ท่านหญิงจิ้งหนิงเชื่อต่อคำพูดของนางอย่างไม่มีข้อกังขา เห็นนางขมวดคิ้วแน่น คงจะเจ็บน่าดู จึงกล่าว “พวกเราหยุดเดินเล่นกันก่อน ข้าจะส่งเจ้าไปโรงหมอ ให้ท่านหมอตรวจเจ้าเสียหน่อย จะได้ไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้”เมิ่งจิ่นอวี้ก็ไม่อวดเก่งอีก “ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะ”นึกถึงคำที่เมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ ท่านหญิงจิ้งหนิงจึงคาดเดา “เมื่อครู่พี่สาวเจ้าจงใจผลักเจ้า จากนั้นค่อยทำท่าใจดีช่วยเจ้า แล้วสุดท้ายก็ทำให้เจ้าล้มใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นอวี้ตกตะลึงเล็กน้อย และส่ายหน้าอย่างงุนงงทันที “ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว เรื่องของเมื่อครู่ทำข้าตกใจมาก ข้าจำได้ว่ายืนอยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ล้มลงไปแล้วเจ้าค่ะ” ท่านหญิงจิ้งหนิงพ่นลมหายใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “จะต้องเป็นนางแน่ ๆ ที่ผลักเจ้า จากนั้นค่อยแสร้งทำท่าใจดี และทำร้ายเจ้าจนหกล้ม แถมยังคำพูดที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่จริงจนทำให้คนเข้าใจผิดเหล่านั้นอีก” เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นอวี้ก็ถอนหายใจอย่างจนใจเบา ๆ “พี่หญิงใหญ่คงจะไม่ชอบหน้าข้า จึงอยากทำให้ข้ากลัวนิดหน่อยกระมัง บวกกับเมื่อครู่นางเสียหน้าตอนอยู่กับท่าน นางจะต้องโมโหอยู่ในใจเป็นแน่
ซ่งซินหนิงฟังจบ สีหน้าก็ดูแย่อย่างมาก “มิน่านางถึงแสร้งทำเป็นพูดจาดีให้เจ้า ที่แท้ก็รู้สึกผิดนี่เอง”เมื่อเห็นสหายรักสีหน้ามืดมน นางก็ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลพร้อมกล่าวปลอบใจว่า “อาเหยาอย่าโมโหไปเลย ช่วยนางไว้จะดีกว่า มิเช่นนั้นหากนางตกลงไปก็จะโทษเจ้า ท่านหญิงจิ้งหนิงคงช่วยเหลือนาง ถึงตอนนั้นจะทำลายชื่อเสียงของเจ้า และกล่าวหาว่าเจ้าวางแผนทำร้ายชีวิตพี่น้องบ้านตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้แล้วจริง ๆ”เมิ่งจิ่นเหยาถอนหายใจออก “ช่างเถอะ วันนี้ข้าจะถือว่าโชคร้ายที่ก่อนออกมาไม่ได้ดูปฏิทิน จนถูกสุนัขกัด”“ถูกต้อง ก็ถือเสียว่าถูกสุนัขที่ดุร้ายกัด” ซ่งซินหนิงพยักหน้าติดต่อกัน ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและเอื้อมมือไปคล้องแขนนางไว้ “อาเหยา เลือกผงชาดเป็นเพื่อนข้าหน่อย ยังมีที่ทาปากด้วย สีที่เจ้าเลือกให้ครั้งก่อนเหมาะสมกับข้ามาก ครั้งนี้เลือกอันใหม่ให้ข้าอีกนะ”เมิ่งจิ่นเหยาขานรับ ขณะที่เตรียมจะเข้าไปในร้านขายผงชาดด้วยกันกับนาง ฝีเท้าที่ก้าวออกไปกลับชักกลับมาอีกครั้ง และถามอาการของเสิ่นฮูหยินด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “จริงสิ ร่างกายของเสิ่นฮูหยินดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?” ซ่งซินหนิงปรากฏรอยยิ้
