หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง เมิ่งจิ่นเหยาก็ละสายตากลับมาจากที่นั่งผู้ชมชั้นล่าง และหันหน้ามองสาวใช้ทั้งสองคนของตนเอง พลางถาม “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ร้องไห้?”ชิงชิว “...”หนิงตง “...”พวกนางร้องไห้แล้วนะ เพิ่งร้องเสร็จเมื่อครู่ ดวงตาน่าจะยังแดงอยู่ หรือว่าฮูหยินมองไม่เห็น?เมิ่งจิ่นเหยาเห็นพวกนางนิ่งเงียบไม่พูดจา จึงมองดูพวกนางทั้งสองอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ “อืม เคยร้องไห้แล้ว ขอบตายังแดงอยู่ และขนตาก็เปียกชื้นด้วย”หนิงตงสอบถาม “ฮูหยิน ต่อจากนี้ยังมีอีกหนึ่งการแสดง ท่านยังอยากจะฟังอีกหรือไม่เจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่แล้ว ครั้งหน้าค่อยมาดูแล้วกัน พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”สาวใช้ทั้งสองคนขานรับ เรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน จากนั้นก็จากไปเมืองหลวงใหญ่เช่นนี้ มักจะมีช่วงที่เจอศัตรูบนถนนแคบ ๆ อยู่เสมอตอนที่เจ้านายและบ่าวรับใช้ทั้งสามคนเดินมาตรงบันได ก็พบกับเมิ่งจิ่นอวี้ เวลานี้เมิ่งจิ่นอวี้ติดตามอยู่ด้านข้างสาวน้อยรูปงามคนหนึ่ง สาวน้อยแต่งกายหรูหรา เรือนร่างดูสง่างาม สามารถมองออกได้ว่าสาวน้อยมีฐานะที่สูงส่ง แต่เมิ่งจิ่นเหยาไม่ร
ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองพวกนาง และกล่าวอย่างแปลกใจว่า “พี่สาวที่ไม่รู้จักมารยาทอย่างเจ้าที่แท้ยังรู้จักคารวะให้ข้าด้วยหรือ ข้านึกว่านางจะไม่รู้จักเสียอีก เพราะเห็นข้ายังไม่มองมาตรง ๆ เลย” พูดจบ นางก็กล่าวกับเจ้านายและบ่าวรับใช้ทั้งสามอย่างเรียบเฉย “พอแล้ว ทุกคนลุกขึ้นมาเถอะ”“ขอบคุณท่านหญิง”เมิ่งจิ่นเหยาลุกขึ้น ด้วยสีหน้าเป็นปกติ และไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของท่านหญิงแล้ว”เมื่อนางพูดจบ ก็พยักหน้าไปทางท่านหญิงจิ้งหนิงเล็กน้อย จากนั้นเตรียมจะพาสาวใช้จากไป เพิ่งเดินไปได้สองก้าว นางก็เห็นเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมา จึงเบี่ยงกายเปลี่ยนไปเดินทางด้านซ้ายด้วยความเร็วฉับไว ถึงได้หลีกเลี่ยงการกลิ้งลงมาจากชั้นบนได้อย่างไรก็ตาม เมิ่งจิ่นอวี้กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น หลังจากเสียงกรีดร้อง “ว้าย” ของนาง คนทั้งคนก็ตกบันไดลงไปด้านล่างเมิ่งจิ่นเหยาจับข้อมือของนางอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างใช้แรงดึงทั้งหมดจับราวบันไดไว้ จากนั้นปล่อยมือ เมิ่งจิ่นอวี้ก็ล้มกลับไปอยู่บนพื้นของด้านหลังทางลงบันได“ว้าย!”เมิ่งจิ่นอวี้ล้มอยู่บนพื้น และกร
หลังจากหนิงตงได้ยินก็ตกตะลึง ในใจยังคงโมโหไม่หาย และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นี่ช่างเอื้อประโยชน์ให้นางเสียจริงเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้มที่มุมปาก “นางใส่ร้ายข้าต่อหน้าท่านหญิงจิ้งหนิง ท่านหญิงกลั่นแกล้งข้า ข้าคืนความตกใจให้นางฉากหนึ่ง แถมยังล้มไปอีกหนึ่งที ข้าไม่เสียเปรียบ และถือว่าได้แก้แค้นต่อหน้าแล้ว”ชิงชิวนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็เม้มริมฝีปากพลางยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยิน คำพูดของท่านเมื่อครู่นี้ หากท่านหญิงจิ้งหนิงไม่ใช่คนโง่เขลา เช่นนั้นก็น่าจะฟังออกว่านางขโมยไก่ไม่ได้ แถมยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือนะเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงัก และส่ายหน้าอย่างยากจะสังเกตเห็นเล็กน้อยทันที “หวังว่านะ แต่ว่าดูท่าทางท่านหญิงจิ้งหนิงจะไม่ใช่คนฉลาดมากนัก จะถูกเมิ่งจิ่นอวี้หว่านล้อมแค่ไม่กี่คำก็มีความเป็นไปได้”หนิงตงตกใจ “คงเป็นไปไม่ได้หรอกกระมังเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มปากและยิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นเรื่องที่พูดได้ยากแล้ว”ความเป็นจริง ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดมากนักจริง ๆ อีกด้านหนึ่ง เมิ่งจิ่นเหยาพวกนางเจ้านายและบ่าวรับใช้ทั้งสามเพิ่งจะหันหลังกลับ และเดิ
ท่านหญิงจิ้งหนิงเชื่อต่อคำพูดของนางอย่างไม่มีข้อกังขา เห็นนางขมวดคิ้วแน่น คงจะเจ็บน่าดู จึงกล่าว “พวกเราหยุดเดินเล่นกันก่อน ข้าจะส่งเจ้าไปโรงหมอ ให้ท่านหมอตรวจเจ้าเสียหน่อย จะได้ไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้”เมิ่งจิ่นอวี้ก็ไม่อวดเก่งอีก “ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะ”นึกถึงคำที่เมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ ท่านหญิงจิ้งหนิงจึงคาดเดา “เมื่อครู่พี่สาวเจ้าจงใจผลักเจ้า จากนั้นค่อยทำท่าใจดีช่วยเจ้า แล้วสุดท้ายก็ทำให้เจ้าล้มใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นอวี้ตกตะลึงเล็กน้อย และส่ายหน้าอย่างงุนงงทันที “ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว เรื่องของเมื่อครู่ทำข้าตกใจมาก ข้าจำได้ว่ายืนอยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ล้มลงไปแล้วเจ้าค่ะ” ท่านหญิงจิ้งหนิงพ่นลมหายใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “จะต้องเป็นนางแน่ ๆ ที่ผลักเจ้า จากนั้นค่อยแสร้งทำท่าใจดี และทำร้ายเจ้าจนหกล้ม แถมยังคำพูดที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่จริงจนทำให้คนเข้าใจผิดเหล่านั้นอีก” เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นอวี้ก็ถอนหายใจอย่างจนใจเบา ๆ “พี่หญิงใหญ่คงจะไม่ชอบหน้าข้า จึงอยากทำให้ข้ากลัวนิดหน่อยกระมัง บวกกับเมื่อครู่นางเสียหน้าตอนอยู่กับท่าน นางจะต้องโมโหอยู่ในใจเป็นแน่
ซ่งซินหนิงฟังจบ สีหน้าก็ดูแย่อย่างมาก “มิน่านางถึงแสร้งทำเป็นพูดจาดีให้เจ้า ที่แท้ก็รู้สึกผิดนี่เอง”เมื่อเห็นสหายรักสีหน้ามืดมน นางก็ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลพร้อมกล่าวปลอบใจว่า “อาเหยาอย่าโมโหไปเลย ช่วยนางไว้จะดีกว่า มิเช่นนั้นหากนางตกลงไปก็จะโทษเจ้า ท่านหญิงจิ้งหนิงคงช่วยเหลือนาง ถึงตอนนั้นจะทำลายชื่อเสียงของเจ้า และกล่าวหาว่าเจ้าวางแผนทำร้ายชีวิตพี่น้องบ้านตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้แล้วจริง ๆ”เมิ่งจิ่นเหยาถอนหายใจออก “ช่างเถอะ วันนี้ข้าจะถือว่าโชคร้ายที่ก่อนออกมาไม่ได้ดูปฏิทิน จนถูกสุนัขกัด”“ถูกต้อง ก็ถือเสียว่าถูกสุนัขที่ดุร้ายกัด” ซ่งซินหนิงพยักหน้าติดต่อกัน ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและเอื้อมมือไปคล้องแขนนางไว้ “อาเหยา เลือกผงชาดเป็นเพื่อนข้าหน่อย ยังมีที่ทาปากด้วย สีที่เจ้าเลือกให้ครั้งก่อนเหมาะสมกับข้ามาก ครั้งนี้เลือกอันใหม่ให้ข้าอีกนะ”เมิ่งจิ่นเหยาขานรับ ขณะที่เตรียมจะเข้าไปในร้านขายผงชาดด้วยกันกับนาง ฝีเท้าที่ก้าวออกไปกลับชักกลับมาอีกครั้ง และถามอาการของเสิ่นฮูหยินด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “จริงสิ ร่างกายของเสิ่นฮูหยินดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?” ซ่งซินหนิงปรากฏรอยยิ้
เสิ่นฮูหยินเห็นนางแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏออกมา “อาเหยามาแล้วหรือ รีบนั่งเถอะ”เมิ่งจิ่นเหยาย่อกายทำความเคารพ หลังจากนั้นก็นั่งลงตรงเก้าอี้เล็กที่อยู่หน้าเตียง และถามอย่างกังวล “เสิ่นฮูหยิน ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”“ดีมากแล้ว” ขณะที่เสิ่นฮูหยินกล่าว ก็ยิ้มและมองไปทางว่าที่ลูกสะใภ้ที่อยู่ด้านข้าง พลางกล่าวติดตลกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายังรออาหนิงแต่งเข้ามา และดื่มชาของลูกสะใภ้อยู่นะ รอน้ำชามานานขนาดนี้ ก็จำเป็นต้องดื่มให้ได้ จะให้คนอื่นมาดื่มแทนข้าไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง ยังไม่ได้อุ้มหลานชายก็จะตายแล้ว น่าเสียดายแย่”ซ่งซินหนิงใบหน้าแดงก่ำ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แง่งอน “ป้าสะใภ้เสิ่น ข้าอาจจะให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ แต่กำเนิดบุตรสาวแทนเล่าเจ้าคะ?”พูดจบ ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงขึ้น ดูสินางพูดอะไรออกมา? กำเนิดหรือไม่กำเนิดอะไรกัน ช่างไร้ยางอายเสียจริง!เสิ่นฮูหยินตกตะลึงเล็กน้อย พลางยิ้มและกล่าวทันที “บุตรสาวก็ดีนะ เป็นคนที่เอาใจใส่เหมือนอาหนิง ป้าเสียดายมาโดยตลอดที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวสักคนที่น่ารักและรู้ความเหมือนอย่างอาหนิงได้”ซ่งซินหนิงอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พ
เมิ่งจิ่นเหยาและซ่งซินหนิงรับประทานมื้อเย็นด้วยกันบนเรือสำราญ จากนั้นก็ชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของทะเลสาบ และภายในเรือสำราญยังมีเหล้าหมักผลไม้ซึ่งเตรียมไว้ให้แขกด้วย สองคนตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที จิบกันไปหลายจอก พลางคุยสัพเพเหระถึงเหตุการณ์น่าสนุกของแต่ละครอบครัวในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นในช่วงใกล้ ๆ นี้ เพลิดเพลินบันเทิงใจยิ่งนัก เวลาไหลผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งเรือสำราญเข้าเทียบท่าแล้ว กว่าที่พวกนางจะขึ้นจากฝั่ง ก็เป็นยามไฮ่สามเค่อแล้ว ยามนี้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว และคนที่เดินเล่นสัญจรไปมาบนท้องถนนของตลาดกลางคืนก็บางตาลงไปมากเช่นกัน บรรยากาศดูเงียบเหงาลงไปเล็กน้อย ซ่งซินหนิงชำเลืองมองเรือสำราญที่ลอยหร็อมแหร็มบนทะเลสาบ ก่อนจะเอ่ยอย่างแปลกใจ “ตอนกำลังมีความสุข ก็คุยกันเสียนานเชียว คิดไม่ถึงว่าจะดึกมากเพียงนั้นแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ได้คุยกันอย่างมีความสุขแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกันนะ” เมิ่งจิ่นเหยาผุดยิ้มออกมา “อาหนิง พวกเรากลับจวนกันก่อนเถิด วันข้างหน้าค่อยนัดกันใหม่ ไม่เช่นนั้นหากคุยกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ คงได้กลับจวนกันตอนยามจื่อพอดี” ซ่งซินหน
หากวันรุ่งขึ้นมาถึง เรื่องน่าอับอายที่นางสะดุดล้มหน้าประตูเรือนตนเองจะไม่ถูกเล่าลือไปทั่วจวนหรือ? กู้จิ่งซีเห็นนางฟุบอยู่บนพื้นแน่นิ่งไม่ตอบสนอง หัวคิ้วก็ขมวดขึ้น ก่อนจะย่อกายลงไปช่วยประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมานั่ง พลางถามด้วยเสียงอบอุ่น “ฮูหยิน เจ็บตรงไหนบ้าง?” ได้ยินเสียงนี้ เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา และสบสายตาที่เจือด้วยความห่วงใยคู่นั้น นางลองขยับร่างกายตนเองโดยสัญชาตญาณ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่แขนของตนเองข้างที่เพิ่งกระแทกพื้นไปเมื่อครู่ และตอบกลับว่า “เจ็บที่แขน แต่ว่ายังพอขยับได้เจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และหลุดยิ้มออกมาอย่างจนใจ “มาถึงประตูจวนแล้ว จะรีบร้อนไปไย? เยี่ยมเลย ล้มกระแทกลงไปตรง ๆ แบบนี้” เมิ่งจิ่นเหยา “…” นางพูดได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะนางตกใจ จนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ ฉะนั้นถึงได้สะดุดล้มแบบนี้? กู้จิ่งซีประคองนางขึ้นมา ทว่าแม่นางน้อยยังไม่ทันยืนมั่นคง ก็ทรุดตัวล้มลงในอ้อมกอดของเขาทันที นางสูดหายใจเย็นวาบ สองมือกำอกเสื้อของเขาแน่น คิ้วเรียวสองข้างขมวดแน่น ใบหน้าฉายแววอัดอั้นเพราะความเจ็บปวดออกมา เขาถามขึ้นทันที “ฮูหยิน เป็นอย่
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา