"หัวหน้าจ้าว!" เสี่ยวอิ๋งกับหลีเสี่ยวเวยต่างวิ่งเข้ามาเห็นเลือดแอ่งหนึ่ง พวกเธอหวาดกลัวเสียจนหน้าตาซีดขาว! เสี่ยวอิ๋งเงยหน้าแล้วจ้องมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาอาฆาตแค้น เมื่อเห็นสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจของทีมสาม เธอก็อยากจะสังหารพวกมันให้หมดเกลี้ยง! หลีเสี่ยวเวยรู้สึกหวาดกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว จากนั้นเธอก็มองมาที่หัวหน้าจ้าว "คุณอย่าทำให้ฉันกลัวสิคะ..." จ้าวกังนอนอยู่กับพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า... โครงการที่เขาสู้อุตส่าห์ทุ่มเทมาตลอดทั้งปี กลับถูกเปลี่ยนมือเอาในวินาทีสุดท้าย! ถึงแม้ว่าจ้าวกังจะมีข้อสงสัยมากมายเหลือเกินทั้งยังรู้สึกสับสนอยู่ในใจ ทว่าตอนนี้อารมณ์ได้ทำลายสติสัมปชัญญะของเขาเสียแล้ว! ถ้าเกิดเรื่องนี้กับคนธรรมดาสามัญ เขาก็คงได้อาเจียนออกมาเป็นเลือดแน่ ๆ! แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ลำพังแค่ตัวตนของหลี่ชิงเฟิงก็ทำลายใครสักคนได้ง่ายดายเหลือเกิน! จ้าวกังนอนชักกระตุกอยู่กับพื้น จากนั้นสมาชิกทีมหนึ่งและทีมสองก็วิ่งเข้ามาหา! "หัวหน้าจ้าว! คุณเป็นยังไงบ้าง?" "เรียกรถพยาบาลที!" ก่อนที่เซี่ยเซียนอินจะทันได้ตอบสนองอะไร จ้าวกังก็ถูกคนกลุ่มใหญ่หามออกไปข้างนอกแล้ว ทุกคนใช้
"นี่...คุณ..." ก่อนที่หลี่ชิงเฟิงจะทันได้พูดให้จบ หลานหลานก็กระโดดโลดเต้นออกไป... ขณะที่เรื่องราวฝั่งนี้ดำเนินไปอย่างน่ารื่นรมย์ แต่เรื่องราวทางฝั่งของหลีเสี่ยวเวยกลับต่างออกไป หลีเสี่ยวเวยนั่งเหงื่อแตกพลั่กอยู่ตรงประตูห้องฉุกเฉิน เธอรู้สึกหวาดกลัวจับใจ เธอไม่เพียงแต่เกรงว่าจ้าวกังจะโมโหจนตาย ทว่าเธอยังกลัวมากว่าตัวเองจะต้องเสียงานไป... เสี่ยวอิ๋งเดินเข้ามาหาจากด้านข้างพลางตบไหล่เธอแล้วหัวเราะ "อย่ากังวลไปเลย เมื่อสักครู่นี้ฉันเพิ่งไปถามหมอมา จ้าวกังไม่เป็นไรแล้วล่ะ" หลีเสี่ยวเวยร้องไห้น้ำตาแตก "พี่เสี่ยวอิ๋ง ฉันควรจะทำยังไงดีคะ? ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีงาน..." "ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันชื่อเซี่ยอิ่ง เธอไม่ต้องกังวลหรอกน่า ผู้จัดการใหญ่ของเธอเป็นเพื่อนเก่าของฉันเอง แค่ฉันโทรหาเขาทีเดียว เขาก็ไล่เธอออกไปไม่ได้แล้ว" เสี่ยวอิ๋งกล่าวพลางยิ้ม หลีเสี่ยวเวยพลันหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที "จริงเหรอ? พี่รู้จักผู้จัดการใหญ่ของเราจริง ๆ เหรอคะ?" "แหงอยู่แล้ว! อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าไอ้ขี้แพ้หลี่ชิงเฟิงหรือเซี่ยเซียนอินก็ไล่เธอไปไม่ได้ทั้งนั้น!" "น้องสาวเอ๋ย ฉันจะใช้เส้นสายบดขยี้พวกมันให้สิ
