แสงไฟจากโคมไฟระย้าสีทองส่องสว่างไปทั่วบาร์ เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังคลอเคล้าอยู่ในอากาศ ผู้คนมากมายกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
ที่มุมหนึ่งของบาร์ พฤทธิ์และจิตรินกำลังนั่งจิบเบียร์และพูดคุยกัน
“เฮ้ย ! วันนี้นายดูหน้าซีดยังกะคนป่วย ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้า ถ้าไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนก็คงไม่ผิดสังเกต เป็นไง เหนื่อยหรือวะ ริน ?”
ผู้ถูกถามรีบหันกลับมองเงาตัวเองในกระจกหลังบาร์ และก็พบว่าหน้าของเขาคล้ายคนป่วยจริงอย่างที่อีกฝ่ายทัก
“อืม ก็นิดหน่อย”
จิตรินยังคงประหยัดคำพูดเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าพฤทธิ์ยังซักไซร้เขาต่ออย่างเอาใจใส่
“ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าวันนี้เจออะไรบ้าง”
“วันนี้ก็ปกติดีนะ ลูกค้าเยอะหน่อย สั่งเครื่องดื่มแปลก ๆ เยอะ”
“แปลกยังไง ? ร้านขายเหล้ามีเรื่องแปลกด้วยหรือ”
“ก็แบบ สั่งเหล้าผสมกับนม อะไรงี้”
“ฮ่า ๆ เออ ! แปลกจริง ๆ”
พฤทธิ์และจิตริน ผสานเสียงหัวเราะด้วยกัน ทั้งสองคน นั่งดื่มเบียร์คุยกันอยู่สักพัก บรรยากาศในบาร์กำลังคึกคัก เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน พฤทธิ์ที่เริ่มหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำวาวปรือปรอย เริ่มคุยเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“คิดถึงสมัยเรียนจัง ตอนที่ไม่เหนื่อยแบบนี้น่ะ”
จิตรินนิ่งเงียบไป เขาหรุบตามองไปที่แก้วเบียร์ของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความน้อยใจ
“ใช่ไหม ? ตอนนั้นเรายังเด็ก ๆ เลย ตัวติดกันตลอด ไปไหนมาไหนด้วยกัน จนโดนล้อว่า คู่หูคู่หาย”
“ใช่ ก็พวกเราโดดเรียนกันไง หายตลอด โดนทำโทษด้วยกัน จนอาจารย์ฝ่ายปกครองเอือมพวกเรา มีครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอากงเรายังไม่เสีย จำได้ว่าเราสองคนถูกอากงทำโทษที่พากันเอาไพ่นกกระจอกแกมาเล่น แล้วไม่ทำการบ้าน จนตอนนี้แกขึ้นไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว ฮ่า ๆๆๆ”
พฤทธิ์และจิตรินเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษา ทั้งคู่เรียนห้องเดียวกันมาตลอด เรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนที่เดียวกันแม้จะคนละคณะ แต่ก็พอเลิกเรียนก็มาทำงานส่งอาจารย์หรือไปเข้าห้องสมุดด้วยกัน พอถึงวัยทำงานพฤทธิ์ได้งานสถาปนิกตรงกับที่เรียนมาในระดับเงินเดือนค่อนข้างสูง อีกทั้งทางบ้านของเขามีธุรกิจส่งออกผลไม้กระป๋องที่มั่นคง เขาจึงไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินเลย
ส่วนจิตรินนั้น เขาเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่กับพี่สาวที่อายุห่างจากเขาถึง 12 ปี พ่อแม่เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน โชคยังดีอยู่บ้างที่พ่อกับแม่มีบ้านและที่ดินให้พวกเขาได้อยู่อาศัย ไม่ต้องเช่า แต่ถึงกระนั้น จิตรินกับพี่สาวก็ต้องลำบากกระเสือกกระสนส่งตัวเองเรียน แม้เขาจะเป็นศิลปินอิสระ วาดภาพขาย แต่มันไม่ทำได้เขามีรายรับมากนัก เขาจึงทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในผับกลางคืนเพื่อพยุงตัวเองในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่แบบนี้ ให้มีรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งสองคนมีความแตกต่างกันมาก พฤทธิ์เป็นสถาปนิกหนุ่มหล่อเนี้ยบ หน้าตาดี เป็นคนเก่งแต่ขี้ลืมและซุ่มซ่าม เขามักจะทำเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ ทำให้จิตรินคอยตามเก็บกวาดและแก้ปัญหาให้อยู่ตลอดเวลา
ส่วนจิตรินเป็นหนุ่มเซอร์ เขาค่อนข้างขี้อายและปากแข็ง แต่ทั้งคู่ก็สนิทกันมาก แม้ตอนนี้ทั้งคู่ทำงานแล้ว แต่พวกเขามักจะอยู่ด้วยกันเสมอ
“นายจำได้ไหม สองปีก่อน ตอนหน้าหนาว เรากับนายไปเที่ยวเชียงใหม่กัน สนุกเป็นบ้า ! ขึ้นเขาลงห้วยเราลุยกันหมด ฮ่า ๆๆ จำได้ไหม เราโบกรถแดงไปขึ้นดอยสุเทพกัน นายบอกนายชอบที่นั่นมาก นายชอบอากาศเย็น แล้วเราก็พากันไปตั้งแคมป์ที่ดอยหลวงเชียงดาว บรรยากาศอย่างสวย พูดแล้วอยากไปอีกครั้ง แต่ว่าคงเป็นไปได้ยากแล้วล่ะ เพราะตอนนั้นนลินยังไม่มา”
นลินเป็นแฟนสาวที่คบหาดูใจกับพฤทธิ์ได้ราวสองปี เธอยังเรียนปีสี่อยู่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ด้วยใบหน้าที่งดงาม รูปร่างสูงโปร่ง อีกทั้งสัดส่วนเหมาะสมกลมกลึง ราวกับนางแบบ ผิวพรรณขาวราวกับไข่มุกนวลเนียนสะอาดตาเธอเป็นดาวมหาวิทยาลัยที่ใคร ๆ ต่างหมายปอง
นลินมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากพฤทธิ์ ในขณะที่พฤทธิ์ชอบธรรมชาติ ชอบป่าเขา ชอบหลีกลี้หนีผู้คนไปผจญภัย แต่นลินชอบปาร์ตี้ ชอบเข้าสังคมที่มีผู้คนและเมืองที่ศิวิไลซ์ ครั้งหนึ่ง พฤทธิ์พาหล่อนไปเขาใหญ่ ด้วยหวังว่าหล่อนจะชอบธรรมชาติของที่นั่น เขาชวนหล่อนไปขับรถดูทุ่งทานตะวัน หล่อนรีบปฏิเสธ ด้วยกลัวผิวขาวผ่องของหล่อนจะถูกแดดเผาจนผิวเสีย นลินไม่พอใจ หล่อนทำหน้ากระเง้ากระงอด ไม่ยอมออกจากห้อง พวกเขาทะเลาะกัน นับแต่นั้นมา พฤทธิ์ก็ไม่เคยพาหล่อนไปเที่ยวป่าอีกเลย
และในขณะเดียวกันนลินก็เป็นสาวปาร์ตี้ตัวแม่ ไม่มีวันไหนที่หล่อนจะไม่ออกงานสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือเที่ยวผับ แม้อีกวันจะเป็นวันที่ต้องสอบก็ตาม ผลคือหล่อนขาดสอบ และไม่ยอมไปสอบแก้ตัว หล่อนจึงยังเรียนไม่จบ แต่นลินไม่แคร์ หล่อนมีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ท พ่อแม่ของนลินเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งมีมรดกเก่าแก่ตกทอดมาเป็นพันล้าน เรียกได้ว่าชาตินี้ก็กินใช้ไม่หมด เธอจึงไม่รู้สึกว่าการสอบไม่ผ่านเป็นปัญหาของเธอ ถึงเรียนไม่จบ ไม่ได้ทำงาน เธอก็มีเงินใช้ เธอจึงใช้ชีวิตอย่างที่เธอชอบ
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงมีปัญหาระหองระแหงกันมาตลอด และเป็นจิตรินที่ต้องคอยปลอบพฤทธิ์ ตอนที่นลินขู่จะเลิกกับเขา หากเขาไม่เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับเธอ หรือในตอนที่พวกเขาคืนดีกัน ทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จิตรินจะคอยอยู่ข้างพฤทธิ์เสมอ
ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก ต่างคนต่างคิดถึงวันเก่า ๆ
“จริงสินะ ตอนนั้นเรายังโสดกันทั้งคู่ พวกเรามีความสุขมาก”
จิตรินเอ่ยตอบพฤทธิ์น้ำเสียงเบาโหวงคล้ายรำพึง แววตาเขาฉายแววเศร้าสร้อย แต่ก็รีบสลัดศีรษะ ฉุดอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
พฤทธิ์ไม่ทันได้สังเกตสีหน้านั้น เขายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะรินแก้วต่อไป เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองจิตรินอย่างเต็มตา เพื่อนสนิทผู้อยู่ข้างเขา ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอเขาคนนี้
“นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูเครียด ๆ”
จิตรินเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง
“ก็ดีนะ ทำงานหนักเหมือนเดิม”
พฤทธิ์ตอบเลี่ยง ๆ ไม่ยอมสบตาจิตริน
“แล้วเรื่องแฟนล่ะ นลิน ?”
“ก็ดีนะ ไม่มีอะไร”
จิตรินมองหน้าพฤทธิ์อย่างรู้ทันจนพฤทธิ์ยอมพูด
"เอาละ ๆ ก็ได้ เราทะเลาะกัน เพราะเธอชอบไปปาร์ตี้ ชอบเที่ยวกลางคืน ฉันกลัวว่าเธอจะนอกใจฉัน"
จิตรินนิ่งคิดสักพักเขาไม่รู้ว่าจะปลอบเพื่อนอย่างไร แต่เมื่อเห็นพฤทธิ์ยังวิตกกังวล เขาตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉันว่านายอย่าคิดมากเลย ผู้หญิงมันชอบเที่ยวเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างเขาอยู่สังคมไฮโซ พ่อแม่เขาเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องมีพบปะผู้คนบ้าง "
พฤทธิ์สวนตอบด้วยน้ำเสียงขัดเคือง
"แต่เธอชอบไปกับเพื่อนผู้ชายด้วย ไปทุกคืนเลย ฉันขอร้องก็ไม่ฟัง ฉันกลัวว่าเธอจะทำอะไรเลยเถิด"จิตรินกอดคอพฤทธิ์พลางพูดปลอบใจ
“ใจเย็นๆ สิ นายน่ะคิดมากไปเองแหละ"
พฤทธิ์ถอนหายใจ
“ก็ไม่รู้สิ ! ฉันแค่กลัว กลัวไปเสียทุกอย่าง"
"ถ้านายกลัวจริง ก็ลองคุยกับเธอดูสิ บอกเธอว่านายรู้สึกยังไง พวกนายต้องเปิดอกคุยกันแล้ว"
พฤทธิ์เอามือกุมศีรษะ เขากำลังสับสนอย่างหนัก เขายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะระบายคำพูดออกมา
“อืม ! ฉันจะลองดู เอ่อ ! แต่ถ้าเธอยอมรับว่ามีคนอื่นล่ะ ฉันจะทำยังไง โอ๊ย ! กลุ้มโว้ย !"
พฤทธิ์รินเบียร์ลงในแก้วอีกครั้ง จิตรินอึดอัดกับการกระทำของเพื่อน เขารู้สึกเครียดไปกับพฤทธิ์ด้วย เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มคลั่ง เขาจึงดึงขวดเบียร์ออกจากมือของพฤทธิ์ เขาจ้องไปที่พฤทธิ์ด้วยแววตาที่คาดเดาได้ยาก จนฝ่ายนั้นรู้สึก จึงเอ่ยถาม
“อะไร ! นายมีอะไรจะพูดกับฉันใช่ไหม”
จิตรินพยักหน้า
“อันที่จริง ฉันว่าคุยไปก็เท่านั้น ป่วยการ ถ้าไม่ยอมปรับเปลี่ยนนิสัยกันทั้งสองคน ความสัมพันธ์ของพวกนายมันจะยิ่งแย่ลง ฟังนะ ! นลินไม่ใช่คนที่จะอยู่เคียงข้างนาย”
พฤทธิ์ขมวดคิ้ว สะดุดใจกับคำพูดของเพื่อน
“ทำไมล่ะ ? นายไม่ชอบนลินเหรอ”
จิตรินถอนหายใจ ก่อนจะพรั่งพรูความในใจ
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบนลิน แต่ฉันว่านายกับนลินเข้ากันไม่ได้ ชีวิตคู่ขนาน ที่ไม่ยอมมาบรรจบ เหมือนความสุขของนายหายไปตั้งแต่มีนลินเข้ามาในชีวิต นายรู้ตัวไหม?”
“ทำไมนายถึงพูดแบบนั้น”
“นายถามตัวนายเองเอาเถิด ตัวนายจะรู้ดีที่สุด”
พฤทธิ์เงียบไป เขาด่ำดิ่งลงไปในความคิดจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จนกระทั่งจิตรินถามเขาขึ้นมา เขาจึงได้สติคืน
“ฤทธิ์ นายกำลังคิดอะไรอยู่”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็รักนลินนะ แต่ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่นายพูดมันคือความจริง”
“ฉันแค่ก็ไม่อยากเห็นนายเป็นทุกข์หรอกนะ”
“ฉันรู้”
ทั้งสองคนนั่งเงียบกันสักครู ในที่สุดพฤทธิ์ก็พูดขึ้นมา เหมือนเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ฉันจะกลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดี ๆ ก่อนนะ”
“เอางั้นก็ได้ แต่อย่าได้เอาเรื่องที่ฉันบอกนายเป็นข้อยุติ อย่างที่บอก ความรักมันมีตัวแปรเยอะ ฉันแค่ห่วงเพื่อนที่ฉันรัก ฉันอยากเห็นนายมีความสุข เข้าใจไหม พฤทธิ์”
“ขอบคุณมากเพื่อนรัก จะว่าไป ชีวิตพวกเราก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ฉันกลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกแล้ว ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไป นายจะทำยังไง ฉันอยากรู้”
“บ้าน่า ! นายนี่ ! อย่าพูดเป็นลางไม่ดีสิ พอแล้ว เลิกดื่มได้ละ เมาแอ๋แบบนี้ไม่ไหวละ ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
“เบียร์แค่นี้ไม่ทำให้ฉันเมาได้หรอก ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่อยากเสียเพื่อนสนิทอย่างนายไป”
“แล้วฉันจะยอมปล่อยให้นายโดดเดี่ยวได้ยังไง ฉันสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายไป”
“จิตริน นายสัญญาแล้วนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
พฤทธิ์และจิตริน ต่างคนต่างสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกันท่ามกลางบรรยากาศคึกคักในบาร์ เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน แต่พฤทธิ์และจิตรินต่างคนต่างรับรู้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น นั่นคือความรู้สึกของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ทั้งสองคนยังคงนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก จนกระทั่งใกล้เที่ยงคืน จิตรินยังไม่เลิกงาน เขาขอให้พฤทธิ์กลับบ้าน ซึ่งพฤทธิ์ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี โดยมีสายตาของจิตรินมองตามหลังด้วยความเป็นห่วง
พฤทธิ์ซื้อคอนโดแยกมาอยู่ตามลำพังเพื่อความสะดวกและเป็นส่วนตัว นลินย้ายมาอยู่กับเขาหลังจากคบกันได้ไม่ถึงสามเดือน ห้องภายในคอนโดหรูสะอาดเรียบง่ายทุกกระเบียดนิ้ว พื้นห้องเป็นไม้เนื้อแข็งสีออกแดงเข้ม เข้ากันอย่างน่าประหลาดกับเครื่องตกแต่ง อย่างมีรสนิยม ห้องครัวเป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์ครัวที่ทันสมัยจัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว พฤทธิ์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใบใหญ่ใส่สปาเกตตี“นลิน สปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว มากินกันเถอะ”นลินกำลังแต่งตัวอยู่ หล่อนบรรจงแต่งดวงตาให้หวานฉ่ำ ราวกับติดฟีลเตอร์อยู่สมอ เสียงชักชวนของพฤทธิ์ทำให้หล่อนถอนหายใจ ยู่หน้ารู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ“พี่กินก่อนก็ได้ค่ะ นลินขอแต่งตัวก่อน”“แต่งตัวเสร็จแล้วค่อยมากินก็ได้นะ พี่ทำไว้เยอะเลยนะครับ”นลินลุกขึ้นอย่างเสียมิด หล่อนเดินไปดูอาหารที่พฤทธิ์ทำ“อืม...ดูน่ากินดีนะ แต่ว่าตอนนี้นลินอยู่กินกับพี่พฤทธิ์ไม่ได้ค่ะ ต้องรีบไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนน่ะ”พฤทธิ์ขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ“งานปาร์ตี้อะไรเหรอ? ตอนนี้เลย ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”“งานปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนน่ะ นลินรับปากเขาไว้แล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนี้เป็น
พฤทธิ์ซื้อคอนโดแยกมาอยู่ตามลำพังเพื่อความสะดวกและเป็นส่วนตัว นลินย้ายมาอยู่กับเขาหลังจากคบกันได้ไม่ถึงสามเดือน ห้องภายในคอนโดหรูสะอาดเรียบง่ายทุกกระเบียดนิ้ว พื้นห้องเป็นไม้เนื้อแข็งสีออกแดงเข้ม เข้ากันอย่างน่าประหลาดกับเครื่องตกแต่ง อย่างมีรสนิยม ห้องครัวเป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์ครัวที่ทันสมัยจัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว พฤทธิ์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใบใหญ่ใส่สปาเกตตี“นลิน สปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว มากินกันเถอะ”นลินกำลังแต่งตัวอยู่ หล่อนบรรจงแต่งดวงตาให้หวานฉ่ำ ราวกับติดฟีลเตอร์อยู่สมอ เสียงชักชวนของพฤทธิ์ทำให้หล่อนถอนหายใจ ยู่หน้ารู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะ“พี่กินก่อนก็ได้ค่ะ นลินขอแต่งตัวก่อน”“แต่งตัวเสร็จแล้วค่อยมากินก็ได้นะ พี่ทำไว้เยอะเลยนะครับ”นลินลุกขึ้นอย่างเสียมิด หล่อนเดินไปดูอาหารที่พฤทธิ์ทำ“อืม...ดูน่ากินดีนะ แต่ว่าตอนนี้นลินอยู่กินกับพี่พฤทธิ์ไม่ได้ค่ะ ต้องรีบไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนน่ะ”พฤทธิ์ขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ“งานปาร์ตี้อะไรเหรอ? ตอนนี้เลย ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”“งานปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนน่ะ นลินรับปากเขาไว้แล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนี้เป็น
แสงไฟจากโคมไฟระย้าสีทองส่องสว่างไปทั่วบาร์ เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังคลอเคล้าอยู่ในอากาศ ผู้คนมากมายกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนานที่มุมหนึ่งของบาร์ พฤทธิ์และจิตรินกำลังนั่งจิบเบียร์และพูดคุยกัน“เฮ้ย ! วันนี้นายดูหน้าซีดยังกะคนป่วย ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้า ถ้าไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนก็คงไม่ผิดสังเกต เป็นไง เหนื่อยหรือวะ ริน ?”ผู้ถูกถามรีบหันกลับมองเงาตัวเองในกระจกหลังบาร์ และก็พบว่าหน้าของเขาคล้ายคนป่วยจริงอย่างที่อีกฝ่ายทัก“อืม ก็นิดหน่อย”จิตรินยังคงประหยัดคำพูดเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าพฤทธิ์ยังซักไซร้เขาต่ออย่างเอาใจใส่“ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าวันนี้เจออะไรบ้าง”“วันนี้ก็ปกติดีนะ ลูกค้าเยอะหน่อย สั่งเครื่องดื่มแปลก ๆ เยอะ”“แปลกยังไง ? ร้านขายเหล้ามีเรื่องแปลกด้วยหรือ”“ก็แบบ สั่งเหล้าผสมกับนม อะไรงี้”“ฮ่า ๆ เออ ! แปลกจริง ๆ” พฤทธิ์และจิตริน ผสานเสียงหัวเราะด้วยกัน ทั้งสองคน นั่งดื่มเบียร์คุยกันอยู่สักพัก บรรยากาศในบาร์กำลังคึกคัก เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน พฤทธิ์ที่เริ่มหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำวาวปรือปรอย เริ่มคุยเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว“คิดถึงสมัยเรียนจัง ตอ