เสิ่นฮูหยินเห็นนางแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏออกมา “อาเหยามาแล้วหรือ รีบนั่งเถอะ”เมิ่งจิ่นเหยาย่อกายทำความเคารพ หลังจากนั้นก็นั่งลงตรงเก้าอี้เล็กที่อยู่หน้าเตียง และถามอย่างกังวล “เสิ่นฮูหยิน ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”“ดีมากแล้ว” ขณะที่เสิ่นฮูหยินกล่าว ก็ยิ้มและมองไปทางว่าที่ลูกสะใภ้ที่อยู่ด้านข้าง พลางกล่าวติดตลกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายังรออาหนิงแต่งเข้ามา และดื่มชาของลูกสะใภ้อยู่นะ รอน้ำชามานานขนาดนี้ ก็จำเป็นต้องดื่มให้ได้ จะให้คนอื่นมาดื่มแทนข้าไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง ยังไม่ได้อุ้มหลานชายก็จะตายแล้ว น่าเสียดายแย่”ซ่งซินหนิงใบหน้าแดงก่ำ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แง่งอน “ป้าสะใภ้เสิ่น ข้าอาจจะให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ แต่กำเนิดบุตรสาวแทนเล่าเจ้าคะ?”พูดจบ ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงขึ้น ดูสินางพูดอะไรออกมา? กำเนิดหรือไม่กำเนิดอะไรกัน ช่างไร้ยางอายเสียจริง!เสิ่นฮูหยินตกตะลึงเล็กน้อย พลางยิ้มและกล่าวทันที “บุตรสาวก็ดีนะ เป็นคนที่เอาใจใส่เหมือนอาหนิง ป้าเสียดายมาโดยตลอดที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวสักคนที่น่ารักและรู้ความเหมือนอย่างอาหนิงได้”ซ่งซินหนิงอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พ
เมิ่งจิ่นเหยาและซ่งซินหนิงรับประทานมื้อเย็นด้วยกันบนเรือสำราญ จากนั้นก็ชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของทะเลสาบ และภายในเรือสำราญยังมีเหล้าหมักผลไม้ซึ่งเตรียมไว้ให้แขกด้วย สองคนตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที จิบกันไปหลายจอก พลางคุยสัพเพเหระถึงเหตุการณ์น่าสนุกของแต่ละครอบครัวในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นในช่วงใกล้ ๆ นี้ เพลิดเพลินบันเทิงใจยิ่งนัก เวลาไหลผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งเรือสำราญเข้าเทียบท่าแล้ว กว่าที่พวกนางจะขึ้นจากฝั่ง ก็เป็นยามไฮ่สามเค่อแล้ว ยามนี้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว และคนที่เดินเล่นสัญจรไปมาบนท้องถนนของตลาดกลางคืนก็บางตาลงไปมากเช่นกัน บรรยากาศดูเงียบเหงาลงไปเล็กน้อย ซ่งซินหนิงชำเลืองมองเรือสำราญที่ลอยหร็อมแหร็มบนทะเลสาบ ก่อนจะเอ่ยอย่างแปลกใจ “ตอนกำลังมีความสุข ก็คุยกันเสียนานเชียว คิดไม่ถึงว่าจะดึกมากเพียงนั้นแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ได้คุยกันอย่างมีความสุขแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกันนะ” เมิ่งจิ่นเหยาผุดยิ้มออกมา “อาหนิง พวกเรากลับจวนกันก่อนเถิด วันข้างหน้าค่อยนัดกันใหม่ ไม่เช่นนั้นหากคุยกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ คงได้กลับจวนกันตอนยามจื่อพอดี” ซ่งซินหน
หากวันรุ่งขึ้นมาถึง เรื่องน่าอับอายที่นางสะดุดล้มหน้าประตูเรือนตนเองจะไม่ถูกเล่าลือไปทั่วจวนหรือ? กู้จิ่งซีเห็นนางฟุบอยู่บนพื้นแน่นิ่งไม่ตอบสนอง หัวคิ้วก็ขมวดขึ้น ก่อนจะย่อกายลงไปช่วยประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมานั่ง พลางถามด้วยเสียงอบอุ่น “ฮูหยิน เจ็บตรงไหนบ้าง?” ได้ยินเสียงนี้ เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา และสบสายตาที่เจือด้วยความห่วงใยคู่นั้น นางลองขยับร่างกายตนเองโดยสัญชาตญาณ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่แขนของตนเองข้างที่เพิ่งกระแทกพื้นไปเมื่อครู่ และตอบกลับว่า “เจ็บที่แขน แต่ว่ายังพอขยับได้เจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และหลุดยิ้มออกมาอย่างจนใจ “มาถึงประตูจวนแล้ว จะรีบร้อนไปไย? เยี่ยมเลย ล้มกระแทกลงไปตรง ๆ แบบนี้” เมิ่งจิ่นเหยา “…” นางพูดได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะนางตกใจ จนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ ฉะนั้นถึงได้สะดุดล้มแบบนี้? กู้จิ่งซีประคองนางขึ้นมา ทว่าแม่นางน้อยยังไม่ทันยืนมั่นคง ก็ทรุดตัวล้มลงในอ้อมกอดของเขาทันที นางสูดหายใจเย็นวาบ สองมือกำอกเสื้อของเขาแน่น คิ้วเรียวสองข้างขมวดแน่น ใบหน้าฉายแววอัดอั้นเพราะความเจ็บปวดออกมา เขาถามขึ้นทันที “ฮูหยิน เป็นอย่
นี่ใช่กำลังเป็นห่วงนางหรือเปล่า? กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับนาง ฉะนั้นถึงได้มายืนรอนางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวน? จิตใจของเมิ่งจิ่นเหยาถูกโจมตีอย่างแรง ฉับพลันทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความตกใจและงงงัน ภายใต้แสงอันนุ่มนวล โครงหน้าของบุรุษคมคายชัดเจน คิ้วคางเรียวยาวดูสง่า สีหน้าที่เคยเคร่งขรึมมืดมนบัดนี้กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิมแล้ว แสงอบอุ่นที่ส่องออกมาจากตะเกียงริมทางเดินทั้งสองข้าง สะท้อนเข้าไปในดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เคลือบนัยน์ตาคู่นั้นไว้ด้วยประกายแสนอ่อนโยน แววตาแม้ดูสงบนิ่งแต่ก็มิสูญเสียความอบอุ่น มิหนำซ้ำยังเจือด้วยความเป็นห่วงที่ยากจะจับสังเกต ขณะที่สบตากับเขา เมิ่งจิ่นเหยาจิตใจหวั่นไหวไปชั่วขณะ ก็หลุบสายตาลงโดยสัญชาตญาณ ลุกลี้ลุกลนเบนสายตามองไปทางอื่น ตอนที่ศีรษะแนบไปบนหน้าอกของเขา และได้ยินเสียงหัวใจเต้นอันทรงพลังนั้นเข้า หัวใจเผลอเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ เมิ่งจิ่นเหยาพูดตะกุกตะกักออกมาเบา ๆ “เหตุใดท่านพี่จึงดีกับข้าเพียงนี้?” พวกเขาสองคนเป็นเพียงแค่คู่สามีภรรยากันผิวเผิน อย่างนางมีดีอะไรตรงไหน ถึงคู่ควรให้กู้จิ่งซีต้องมารอนางอยู่หน้าประตูเรือนกลางดึกดื่
...... ณ เรือนเวยหรุยเซวียน เจ้านายทั้งสองท่านยังไม่กลับมา แสงไฟภายในห้องหลักส่องสว่างไสว เซี่ยจู๋รวมถึงสาวใช้ที่เฝ้าเวรกลางคืนเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก ก็รีบออกไปดูสถานการณ์ ทันทีที่มาถึงประตู ก็เห็นท่านโหวอุ้มฮูหยินกลับมา สาวใช้สองคนต่างตะลึงงัน เซี่ยจู๋มองพวกเขาแล้ว ก็เดินเข้าไปถามไถ่อย่างกังวล “ท่านโหว ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “ฮูหยินหลับไปแล้ว ไปตักน้ำสักอ่างหนึ่งเข้ามา ให้ฮูหยินล้างหน้าล้างตา” พูดจบ เขาก็กำชับสาวใช้ที่เฝ้าเวรกลางคืนอีกครั้ง “ไปเตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อม” สาวใช้สองคนรับคำสั่ง และทำตามทันที กู้จิ่งซีอุ้มแม่นางน้อยเข้าไป หลังจากเข้ามาในห้องนอนแล้ว ก็จัดการวางคนลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล ก่อนจะไปหายาดองสำหรับรักษาบาดแผลหกล้มฟกช้ำมา และส่งให้ชิงชิว บอกให้นางและหนิงตงทาโอสถให้แม่นางน้อย เมื่อเรียบร้อยตนเองก็ไปชำระร่างกายที่ห้องอาบน้ำ ร่างกายของเมิ่งจิ่นเหยามิได้บาดเจ็บอะไร มีเพียงแขนที่กระแทกพื้นจนเป็นรอยฟกช้ำดำเขียว และข้อเท้าข้างซ้ายที่แพลงเท่านั้น บาดแผลที่แขนยังพอรักษาได้ แค่ไม่กี่วันรอยฟกช้ำจางไปก็นับว่าหายดีแล้ว ปก
ทันทีที่เมิ่งจิ่นเหยาได้ยิน ก็จ้องไปที่ชายหนุ่ม กัดฟันกรอด พลางฮึดฮัดเบา ๆ “ท่านคิดว่าข้าเป็นบุตรชายของท่านหรือ? แค่เจ็บปวดก็ร้องไห้แง ๆ น่าขายหน้า!” นางจำตอนนั้นที่กูซิวหมิงโดนตีในโถงบรรพชนได้ เขาเจ็บปวดจนร้องไห้แง ๆ น้ำตาก็ไหลไม่ยอมหยุด แถมยังละทิ้งท่าทีของซื่อจื่อสกุลกู้ที่แสดงออกมาอยู่ตลอดเวลาจนหมดสิ้นอีกกู้จิ่งซีมองดวงตาที่มีหมอปกคลุมบาง ๆ นั้น เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดจนน้ำตาคลอ กลับแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง เขาจึงยิ้มกว้างขึ้น แต่ปากกลับกล่าวเห็นด้วยว่า “ก็จริง ฮูหยินเป็นผู้อาวุโส จะเหมือนกับคนรุ่นหลังได้อย่างไร?”เมิ่งจิ่นเหยาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นมามองเท้าของตนเอง เห็นเพียงมือใหญ่ที่มีข้อต่อชัดเจนคู่นั้น มือหนึ่งจับฝ่าเท้าของนาง เพื่อห้ามนางขยับไปมา ส่วนอีกมือหนึ่งก็นวดข้อเท้าที่บวมแดงของนางขึ้นมาเบา ๆ มือคู่นี้เดิมทีใช้จับพู่กันและถือตำรา แต่บัดนี้กลับคอยปรนนิบัติเท้าของนางสัมผัสที่อุ่นร้อนแนบผิวหนังของนาง ผิวที่ถูกฝ่ามือของเขาทาบทับไว้ค่อย ๆ ร้อนขึ้น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา และความละอายใจก็ก่อตัวขึ้นในใจ จนอยากจะชักเท้าของตนเองกลับมาโดยไม่รู้ตัวอ
หนิงตงเห็นเช่นนี้ คิดว่าเขายังต้องการหาของชิ้นอื่นอีก ก็สาวเท้าตามไป กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกล่องไม้แดงใบนั้นเข้า จึงผงะไปทันใด ในใจสบถออกมาว่าไม่ดีแล้ว ทันใดนั้นเอง หนิงตงได้สติกลับมา กลัวว่าเขาจะเห็นของสิ่งนั้นและจะระลึกถึงคน จะคิดถึงแม่นางคนอื่นแล้วจะลืมนายหญิงของพวกนาง ก็รีบเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เปล่งเสียงถามทันที “ท่านโหว ท่านยังประสงค์จะหาของชิ้นใดอีกหรือไม่เจ้าคะ? ข้าน้อยจะได้ช่วยท่านหา” “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงต้องการตามหาม้วนภาพเขียนอักษรนี้เท่านั้น บัดนี้หาเจอแล้ว” กู้จิ่งซีพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองกล่องไม้แดงใบนั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่เพียงชั่วอึดใจ จากนั้นก็โค้งเอวลงหยิบไปหยิบกล่องไม้ใบนั้นขึ้นมาและนำออกไปพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้ทำให้หนิงตงดวงตาเบิกโพลง นางจ้องมองกล่องไม้แดงตาไม่กะพริบ สมองกลายเป็นสีขาวโพลนไปในชั่วขณะ หากนางจำไม่ผิด นี่คือกล่องที่บรรจุเครื่องประดับศีรษะหยกขาวมันแพะชุดนั้นไว้ และเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นของที่ท่านโหวคิดจะนำไปมอบให้คนในดวงใจ ทว่าสุดท้ายก็มอบให้ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ทิ้งลืมไว้ในห้องเก็บของ และไม่จดบันทึกไว้ใน
กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยยิ้มสดใสเจิดจ้า ดวงตาโค้งงอ นัยน์ตาใสดุจผิวคลื่นกำลังสะท้อนประกายแสง มีชีวิตชีวาและสว่างสุกสกาว มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ฮูหยิน ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เจ้าเล่นคนเดียวไปก่อน” ได้ยินวาจานั้น เมิ่งจิ่นเหยาหวิดจะกลอกตาใส่เขาอย่างอยู่รอมร่อ ดูคำพูดของเขาสิ ทำอย่างกับเขาจะมาเล่นกับตนเองด้วยอย่างไรอย่างนั้น แม้จะคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่ปากของนางกลับเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจ “ในเมื่อท่านพี่ยังมีธุระ เช่นนั้นท่านพี่รีบไปจัดการเถิด แล้วตอนเที่ยงจะกลับมารับประทานอาหารเที่ยงด้วยหรือไม่เจ้าคะ? หากว่ากลับมา ข้าจะได้สั่งให้คนครัวทำอาหารที่ท่านพี่โปรดปรานด้วยสักสองอย่าง” กู้จิ่งซีครุ่นคิด ก็ตอบกลับว่า “ตอนเที่ยงคงไม่มีเวลากลับมา ฮูหยินมิต้องคอยข้า” เขาพูดจบ เห็นแม่นางน้อยยับปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “ตอนเย็นข้าจะรีบกลับมากินข้าวพร้อมฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยา “…” อันที่จริงไม่ต้องรีบกลับมาเพื่อกินข้าวมื้อเย็นกับนางโดยเฉพาะก็ได้ เพราะนางกินข้าวคนเดียวได้อยู่แล้ว ทว่านางมิได้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกไป เพื่อจะไ
เมิ่งจิ่นเหยายิ้มอย่างน่าเอ็นดูและไร้เดียงสา “ท่านพะพี่ไงเจ้าคะ ทำไมหรือ?”กู้จิ่งซีจุปากเบา ๆ สองครั้ง และกล่าวอย่างอารมณ์ดีทั้งยังน่าขันว่า “นี่ฮูหยินเห็นข้าเป็นบิดาของเจ้าแล้วหรือ? แม้จะอีกแค่นิดเดียว ข้าก็จะกลายเป็นบิดาจริง ๆ เสียแล้ว แต่ฮูหยินยังคงต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน เจ้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของข้า ลูกเนรคุณของข้านั้นหนีงานแต่งงานในวันนั้นแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายหน้าอย่างรีบร้อน “ที่ใดกัน สามีก็คือสามี จะกลายเป็นบิดาได้อย่างไร? อีกอย่าง คนเป็นบุตรสาวที่ไหน จะนอนกับบิดาด้วยกันทุกคืนเล่าเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีหนังหน้ายิ้มตาไม่ยิ้มออกมา “ก็ใช่”เมิ่งจิ่นเหยา “....”ปากของนางนี้ยังดี ๆ อยู่ เหตุใดจู่ ๆ ถึงเกือบจะพลาดไปเสียได้เล่า?กู้จิ่งซีมองนางอยู่แวบหนึ่ง สีหน้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และเปลี่ยนมาเข้าเรื่องกันต่อ “เจ้าไม่รับช่วงอำนาจดูแลเรือนก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”เมิ่งจิ่นเหยาไม่รู้เหตุผล “หือ?”กู้จิ่งซีกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ายังเด็ก ควรจะอยู่ในวัยที่กิน ดื่ม และสนุกสนาน ไม่ควรถูกผูกมัดด้วยงาน หากรับกุมอำนาจดูแลเรือน คงจะเปลี่ยนมาทำงานหนัก งานประจำวันต่าง ๆ แค่ฟังรายงานจากคน
เรือนเวยหรุยเซวียนกู้จิ่งซีพยุงแม่นางน้อยกลับมา เดิมทีเขาคิดว่าเดินแบบนี้มันช้าเกินไป และอยากจะแบกคนกลับมาที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่แม่นางน้อยไม่ยินยอม บอกว่าไม่เหมาะสมเดินอืดอาดยืดยาด ในที่สุดก็กลับมาถึงเรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ และพักผ่อนด้วยการอิงพนักพิง นางยังคงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าระยะห่างของเรือนเวยหรุยเซวียนกับโถงโซ่วอันนั้นยาวไกลยิ่งนัก และการเดินเช่นนี้ก็เหนื่อยมาก ไม่แปลกที่คนพิการขาจะอิจฉาคนที่ขาคล่องแคล่วว่องไวอย่างยิ่งกู้จิ่งซีนั่งลงด้านข้างนาง เมื่อเห็นนางนั่งหมดแรงและขมวดคิ้วอยู่บนเก้าอี้ ก็ยกยิ้มที่มุมปาก พลางเปลี่ยนมาถามว่า “เหตุใดฮูหยินถึงปฏิเสธ?”เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็เอียงคอมองเขา และถามกลับว่า “ปฏิเสธอะไรเจ้าคะ? ท่านพี่หมายถึงเรื่องดูแลอำนาจดูแลเรือนหรือ?”กู้จิ่งซีส่งเสียง “อืม” อย่างราบเรียบ และวิเคราะห์อย่างเป็นการว่า “ด้วยความสามารถของฮูหยิน และมีความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ทั้งสองท่าน จะสามารถรับผิดชอบได้อยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องปฏิเสธด้วยเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะคิกคักและกล่าว “นั่นย่อมเป็นเพราะว่าข้าขี้เกียจน่
นางจางกับนางเฉินขานรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ ท่านแม่”หลังจากนั้น ทั้งครอบครัวก็พูดคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้เริ่มเหนื่อยแล้ว ถึงจะไล่ให้พวกเขาออกมาทุกคนทยอยออกจากโถงโซ่วอันด้วยความคิดที่แตกต่างกันนางจางกับนางเฉินเดินอยู่ด้วยกัน แม้ยามปกติพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองจะต่อสู้กันทั้งที่แจ้งและที่ลับ แต่เรื่องอย่างวันนี้ ก็มีเพียงบ่นกันนิดหน่อยอยู่สองคน และจะพูดกับเมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้นางจางเหลือบมองไปทางเมิ่งจิ่นเหยาที่เดินกับกู้จิ่งซีอีกทางหนึ่ง และถามเสียงเบาว่า “น้องสะใภ้รอง เจ้าว่าวันนี้น้องสะใภ้สามทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร? ดูจากที่นางทะเลาะกับบ้านมารดาเสียยกใหญ่ ดูไม่เหมือนจะรับผิดชอบอำนาจดูแลเรือนไม่ได้เลยนะ”เมื่อได้ยิน นางเฉินก็หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย พลางเหลือบมองนางอย่างมีความหมายแฝง และตอบกลับว่า “จะสนใจเรื่องที่นางทำเช่นนี้ทำไมกัน? สำหรับพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว ผลลัพธ์ถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”สีหน้านางจางแข็งทื่อในทันที และหัวเราะเสียงเบา “หรือว่าสำหรับน้องสะใภ้รอง ผลลัพธ์นี้ไม่ใช่เรื่องดี?”นางเฉินเม้มริมฝีปากและกล่าวเยาะเย้ย “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่น
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างตกใจนางจางจิตใจสั่นสะท้าน เมิ่งจิ่นเหยาแต่งเข้ามาก็สักระยะหนึ่งแล้ว แต่มารดาสามียังไม่เคยพูดถึงเรื่องของอำนาจดูแลเรือนเลย นางคิดว่ามารดาสามีรู้สึกว่าเมิ่งจิ่นเหยาอายุยังน้อย และแบกรับความรับผิดชอบใหญ่ๆ ไม่ไหว ดังนั้นจึงไม่พูดถึงมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะพูดในวันนี้นางเฉินกลับไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะเรื่องนี้อยู่ในการคาดเดาแล้ว เพียงแค่เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น นางหันไปมองนางจาง และเมื่อเห็นสีหน้าของนางจางที่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก นางก็ยิ้มอย่างยากที่จะสังเกตเห็นเดิมทีนางก็เป็นคนที่มารดาสามีขอให้ช่วยนางจางดูแลอำนาจดูแลเรือน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรอง สามีของตนเองก็ไม่ถือว่าธรรมดาจนเกินไป เขาเป็นถึงจางวางกรมพิธีการขั้นห้าของกรมพิธีการ ซึ่งแตกต่างกับตำแหน่งงานระดับต่ำและไม่มีบทบาทสำคัญของเรือนใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจดูแลเรือนมารักษาหน้าตาของครอบครัวไม่เพียงแค่สีหน้าของนางจางที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แม้แต่สีหน้าของกู้จิ่งเซิ่งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน หลังจากเมิ่งจิ่นเหยาแต่งเข้ามา เขาเคยได้ยินการวิเคราะห์ของนางจาง ว
สายตาของคนอื่นก็ตกไปอยู่ที่มือของพวกเขาเช่นกัน ด้วยความประหลาดใจ กู้จิ่งซีมีนิสัยเป็นเช่นไร พวกเขาล้วนรู้จักกันดี เขาดูเหมือนจะอบอุ่น แต่ความเป็นจริงกลับเย็นชา และทำให้คนยากจะเข้าใกล้ เคยใกล้ชิดกับสตรีต่อหน้าผู้คนเช่นนี้เสียเมื่อใดกัน? เห็นทีเมิ่งจิ่นเหยาจะไม่ธรรมดา เพราะถึงกลับสามารถสยบกู้จิ่งซีได้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกถึงสายตาที่มีความนัยของทุกคน สีหน้าของนางก็แข็งทื่อ และรับรู้ในภายหลังว่าตนเองยังใช้ไม้เท้ารูปคนอยู่ จึงปล่อยมือลงอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเดินไปข้างหน้าเพื่อคารวะยามเช้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีก็โค้งคำนับไปทางฮูหยินผู้เฒ่ากู้เช่นกัน “ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มีท่าทีที่อ่อนโยน “เด็กดี ทุกคนมานั่งลงแล้วค่อยคุยกันเถอะ”ทันทีที่นางเปร่งเสียง กู้จิ่งซีก็เอื้อมมือไปพยุงแม่นางน้อยให้นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้าง การกระทำนั้นคล่องแคล่วอย่างมาก ราวกับเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน นี่ถึงกับทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นตกใจกันหมดแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ที่เคยชินกับเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ครั้งก่อนบุตรชายกับลูกสะใภ้เข้ามา
วันต่อมา ตอนช้าตรู่หลังจากที่เมิ่งจิ่นเหยารับประทานอาหารเช้าเสร็จ และกำลังเตรียมจะตามกู้จิ่งซีไปโถงโซ่วอันเพื่อคารวะยามเช้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ตอนที่นางคิดจะลุกขึ้น กู้จิ่งซีก็ส่งไม้เท้าด้ามหนึ่งมาให้นางเมื่อเห็นเช่นนั้น นางก็แสดงสีหน้าขยะแขยง เพราะใช้ไม้เท้ามาหลายวันแล้ว นางรู้สึกเบื่อหน่าย ในใจปฏิเสธ ตรงปากก็ปฏิเสธ “ไปคารวะยามเช้าให้ผู้อาวุโส และใช้ไม้เท้าเข้าไป จะดูเหมือนอะไรเล่าเจ้าค่ะ?”กู้จิ่งซีเห็นใบหน้าที่ต่อต้านของนาง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปกตินางไม่ชอบใช้ไม้เท้า แต่กลับทำท่าจำเป็นต้องใช้ไม้เท้า ริมฝีปากจึงยกขึ้นเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น และโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อาการบาดเจ็บที่เท้าของฮูหยินยังไม่หายดี ใช้ไม้เท้าจะดีกว่า”เมิ่งจิ่นเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาการบาดเจ็บที่เท้าใกล้จะหายดีแล้ว ข้าเดินช้าหน่อยก็ได้ และพอเดินไปสองก้าว หากไม่ได้ค่อยใช้ไม้เท้า”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ไม่บังคับนาง และกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ก็ได้ เช่นนั้นก็เอาตามฮูหยินแล้วกัน” พูดจบ เขาก็ส่งไม้เท้าที่อยู่ในมือให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายเมิ
เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ็บมันก็เจ็บ แต่ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมากแล้ว นางจึงยังคงอดทนได้สักพักหนึ่ง เมิ่งจิ่นเหยาก็ถาม “จริงสิ เรื่องของเมื่อคืน ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายอะไรใช่หรือไม่?”ชิงชิวส่ายหน้า “ฮูหยินวางใจ เมื่อคืนท่านโหวแค่ให้คนใกล้ชิดของตนเองออกไปตามหาท่านเท่านั้น ไม่มีใครรู้ แม้แต่เซี่ยจู๋ยังไม่รู้เรื่องที่ท่านโหวรอท่านที่ปากประตูเลย ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ดึกมาแล้ว ใครจะสนใจประตูใหญ่เล่าเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นเช่นนี้ก็ดี ครั้งหน้านางกลับมาให้เร็วขึ้นจะดีกว่า มิเช่นนั้นเรื่องไปถึงด้านผู้อาวุโส สุดท้ายมันจะไม่ค่อยดีเท่าใดนักไม่นาน เซี่ยจู๋ก็เข้ามา ในมือยังถือไม้เท้าหนึ่งด้ามไว้ด้วยเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าไม้เท้าด้ามนี้เอาให้ใคร ในบรรดานาง ชิงชิว และหนิงตงสามคน ก็มีแค่นางคนเดียวที่ขาเป๋ชั่วคราวและสามารถใช้ไม้เท้าได้เซี่ยจู๋ย่อตัวทำความเคารพไปทางนาง จากนั้นก็ส่งไม้เท้ามาให้นาง และกล่าวด้วยเสียงที่ยินดีว่า “ฮูหยิน นี่คือไม้เท้าที่ท่านโหวสั่งให้คนส่งมา บอกว่าท่านข้อเท้าแพลง จะเดินไม่สะดวกเจ้าค่ะ”รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหย