บทที่ 45 ออกเดินทางภายในจวนแม่ทัพจาง ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ปะทะผ้าม่านสีครามเข้มจนปลิวไหวเบาๆ แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาเพิ่มความสงัดให้กับห้องที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตึงเครียด หยางชิวเหยาในชุดสีเขียวอ่อนเรียบง่ายเดินไปเดินมาด้วยสีหน้ากังวล นางหยุดยืนตรงหน้าของจางลู่เหวินที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องด้วยใบหน้าที่ยังคงดูสงบเรียบไร้ความกังวลอันใด แต่ทว่ารอยบาดแผลใต้เนื้อผ้ายังคงทำให้หยางชิวเหยารู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้“ลู่เหวิน ท่านยังไม่หายดี เหตุใดจึงต้องดื้อดึงออกรบในครั้งนี้ด้วยเล่า” หยางชิวเหยาที่อดรนทนไม่ไหวกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลใจจางลู่เหวินเงยหน้ามองนาง ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มอ่อน พร้อมกับพยายามฉายความมุ่งมั่นให้หญิงสาวตรงหน้าคลายความวิตกกังวลลง “ชิวเหยา...ข้ามิอาจปล่อยให้เมืองเตียนหยงถูกข้าศึกรุกรานไปมากกว่านี้ได้ การศึกครั้งนี้สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะหลีกเลี่ยง” น้ำเสียงเขาหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวที่ทำให้หยางชิวเหยาถึงกับสะอึก“แล้วบาดแผลของท่านเล่า พิษในร่างกายของท่านยังขับออกมาไม่หมด หากท่านยังต้องเดินทางไกลไปถึงเมืองเตียนหยง ข้าเกรงว่าท่
บทที่ 46 ล้อมสังหารกองทัพของจางลู่เหวินเดินทางมาจนถึงกลางหุบเขาที่ทั้งเลี้ยวลดและคดแคบ แสงแดดยามบ่ายส่องลงมาเป็นลำเล็กๆ ระหว่างยอดเขาสูงตระหง่าน หุบเขานี้เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่และต้นไม้ที่ขึ้นอย่างหนาแน่น หุบเขานี้เป็นเส้นทางบังคับที่กองทัพของจางลู่เหวินต้องผ่าน ทหารนับร้อยเคลื่อนขบวนไปอย่างระมัดระวัง เสียงกีบม้าดังก้องสะท้อนไปทั่วพื้นที่แคบเมื่อกองทัพของจางลู่เหวินเคลื่อนผ่านเส้นทางสายนี้จางลู่เหวินควบขี่ม้านำหน้าขบวนทัพ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมฉายแววความระแวดระวังในทุกย่างก้าวที่เดินทาง “สั่งทหารทุกคนให้คอยระวังตัวไว้ อย่าได้ประมาทไป” จางลู่เหวินตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงอันขึงขังและดุดัน สายตาคมกริบจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างเตรียมความพร้อมตลอดเวลาหยางชิวเหยาและเสี่ยวเว่ยนั่งอยู่ภายในรถม้าที่ติดตามกองทัพไปอย่างไม่ห่างโดยมีซ่งหลี่กวนคอยอารักขาอย่างใกล้ชิดตามคำสั่งของจางลู่เหวินทันใดนั้นเสียงธนูแหวกอากาศก็ดังก้องทั่วหุบเขา “ฟิ้ว” ธนูดอกแรกปักลงบนพื้นดินตามด้วยอีกหลายดอก พริบตาเดียวหินขนาดใหญ่บนยอดผาก็ถูกดันให้ร่วงหล่นลงมา เสียง “ตูม” ดังกระหึ่มไปทั่วพื้นที่แคบ“มีข้าศึกซุ่มโจมตี
บทที่ 47 ออเซาะยามสายของวันใหม่ แสงแดดอ่อนลอดผ่านยอดไม้สองข้างทาง เสียงล้อรถม้าบดลากไปตามทางผ่านถนนมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเตียนหยง บรรยากาศโดยรอบกลับมาเงียบสงบอีกครั้งมีเพียงเสียงนกร้องแว่วจากยอดไม้ดังเป็นจังหวะขับขานประสานกันเป็นท่วงทำนองภายในรถม้าจางลู่เหวินนั่งเอนกายพิงผนัง ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บ แต่ในดวงตาคมเข้มกลับฉายแววขี้เล่นที่ต่างไปจากปกติหยางชิวเหยานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางสวมชุดสีเขียวอ่อนลายดอกไม้เล็กๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ลอดผ่านม่านหน้าต่าง ผิวของนางดูเปล่งปลั่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจางลู่เหวินส่งเสียงกระแอมเบาๆ ดึงความสนใจของหยางชิวเหยาอีกครั้ง “ชิวเหยา...”หยางชิวเหยาหันกลับมามองจางลู่เหวินอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านต้องการสิ่งใดหรือ”จางลู่เหวินยกมือกุมหน้าอกข้างที่ได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าแผลของเขาจะได้รับการรักษาเป็นอย่างดี แต่จางลู่เหวินกลับทำสีหน้าราวกับคนเจ็บปวดเจียนตาย “แผลของข้าชักจะเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว...เจ้า...ช่วยดูให้หน่อยได้หรือไม่”หยางชิวเหยาขมวดคิ้ว หยิบผ้าห่อสมุนไพรขึ้นมาจากข้าง
บทที่ 48 สุรามงคล“บัดซบที่สุด...” เสียงสบถดังก้องไปทั่วห้องอักษรของจวนสกุลหาน เมื่อจ้าวกงเข้ามารายงานข้อมูลให้แก่หานอี้หลงเรื่องทหารลับของข้าศึกถูกกำจัดไปจนหมดด้วยฝีมือของซ่งหลี่กวน“นายท่าน...แม่นางหยางติดตามกองทัพไปด้วย พวกข้าจึงมิกล้าบุ่มบ่ามมากนัก” จ้าวกงรีบรายงานต่อในทันที เดิมทีจ้าวกงนำกำลังดักซุ่มโจมตีสมทบกับทหารลับของข้าศึกแต่เมื่อเห็นหยางชิวเหยาคนรักของเจ้านายตนเอง เขาจึงมิกล้าเข้าไปประจันหน้ากับกองทัพของจางลู่เหวิน ด้วยรู้ดีว่าหานอี้หลงนั้นรักใคร่และหลงใหลในตัวนางยิ่งนัก“เหยาเอ๋อร์...เหตุใดกัน...เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้” หานอี้หลงคว้าแท่นหมึกบนโต๊ะเขวี้ยงลงกับพื้นด้วยโทสะอันคุกรุ่น แผนที่เขาวางเอาไว้อย่างดิบดี กลับถูกทำลายลงเพียงเพราะหญิงคนรักของตนกลับเดินทางติดตามจางลู่เหวินไป“นายท่าน...จะให้ข้าทำเช่นใดต่อไป”หานอี้หลงกัดฟันกรอดพร้อมหมุนวนนิ้วมือไปมาอย่างใช้ความคิด “ไม่ว่าอันใดเมืองเตียนหยงจะต้องแตกพ่าย เจ้าส่งคนไปคุ้มกันเหยาเอ๋อร์และพานางกลับมาอย่างปลอดภัยให้จงได้”“ขอรับ”กองทัพของจางลู่เหวินเดินทางมาถึงเมืองเตียนหยง จางลู่เหวินก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่สุขุมเยือกเย็นผิด
บทที่ 49 ค่ำคืนของสองเราจางลู่เหวินและหยางชิวเหยายกจอกสุราขึ้นคล้องแขนกันและกันตามธรรมเนียม สายตาของทั้งสองสอดประสานทอดมองกันอย่างรู้สึกลึกซึ้งและหวานเยิ้ม ก่อนจะจรดจอกสุราเข้าปากไปจนกระทั่งหมดจอกจางลู่เหวินรีบฉวยจอกสุราจากมือของหยางชิวเหยาวางลงที่โต๊ะพร้อมจับจ้องมองหน้าของหยางชิวเหยาด้วยแววตากรุ้มกริ่ม จากนั้นจึงลุกขึ้นช้อนร่างบางขึ้นมาแนบลำตัวหยางชิวเหยาวาดวงแขนขึ้นโอบรัดรอบลำคอของจางลู่เหวินอย่างเต็มใจ ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาโดยมิรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือสายตาหวานเยิ้มที่จ้องมองนางอย่างไม่ละสายตาจางลู่เหวินเดินตรงไปยังเตียงนอนที่อยู่ด้านหน้าอย่างมิอาจรั้งรอสิ่งใดอีก ก่อนจะวางร่างของหยางชิวเหยาลงบนเตียงไม้ที่ถูกปูผ้าหนานุ่มอย่างดี ร่างบางแนบตัวลงสัมผัสกับพื้นเตียงโดยมีร่างแกร่งโถมเข้าหาในทันทีจางลู่เหวินโน้มหน้าจนใบหน้าแนบชิดกับใบหน้านวล ลมหายใจร้อนเป่ารดกันและกันไปมาชวนให้ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่อาจห้าม “ชิวเหยา...” จางลู่เหวินเอ่ยเสียงกระเส่าออกมา ดวงตาของเขาจับจ้องนางราวกับอยากจะจดจำใบหน้านี้ไว้ตลอดกาล “ฮูหยินของข้า...”จางลู่เหวินจรดริมฝีปากเข้าหาริมฝีปากบางอีกหน ลิ้นร
บทที่ 50 ออกรบสนามรบที่ลุกเป็นไฟ พื้นดินเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลอาบไปทั่วบริเวณกว้าง กลางทุ่งโล่งกว้างนอกเมืองเตียนหยง เสียงคำรามของทหารดังก้องสะท้านฟ้า เสียงปะทะของดาบและหอกแทรกด้วยเสียงร้องเจ็บปวดจากผู้บาดเจ็บ สายลมที่พัดแรงหอบเอากลิ่นโลหิตคลุ้งไปทั่วทั้งสนามรบจางลู่เหวินนั่งอยู่บนหลังม้า ร่างสูงสง่าในชุดเกราะเหล็กสีดำเปื้อนฝุ่นและเลือดที่สาดรดจนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ใบหน้าคมเข้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ดวงตาที่เฉียบคมดั่งเหยี่ยวกวาดมองรอบทิศอย่างระมัดระวัง“กระชับแนวรบด้านซ้าย พวกมันกำลังบุกเข้ามา” เขาตะโกนสั่งเสียงดังก้องเหล่าทหารต่างพร้อมใจแปรแถวขบวนตามคำสั่งของจางลู่เหวินอย่างเคร่งครัด พวกเขาฟาดฟันดาบเข้าโต้ตอบตามคำสั่งอย่างมิเกรงกลัวความตายใดๆ แม้สภาพร่างกายจะเหน็ดเหนื่อย แต่ทุกคนยังคงสู้อย่างสุดกำลัง ยิ่งจางลู่เหวินที่ยังคงยืนหยัดอยู่ด้านหน้าอย่างมิได้นึกครั่นคร้ามอันใดก็ยิ่งสะกดใจให้เหล่าทหารรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้นจางลู่เหวินยกดาบในมือขึ้นฟันศัตรูตรงหน้าที่กรูกันเข้ามา ดาบคมกริบเฉือนไปยังจุดสำคัญของศัตรูจนล้มไปทีละคนทีละคน แม้ว่าจางลู่เหวินจะยังบาดเจ็บที่บริเวณบาดแผล
บทที่ 51 ชัยชนะแสงอาทิตย์แรกของวันใหม่สาดส่องผ่านม่านหมอกบางในเมืองเตียนหยง บรรยากาศยามเช้าช่างเงียบสงบจนแทบไม่มีใครรู้ว่าเพิ่งผ่านคืนแห่งสงครามที่โหดร้ายมาไม่กี่วัน ชาวบ้านเริ่มตื่นจากความหวาดกลัว เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ตามตรอกเล็กๆ ให้สัมผัสถึงความหวังที่เริ่มต้นใหม่ที่ประตูเมืองเสียงฝีเท้าม้าดังก้องขึ้น เสียงนั้นทำให้ทหารที่เฝ้ายามต้องรีบกวาดตามอง เมื่อเห็นขบวนของจางลู่เหวินและกองกำลังที่เหลือรอดกลับมา ทุกคนต่างส่งเสียงเฮลั่นด้วยความยินดีจางลู่เหวินในชุดเกราะที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบเลือดยังดูสง่างามเหมือนเดิม ใบหน้าคมเข้มฉายแววอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับส่องประกายด้วยความภูมิใจ มือที่จับบังเหียนมั่นคงสะท้อนถึงความมาดมั่นที่เขานำกลับมาสู่เมืองนี้หยางชิวเหยาในชุดผ้าสีอ่อนยืนรออยู่หน้าประตูเรือนพัก ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและใจจดจ่อ เมื่อเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามา นางก้าวออกไปพร้อมหัวใจที่เต้นแรงเมื่อจางลู่เหวินก้าวลงจากหลังม้า นางไม่อาจห้ามตัวเองได้ รีบวิ่งตรงไปหาเขา เส้นผมดำขลับปลิวไสวตามแรงลม ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มทั้งน้ำตา“ลู่เหวิน...ท่านกลับมาแล้ว...” เสีย
บทที่ 52 กลับเมืองหลวงเสียงกลองและแตรดังขึ้นภายในเมืองหลวงต้อนรับการกลับมาของขบวนทัพของจางลู่เหวิน ข่าวกับรบชนะเหนือข้าศึกและสามารถป้องกันเมืองเตียนหยงได้นำมาซึ่งความยินดีปรีดาไปทั่วทั้งเมืองหลวง ชาวบ้านต่างพากันออกมายืนรอต้อนรับขบวนทัพตามท้องถนน เสียงโห่ร้องดังกึกก้องอวยชัยและขอบคุณเหล่าทหารกล้าที่ปกป้องแว่นแคว้นอย่างสุดกำลังในขณะที่จวนโหวกลับมีบรรยากาศอันน่าตึงเครียดขึ้นจากข่าวคราวดังกล่าว เจียงเสิ่นเย่วถึงกับตบโต๊ะเสียงดังพร้อมตวาดใส่หานอี้หลงอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ “ใต้เท้าหาน เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ไหนท่านบอกว่าตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว บัดนี้ข้าเสียทั้งพันธมิตรและกำลังคนไปจำนวนมาก กลับคว้าน้ำเหลวมาได้เช่นนี้”หานอี้หลงได้แต่ปิดปากเงียบ หัวคิ้วของเขาขมวดจนเป็นปมแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่ลุกโชน เขาไม่คิดว่าจางลู่เหวินจะช่างโชคดีเช่นนี้ไปได้ หากไม่เป็นเพราะหยางชิวเหยา หญิงสาวที่ตนรักติดตามจางลู่เหวินไปด้วย เขาหรือจะยอมใจอ่อนถอนกำลังและคว้าน้ำเหลวกลับมาในที่สุดเจียงเสิ่นเย่วพยายามควบคุมอารมณ์อีกครั้ง “แล้วท่านมีแผนการเช่นใดต่อไป”หานอี้หลงถอนหายใจออกมาอย่างนึกหง
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส