดกันมากที่สุดก็คือนางเป็นคนเอาแต่ใจและเข้าถึงยาก มีเพียงเสด็จย่าเท่านั้นที่บอกนางอย่างตรงไปตรงมาว่าน่ารักแถมยังทำให้คนชื่นชอบหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่านหญิงก็หันหน้าออกไปไม่มองนาง พลางกล่าว “เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นบอกแล้วว่าอยากจะส่งให้เจ้า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับคืน วันนี้ข้าสูญเสียสหายคนหนึ่งไป ตอนนี้อยากจะหาใครคนหนึ่งมาเติมเต็มช่องว่างนี้ และดูเจ้ายังถือว่าเข้าตา”เมิ่งจิ่นเหยาชะงักไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็คืนสติกลับมา ท่านหญิงนี่หมายความว่าอยากผูกมิตรกับนาง นางไม่มีเพื่อนอะไร มีแค่อาหนิง และตอนนี้ก็ไม่รังเกียจหากจะเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ถึงอย่างไรนิสัยเดิมของท่านหญิงท่านนี้เป็นคนดี สุดท้ายจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สกุลเมิ่งมาถึงรุ่นข้า เด็กผู้หญิงล้วนใช้ชื่อขึ้นต้
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา