พฤทธิ์ซื้อคอนโดแยกมาอยู่ตามลำพังเพื่อความสะดวกและเป็นส่วนตัว นลินย้ายมาอยู่กับเขาหลังจากคบกันได้ไม่ถึงสามเดือน ห้องภายในคอนโดหรูสะอาดเรียบง่ายทุกกระเบียดนิ้ว พื้นห้องเป็นไม้เนื้อแข็งสีออกแดงเข้ม เข้ากันอย่างน่าประหลาดกับเครื่องตกแต่ง อย่างมีรสนิยม ห้องครัวเป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์ครัวที่ทันสมัยจัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว พฤทธิ์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใบใหญ่ใส่สปาเกตตี
“นลิน สปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว มากินกันเถอะ”
นลินกำลังแต่งตัวอยู่ หล่อนบรรจงแต่งดวงตาให้หวานฉ่ำ ราวกับติดฟีลเตอร์อยู่สมอ เสียงชักชวนของพฤทธิ์ทำให้หล่อนถอนหายใจ ยู่หน้ารู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ
“พี่กินก่อนก็ได้ค่ะ นลินขอแต่งตัวก่อน”
“แต่งตัวเสร็จแล้วค่อยมากินก็ได้นะ พี่ทำไว้เยอะเลยนะครับ”
นลินลุกขึ้นอย่างเสียมิด หล่อนเดินไปดูอาหารที่พฤทธิ์ทำ
“อืม...ดูน่ากินดีนะ แต่ว่าตอนนี้นลินอยู่กินกับพี่พฤทธิ์ไม่ได้ค่ะ ต้องรีบไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนน่ะ”
พฤทธิ์ขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“งานปาร์ตี้อะไรเหรอ? ตอนนี้เลย ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”
“งานปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนน่ะ นลินรับปากเขาไว้แล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนี้เป็นลูกชายหุ้นส่วนบริษัทของคุณพ่อ ถ้าเทงานปาร์ตี้วันเกิดเขาแล้ว คิดว่าคงเสียโอกาสให้กับคู่แข่งที่จ้องเสียบแทนแน่ ๆ นลินจะพลาดงานนี้ไม่ได้ค่ะ”
“แต่พี่ทำกับข้าวไว้ให้นลินแล้วนะ”
นลินหันกลับมาอย่างหัวเสีย หล่อนเริ่มมีอารมณ์ เมื่อเห็นว่าพฤทธิ์ยังตามตอแยเธอเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง
“หนูรู้ค่ะ แต่ครั้งนี้หนูคงอยู่กินข้าวกับพี่ไม่ได้จริง ๆ งานปาร์ตี้ครั้งนี้มันสำคัญมาก พี่พฤทธิ์อย่ามาทำให้หนูเสียเวลาเลย”
นลินเดินกลับไปแต่งตัวต่อ ในขณะที่พฤทธิ์ไม่พอใจ แต่เขาไม่ยอมปล่อยไว้อย่างนั้น เขาพูดกับตัวเอง
“สำคัญกว่าพี่เหรอ? คงใช่แหล่ะ”
พฤทธิ์เดินเข้าไปถามนลินในห้องแต่งตัวด้วยความโมโหสุดขีด
“แล้วพี่ล่ะ พี่ต้องอยู่รอเธอกินข้าวคนเดียวงั้นเหรอ นลินไม่เคยอยู่ติดบ้านเลย ออกไปข้างนอกทุกวัน?”
“แล้วพี่จะให้นลินทำยังไง พี่ก็รู้ว่านลินเป็นแบบนี้มานานแล้ว พี่น่าจะเข้าใจนลินที่สุด
“พี่เข้าใจนลิน แต่นลินเข้าใจพี่บ้างไหม พี่รู้สึกเหมือนพี่เป็นแค่ตัวเลือก”
“นลินไม่ได้เอาพี่เป็นแค่ตัวเลือก พี่อย่ามาว่านลินแบบนั้น นลินก็รักพี่เหมือนกัน”
พฤทธิ์เดินไปหานลิน เขาจ้องตาหล่อนราวจะคาดคั้นอะไรบางอย่าง
“แล้วทำไมนลินถึงไม่แสดงออกล่ะ? แค่พูดเฉยๆ มันไม่ได้แสดงออกอะไรเลย ต้องแสดงออกด้วยการกระทำ”
“อ้าว! ก็แสดงออกแล้วไง นลินบอกว่ารักพี่ อยู่กับพี่ทุกวัน ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราเป็นแฟนกัน”
“แค่อยู่ด้วยกันมันไม่พอ ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจความรู้สึกกันด้วย”
“พี่พฤทธิ์นี่ไปกันใหญ่แล้วนะ นลินก็ให้ความสำคัญกับพี่นะ อย่ามาหาเรื่องกันเลย”
ทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนลินทนไม่ไหว ความอดทนขาดสะบั้น หล่อนเควี้ยงแปรงปัดแก้มที่อยู่ในมือทิ้ง ตวาดเสียงดัง
“นลินทนไม่ได้แล้วนะ นลินว่าเราเลิกกันเถอะ ไปหาคนที่ดีกว่านลินเถอะ
พฤทธิ์ยืนอึ้งตะลึง เขาพ่นลมหายใจอย่างหมดความอดทนเช่นกัน
“อะไรนะ นลิน! เธอพูดจริงเหรอ เธอแน่ใจนะ”
“นลินไม่เคยพูดเล่น นลินไม่ชอบผู้ชายขี้หึงไร้สาระแบบนี้”
พฤทธิ์รู้สึกเสียใจมาก เขาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟา เบือนสายตาจากใบหน้าสวยนั้น
“พี่ไม่ได้ขี้หึง พี่แค่อยากให้เธอมากินข้าวกับพี่ก่อนออกไปข้างนอก”
นลินเงียบสงบสักครู่ แล้วก็แค่นเสียงพูดออกมา
“นลินคิดว่าตอนนี้พวกเราสองคน คงไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เราเลิกกันเถอะค่ะ”
คราวนี้พฤทธิ์ตกใจจนมือเย็นเฉียบ ในใจรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่งแทง
“เธอจะเลิกกับพี่เพราะพี่ไม่ให้ไปงานปาร์ตี้นี่นะ? นี่คือเรื่องตลกที่สุดที่พี่เคยได้ยิน”
“ฟังนะคะ พี่พฤทธิ์ หนูต้องการคนที่เข้าใจหนู และสนับสนุนหนูในทุก ๆ อย่าง แต่พี่ไม่ใช่คนคนนั้น”
นลินพูดเน้นเสียง สายตาหล่อนดูมุ่งมั่นเด็ดขาด แสดงถึงความตั้งใจจริง หล่อนไม่ได้ประชดหรือพูดเล่น
พฤทธิ์แม้จะรู้สึกปวดแปลบ แต่ก็ฝืนใจตอบ
“ถ้านั่นคือสิ่งที่นลินต้องการ พี่คิดว่าเราก็เลิกกันตอนนี้เลย”
และเพียงเท่านี้ ความสัมพันธ์ที่ยาวนานของพวกเขาก็สิ้นสุดลง นลินเก็บข้าวของออกจากคอนโดไป ทิ้งให้พฤทธิ์นั่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งคอตก บ่นพึมพำกับตัวเอง
“ผู้หญิงคนนี้ใจร้ายจัง เธอทิ้งฉันไปเฉย ๆ แบบนี้ได้ยังไง ฉันทำอะไรผิดไปนะ นลิน เธอถึงได้เลิกกับฉัน”
พฤทธิ์ร้องไห้อยู่นาน จนกระทั่งเขารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยและหมดแรง เขาจึงลุกขึ้นและเดินไปหยิบโทรศัพท์ คนเดียวที่เขานึกถึงได้ในตอนนี้ก็คือ จิตริน เขาจิ้มโทรศัพท์โดยไม่ต้องกดดู เพราะเขาจำเบอร์ของจิตรินได้อย่างขึ้นใจ ซึ่งก็น่าแปลกที่ว่า เขาจำเบอร์ของนลินไม่ได้เลย
“เป็นไงบ้าง ตริน ที่บาร์ยุ่งไหม นายว่างไหม? ฉันอยากไปหา”
“ว่างไม่ว่างก็มาได้ นายมีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก แค่อยากไปหา”
“งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ผับนะ”
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา พฤทธิ์ก็ขับรถถึงผับ เขารีบเดินตรงดิ่งไปหาจิตรินที่บาร์
จิตรินเห็นพฤทธิ์เดินเข้ามา ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย หมดอาลัยตายอยาก เขานั่งตรงเก้าอี้ว่าง พฤทธิ์ถือกล่องอะไรสักอย่างมาด้วย เขาวางมันบนเคาน์เตอร์บาร์
“ฤทธิ์ นายเป็นอะไร? ทำหน้าเหมือนแพะป่วยยังไงยังงั้น”
พฤทธิ์ยิ้มเจื่อน รู้ว่าจิตรินหยอก แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจ เขาอยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก
“ฉันเลิกกับนลินแล้วเมื่อกี้”
จิตรินที่กำลังทำค๊อกเทลให้ลูกค้า ถึงกับชะงัก แอบชำเลืองดูพฤทธิ์ ที่เหม่อมองผู้คนในผับ แต่เหมือนเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจริง ๆ เมื่อลูกค้ารับเครื่องดื่มไปแล้ว จิตรินจึงเดินอ้อมเคาน์เตอร์บาร์ นั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ พฤทธิ์
“เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของพฤทธิ์ดูขมขื่น อมทุกข์ เขาพูดเสียงแหบพร่า
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ จนคิดว่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
จิตริน ถอนหายใจ
“อืม ฟังดูเจ็บปวดเหมือนกันนะ”
“มากเลยล่ะ เจ็บจี๊ดที่อกเลย ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย”
จิตรินลูบหลังพฤทธิ์เบา ๆ
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยโดนแฟนทิ้งเหมือนกัน”
พฤทธิ์หันไปมองหน้าจิตรินอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินจากคำพูดของจิตริน
“จริงเหรอ? นายแค่อยากปลอบฉันใช่ไหม? ไม่เคยเห็นว่านายมีแฟนนี่”
จิตรินหลบตาพฤทธิ์ คล้ายมีเรื่องราวบางอย่างปกปิด
“เอ๊า! ไม่เคยเห็นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีนี่ ฉันเคยอกหักเมื่อราวสัก 2 ปีก่อน ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดถึงแต่เรื่องเจ็บปวดตลอดเวลา”
พฤทธิ์ทำตาโตเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ห้ามใจไม่ให้ถามไม่ได้
“แล้วนายทำยังไง?”
จิตรินเปลี่ยนมุมนั่งเป็นหันหน้าเข้าบาร์ เขามองหน้าพฤทธิ์ผ่านกระจก
“ฉันใช้เวลาอยู่กับตัวเอง คิดทบทวนทุกอย่าง รู้ว่ามันเจ็บปวด แต่ก็ต้องเข้มแข็ง และต้องผ่านมันไปให้ได้”
พฤทธิ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ฉันก็พยายามจะเข้มแข็งนะ แต่มันยากจริง ๆ ”
จิตรินยิ้มให้พฤทธิ์อย่างเข้าใจ
“มันต้องแบบนี้สิ ฉันจะคอยช่วยรายงานพ่อแม่นายเอง เวลานายคลั่ง หรือทำอะไรบ้า ๆ”
พฤทธิ์ยิ้มตอบ เขาเริ่มมีรอยยิ้มมาบ้างแล้ว
“ขอบคุณนะ ว่าแต่ฉันห่อสปาเก็ตตี้มาด้วย มากินด้วยกันไหม กินคนเดียวไม่อร่อย ก็เลยห่อมากินกับนาย”
จิตรินหัวเราะ พฤทธิ์เป็นเช่นนี้เสมอ ต่อให้มีเรื่องทุกข์ใจอะไร เขาจะกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติในเวลาไม่นาน
“งั้นเดี๋ยวเราไปนั่งที่โต๊ะกันดีกว่า นายเปลี่ยนบรรยากาศมากินข้าวในผับบ้างก็ดี”
จิตรินและพฤทธิ์สั่งอาหารมาเพิ่ม จิตรินคอยปลอบใจพฤทธิ์ตลอด พฤทธิ์ก็เริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับแฟนสาวให้จิตรินฟัง จิตรินก็ฟังอย่างตั้งใจ พยายามเข้าใจความรู้สึกของพฤทธิ์
หลังกินอาหารเสร็จ พฤทธิ์ก็ดูสดชื่นขึ้น เขาสั่งเบียร์มาดื่มด้วย จิตริน สังเกตสีหน้าเพื่อนดีขึ้น จึงเอ่ยถาม
“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
“ดีขึ้นบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะโมโหหิว หรืออกหักกันแน่ แต่ก็ขอบคุณนายมากนะ ที่คอยอยู่ข้าง ๆ ฉัน”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ ก็สัญญากันแล้ว ว่าจะไม่ไปไหน”
พฤทธิ์และจิตรินนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก จากนั้นพฤทธิ์ก็ขอตัวกลับบ้าน จิตรินเดินส่งพฤทธิ์ที่รถ ก่อนแยกจากกัน พฤทธิ์เข้ามาสวมกอดเพื่อน จิตรินลูบหลังเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะโบกมือลา จิตรินมองพฤทธิ์เดินจากไป เขารู้สึกสงสารพฤทธิ์มาก รู้ว่าพฤทธิ์กำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่พฤทธิ์เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง และมองโลกในแง่ดี เขาเชื่อว่าพฤทธิ์จะผ่านมันไปได้
พฤทธิ์ขับรถไปตามถนนสายหนึ่ง บรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ นั้นคึกคัก ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง พฤทธิ์กำลังรู้สึกเศร้าและเสียใจ พฤทธิ์ขับรถไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจอะไร เขาคิดถึงนลินตลอดเวลา เขาอยากจะกลับไปหาเธอ แต่เขาก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ นลินคงไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว
พฤทธิ์ขับรถเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาลืมตัวไปว่ากำลังขับรถอยู่ เขาคิดแต่เรื่องนลินเท่านั้นเขาอยากจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาอยากจะลืมนลิน เขาอยากจะลืมทุกอย่าง
ทันใดนั้นเอง พฤทธิ์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงโครมเสียงดังสนั่น มาจากด้านหลังรถ เขาพยายามประคองพวงมาลัยและเบรกรถ แต่ก็ไม่ทันแล้ว รถของพฤทธิ์เสียหลักพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างจัง ร่างของเขาติดอยู่กับพวงมาลัย พฤทธิ์ถูกกระแทกอย่างแรง สติเขาค่อย ๆ วูบดับเลือนลางจางหายราวกับจอโทรทัศน์ที่ถูกปิด
จิตรินรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง เขาจึงเรียกแท็กซี่ให้ขับตามพฤทธิ์ เขาจึงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จิตรินตกใจจนแทบเสียสติ เขาบอกให้คนขับแท็กซี่จอดรถและวิ่งเข้าไปดูพฤทธิ์ เมื่อเห็นสภาพของพฤทธิ์แล้วรู้สึกใจหาย เขาแทบไม่เชื่อว่าพฤทธิ์จะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เขารีบโทรเรียกรถพยาบาล
ไม่นาน รถพยาบาลก็มาถึง พยาบาลรีบนำพฤทธิ์ขึ้นรถและเร่งเครื่องมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเสียงไซเรนดังก้องไปทั่วท้องถนน แสงไฟสีแดงจากรถพยาบาลแลบไปมา ผู้คนต่างพากันหลบหลีกรถพยาบาลที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว บนถนนสายหลักในกรุงเทพฯ ตอนกลางคืน ในรถพยาบาล พฤทธิ์นอนหมดสติอยู่ ใบหน้าของเขามีรอยเลือดไหล เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น พยาบาลกำลังปั๊มหัวใจให้เขาอย่างสุดกำลัง
จิตรินนั่งรถพยาบาลไปด้วย เขาไม่ละสายตาจากพฤทธิ์เลย หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างทาง จิตรินได้แต่ภาวนาให้พฤทธิ์ปลอดภัย เขาไม่อยากเสียพฤทธิ์ไป
เมื่อรถพยาบาลมาถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบนำพฤทธิ์เข้าห้องฉุกเฉิน จิตรินเดินตามเข้าไปอย่างร้อนรน
คุณหมอกำลังตรวจอาการของพฤทธิ์อย่างละเอียด จิตรินยืนรออยู่ข้างนอกห้องด้วยความกังวล สักพักคุณหมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน จิตรินรีบถามด้วยความเป็นห่วง
"อาการของคุณพฤทธิ์เป็นอย่างไรบ้างครับ"
"คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกระดูกสันหลังหัก ขาทั้งสองข้างหัก สมองกระทบกระเทือน อาการค่อนข้างหนัก"
จิตรินใจหาย เขาแทบช็อค เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
"คนไข้ต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน คุณเป็นญาติของเขาใช่ไหมครับ เราต้องขออนุญาตพาคนไข้ไปห้องผ่าตัดก่อนนะครับ"
แพทย์พาพฤทธิ์เข้าห้องผ่าตัด จิตรินยืนมองตามไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เขาไม่รู้ว่าพฤทธิ์จะเป็นอย่างไรบ้าง เขากลัวว่าพฤทธิ์จะไม่รอด
จิตรินนั่งรออยู่ในห้องผ่าตัดเป็นเวลานาน ในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้น
คุณหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด
"การผ่าตัดเรียบร้อยดีครับคนไข้ปลอดภัยแล้ว แต่ต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลอีกหลายสัปดาห์"
จิตรินรู้สึกโล่งใจ เขาขอบคุณเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยพฤทธิ์ปลอดภัย
"ขอบคุณมากนะครับ" จิตรินกล่าว
"ไม่เป็นไรครับคนไข้ต้องพักฟื้นอีกนาน กว่าจะเดินได้ ในระหว่างนี้ให้ทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัดนะครับ ห้ามลุกเดินหรือออกแรงมาก"
จิตรินพยักหน้า เขาสัญญาว่าจะดูแลพฤทธิ์อย่างดี เขาได้โทรแจ้งพ่อแม่ของพฤทธิ์ให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพื่อให้ท่านคลายกังวลเมื่อรู้ว่าพฤทธิ์ปลอดภัยแล้ว
จิตรินใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนพฤทธิ์ในโรงพยาบาลตลอดทั้งคืน เขาไม่อยากทิ้งพฤทธิ์ไปไหน
เขารู้ว่าพฤทธิ์ต้องการกำลังใจจากเขามาก
จิตรินหวังว่าพฤทธิ์จะหายดีในเร็ววันและกลับมาเป็นเพื่อนซี้ของเขาเช่นเดิม.
แสงไฟจากโคมไฟระย้าสีทองส่องสว่างไปทั่วบาร์ เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังคลอเคล้าอยู่ในอากาศ ผู้คนมากมายกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนานที่มุมหนึ่งของบาร์ พฤทธิ์และจิตรินกำลังนั่งจิบเบียร์และพูดคุยกัน“เฮ้ย ! วันนี้นายดูหน้าซีดยังกะคนป่วย ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้า ถ้าไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนก็คงไม่ผิดสังเกต เป็นไง เหนื่อยหรือวะ ริน ?”ผู้ถูกถามรีบหันกลับมองเงาตัวเองในกระจกหลังบาร์ และก็พบว่าหน้าของเขาคล้ายคนป่วยจริงอย่างที่อีกฝ่ายทัก“อืม ก็นิดหน่อย”จิตรินยังคงประหยัดคำพูดเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าพฤทธิ์ยังซักไซร้เขาต่ออย่างเอาใจใส่“ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าวันนี้เจออะไรบ้าง”“วันนี้ก็ปกติดีนะ ลูกค้าเยอะหน่อย สั่งเครื่องดื่มแปลก ๆ เยอะ”“แปลกยังไง ? ร้านขายเหล้ามีเรื่องแปลกด้วยหรือ”“ก็แบบ สั่งเหล้าผสมกับนม อะไรงี้”“ฮ่า ๆ เออ ! แปลกจริง ๆ” พฤทธิ์และจิตริน ผสานเสียงหัวเราะด้วยกัน ทั้งสองคน นั่งดื่มเบียร์คุยกันอยู่สักพัก บรรยากาศในบาร์กำลังคึกคัก เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน พฤทธิ์ที่เริ่มหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำวาวปรือปรอย เริ่มคุยเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว“คิดถึงสมัยเรียนจัง ตอ
พฤทธิ์ซื้อคอนโดแยกมาอยู่ตามลำพังเพื่อความสะดวกและเป็นส่วนตัว นลินย้ายมาอยู่กับเขาหลังจากคบกันได้ไม่ถึงสามเดือน ห้องภายในคอนโดหรูสะอาดเรียบง่ายทุกกระเบียดนิ้ว พื้นห้องเป็นไม้เนื้อแข็งสีออกแดงเข้ม เข้ากันอย่างน่าประหลาดกับเครื่องตกแต่ง อย่างมีรสนิยม ห้องครัวเป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์ครัวที่ทันสมัยจัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว พฤทธิ์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใบใหญ่ใส่สปาเกตตี“นลิน สปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว มากินกันเถอะ”นลินกำลังแต่งตัวอยู่ หล่อนบรรจงแต่งดวงตาให้หวานฉ่ำ ราวกับติดฟีลเตอร์อยู่สมอ เสียงชักชวนของพฤทธิ์ทำให้หล่อนถอนหายใจ ยู่หน้ารู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ“พี่กินก่อนก็ได้ค่ะ นลินขอแต่งตัวก่อน”“แต่งตัวเสร็จแล้วค่อยมากินก็ได้นะ พี่ทำไว้เยอะเลยนะครับ”นลินลุกขึ้นอย่างเสียมิด หล่อนเดินไปดูอาหารที่พฤทธิ์ทำ“อืม...ดูน่ากินดีนะ แต่ว่าตอนนี้นลินอยู่กินกับพี่พฤทธิ์ไม่ได้ค่ะ ต้องรีบไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนน่ะ”พฤทธิ์ขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ“งานปาร์ตี้อะไรเหรอ? ตอนนี้เลย ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”“งานปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนน่ะ นลินรับปากเขาไว้แล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนี้เป็น
แสงไฟจากโคมไฟระย้าสีทองส่องสว่างไปทั่วบาร์ เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังคลอเคล้าอยู่ในอากาศ ผู้คนมากมายกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนานที่มุมหนึ่งของบาร์ พฤทธิ์และจิตรินกำลังนั่งจิบเบียร์และพูดคุยกัน“เฮ้ย ! วันนี้นายดูหน้าซีดยังกะคนป่วย ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้า ถ้าไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนก็คงไม่ผิดสังเกต เป็นไง เหนื่อยหรือวะ ริน ?”ผู้ถูกถามรีบหันกลับมองเงาตัวเองในกระจกหลังบาร์ และก็พบว่าหน้าของเขาคล้ายคนป่วยจริงอย่างที่อีกฝ่ายทัก“อืม ก็นิดหน่อย”จิตรินยังคงประหยัดคำพูดเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าพฤทธิ์ยังซักไซร้เขาต่ออย่างเอาใจใส่“ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าวันนี้เจออะไรบ้าง”“วันนี้ก็ปกติดีนะ ลูกค้าเยอะหน่อย สั่งเครื่องดื่มแปลก ๆ เยอะ”“แปลกยังไง ? ร้านขายเหล้ามีเรื่องแปลกด้วยหรือ”“ก็แบบ สั่งเหล้าผสมกับนม อะไรงี้”“ฮ่า ๆ เออ ! แปลกจริง ๆ” พฤทธิ์และจิตริน ผสานเสียงหัวเราะด้วยกัน ทั้งสองคน นั่งดื่มเบียร์คุยกันอยู่สักพัก บรรยากาศในบาร์กำลังคึกคัก เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน พฤทธิ์ที่เริ่มหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำวาวปรือปรอย เริ่มคุยเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว“คิดถึงสมัยเรียนจัง ตอ