สาเหตุที่ทำให้หลีเสี่ยวเวยพูดแบบนี้ ก็เพราะเสี่ยวอิ๋งสนิทสนมกับผู้จัดการใหญ่! ถ้าเรียกผู้จัดการใหญ่เข้ามาช่วยจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องนั้นเลย อย่างไรเขาก็ย่อมต้องเข้าข้างหลีเสี่ยวเวยอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีต่อมา หลานหลานก็เดินออกจากด้านในแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "ผู้จัดการใหญ่บอกว่าเดี๋ยวเขาจะมาที่นี่ค่ะ..." หลีเสี่ยวเวยยิ้มเยาะแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งไขว่ห้างต่อหน้าหลี่ชิงเฟิงด้วยท่าทีหยิ่งยโสโอหัง "แกมันช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง ๆ!" "วันนี้พี่สาวจะแสดงให้แกได้เห็นว่าห้วงน้ำในที่ทำงานลึกล้ำขนาดไหน!" ทันทีที่เธอพูดจบก็มีเสียงดังขึ้นนอกประตู จากนั้นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบกว่าปีก็เปิดประตูเดินเข้ามา นอกจากเขาแล้ว เซี่ยเซียนอินก็เข้ามาด้วย สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าผู้จัดการใหญ่จะพูดอะไรไม่ดีกับเธอเข้าสักอย่าง "เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ!" เมื่อผู้จัดการใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายทรงอำนาจเดินเข้ามา เขาก็ตะโกนขึ้นมาซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ทุกคน! หลีเสี่ยวเวยหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วแสดงท่าทีหวาดกลัวยิ่งนัก เธอรีบเดินเข้ามาหาผู้จัดการใหญ่ "ผู้จัดการหลิว หลี่ชิงเฟิงเ
ทันทีที่ผู้จัดการหลิวยกมือขึ้น หลี่ชิงเฟิงก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเขา! เมื่อผู้จัดการหลิวเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหารคู่หนึ่งก็ตัวสั่นสะท้าน! จนเขาไม่กล้าตบลงมาจริง ๆ... "แกโดนภรรยาของฉันตบนับว่าโชคดีแล้ว ถ้าให้ฉันเป็นคนตบแกล่ะก็ แกคงได้เข้าโรงพยาบาลไปพร้อมกับจ้าวกังแล้ว" "เศษสวะอย่างแกคู่ควรที่จะทำงานอยู่ในเทียนชื่อกรุ๊ปด้วยเหรอ? ฉันคิดว่าจ้าวเทียนชื่อคงดวงตามืดบอดไปแล้วถึงได้เป็นเพื่อนกับคนอย่างแก!" ตอนนี้หลีเสี่ยวเวยรู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิง เธอไม่ได้มองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาที่เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น แต่ถึงกับหวาดกลัวอยู่บ้าง... เธอรู้สึกว่าคน ๆ นี้บ้าไปแล้ว! คำพูดแบบนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงันขึ้นมาอีกครั้ง... ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม! ผู้จัดการหลิวกุมใบหน้าตัวเองแล้วชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงด้วยมือไม้อันสั่นเทา "กะ...แกจบเห่แล้วล่ะ!" "ฉันจะโทรเรียกพี่ใหญ่เทียนชื่อมาเดี๋ยวนี้ ถ้าเขามาเมื่อไรแกได้เห็นดีแน่!" "พวกแกได้ยินสิ่งที่ไอ้ขี้แพ้คนนี้เพิ่งจะพูดหรือเปล่าล่ะ? หลี่ชิงเฟิงเอ๋ย ถ้าแกเก่งจริงก็พูดอีกครั้งต่อหน้าพี่ใหญ่เทียนชื่อสิ!" หลี่ชิงเฟิงหัวเราะขึ้นมา "ฉ
ผู้จัดการหลิวถูกจ้าวเทียนชื่อตบจนร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น แรงตบครั้งนี้หนักหน่วงยิ่งกว่าที่เซี่ยเซียนอินตบไปเมื่อสักครู่นี้มากนัก... ผู้จัดการหลิวนั่งลงกับพื้นแล้วมองจ้าวเทียนชื่อด้วยสายตาเหลือเชื่อ "พี่ใหญ่เทียนชื่อ ผม..." "หุบปากของแกไปซะ!" "รีบขอโทษผู้จัดการเซี่ย เร็วเข้า!" คนอื่นอาจจะไม่รู้ก็ช่างเถอะ แต่ผู้จัดการหลิวรู้นิสัยของจ้าวเทียนชื่อได้ดีที่สุด ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้วรีบคลานเข้าไปหาเซี่ยเซียนอิน "ผู้จัดการเซี่ย ผมขอโทษ ผมขอโทษครับ... เมื่อสักครู่นี้ผมล่วงเกินคุณแล้ว... ..” จ้าวเทียนชื่อโมโหจนตัวสั่นแล้วชี้นิ้วมาที่เขาพลางสบถออกมาว่า "คุณหลี่พูดเอาไว้ไม่ผิดเลย ฉันมันตาบอดจริง ๆ! ถึงได้ให้คนอย่างแกมาเป็นผู้จัดการ!" "คำพูดพวกนี้เป็นสิ่งที่แกควรจะพูดออกมางั้นเหรอ?" "แกจงไสหัวไปเดี๋ยวนี้แล้วเขียนใบลาออกซะ! จากนั้นก็กลับไปทบทวนการกระทำของตัวเองให้ดี ๆ เถอะ!" ผู้จัดการหลิวหน้าตาเหยเก "พี่ใหญ่เทียนชื่อ... ผมผิดไปแล้วจริง ๆ! ผม..." "ไสหัวไป!" ในที่สุดผู้จัดการหลิวก็กล้ำกลืนคำพูดของตัวเองลงไป จากนั้นเขาก็หันมามองหลีเสี่ยวเวยด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายแล้วหันหลังเ
หลี่ชิงเฟิงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพูดว่า "หนานเฟิ่งกรุ๊ปงั้นรึ? ไม่ใช่บริษัทใหญ่หรอกหรือไง?" จ้าวเทียนชื่อยิ้ม "ที่จริงไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ มูลค่าทางการตลาดมีอยู่แค่ไม่กี่ร้อยล้านหยวนเท่านั้นเอง พี่คิดว่าน้อยเกินไปงั้นเหรอ?" หลี่ชิงเฟิงหัวเราะ "เอาล่ะ งั้นก็ได้" "วันนี้ตอนห้าโมงเย็น คนกลางของทางนั้นอยากจะเชิญพวกเราไปเลี้ยงอาหารสักมื้อเพื่อคุยรายละเอียดที่โรงแรมรอยัล พี่ควรจะไปให้ได้นะครับ" จ้าวเทียนชื่อกล่าวพลางยิ้มให้ "เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว" ……. ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์ตระกูลเซี่ย เสี่ยวอิ๋งก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า "คุณย่าคะ พวกเราได้โครงการมาโครงการหนึ่งค่ะ!" คุณย่าเซี่ยที่กำลังพักผ่อนอยู่กับเก้าอี้โยกพลันลืมตาขึ้นมาทันที "มีอะไรงั้นเหรอ? ค่อย ๆ เล่ามาสิ" เสี่ยวอิ๋งจึงผุดยิ้มขึ้นมา "หนานเฟิ่งกรุ๊ปต้องการที่จะลงทุนกิจการโรงแรมริมชายหาดในอ่าวต้าโจว และกำลังมองหาหุ้นส่วนเพื่อเร่งระดมทุนอยู่น่ะสิคะ!" "คุณย่าคะ นี่เป็นโอกาสดีเลยเชียวล่ะ!" "ถึงแม้ว่าหนานเฟิ่งกรุ๊ปจะไม่ดีเท่ากับเทียนชื่อกรุ๊ป แต่ก็มีอิทธิพลค่อนข้างมากทีเดียว!" "นอกเหนือไปจากนั้น ยั
เสี่ยวอิ๋งไหนเลยจะคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสองบริษัทใหญ่จึงได้พูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด! เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินสิ่งที่หลี่ชิงเฟิงพูดออกมา เธอก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "อย่ามาทำตัวเสแสร้งที่นี่เลย!" "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?" "หลี่ชิงเฟิง ในสายตาของฉันแล้ว แกมันไม่นับเป็นตัวอะไรได้นอกจากไอ้สารเลวคนหนึ่ง!" หลี่ชิงเฟิงสีหน้าอึมครึมแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอ ถึงแม้ว่าเสี่ยวอิ๋งจะรู้สึกไม่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะหวาดกลัวอะไรนัก อย่างไรเสียก็ยังมีคนอยู่ในโถงหลักตั้งมากมาย คนที่เพิ่งออกจากคุกมาจะไปทำอะไรได้เล่า? "อะไรกัน? แกคิดจะจัดการฉันงั้นเหรอ? หลังจากโดนเปิดโปงว่าเป็นไอ้คนไร้ค่า ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วใช่ไหมล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งยิ้มเยาะ หลี่ชิงเฟิงจึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "เสี่ยวอิ๋ง ได้แกล้งทำตัวเป็นพี่สาวของตัวเองรู้สึกดีไหมล่ะ?" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน! "ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าได้ทำตัวน่ารำคาญนักเลย พี่สาวของเธอก็คือตัวอย่าง ระหว่างที่ฉันยังไม่คิดจะฆ่าเธอทิ้ง ก็อย่ามายั่วโมโหฉันดีกว่านะ" เสี่ยวอิ๋งดวงตากลัดเลือดแล้วกัดฟันพูดว่า "หลี่ชิงเฟิง! แกกล้าดีย
"โอ้ ยอดเยี่ยมมากเลย..." เมื่อเกาหยางเห็นว่าสีหน้าของเธอผิดปกติไป เขาก็บ่นพึมพำอยู่ในใจ ทำไมพอเอ่ยถึงเทียนชื่อกรุ๊ป เธอถึงไม่พอใจเอาเสียเลยล่ะ? ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกแล้วสองคนเดินเข้ามา เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้ามาก็ตะลึงงันไปทันที... คนที่เข้ามาคือหลี่ชิงเฟิงกับหลานหลานจริง ๆ เหรอ? ทั้งสามคนมองหน้ากันอยู่ไม่กี่อึดใจ เสี่ยวอิ๋งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "แกมาทำอะไรที่นี่? ที่นี่ใช่สถานที่ที่แกควรจะเข้ามางั้นเหรอ? ไสหัวออกไปซะ!" เกาหยางที่อยู่อีกด้านรู้สึกสับสนอยู่บ้าง "เสี่ยวอิ๋ง พวกเขาสองคนคือ..." เสี่ยวอิ๋งยิ้ม "คน ๆ นี้เป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เป็นไอ้พวกเกาะผู้หญิงกิน ฉันไม่แน่ใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นหรอก คนที่มาพัวพันกับเศษสวะพรรค์นี้ก็น่าจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก! บางทีอาจจะเป็นโสเภณีตามถนนก็ได้!" "คุณพูดอะไรน่ะ!" หลานหลานทนไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะพุ่งไปข้างหน้า! แต่หญิงปากร้ายอย่างเสี่ยวอิ๋งมีประสบการณ์มากกว่าเธอ ดังนั้นจึงเตรียมไวน์แดงแก้วหนึ่งเอาไว้แล้วสาดใส่หน้าเธอ! หลานหลานเซถอยหลังจนหลี่ชิงเฟิงต้องก้าวออกมารับตัวเธอไว้ จากนั้นเขาก็มองเสี่ยวอิ๋งด้วยสายตาเย็นชา
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห