“อะไรนะ? มุกราตรีเหรอ?”“นั่นเป็นสมบัติที่ว่ากันว่าสูญหายไปนานแล้วนี่ ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นก็ในงานประมูลที่ยุโรปเมื่อสิบปีก่อน”“เจ้านี่มันมีมนต์ขลังมาก ตอนกลางวันจะดูเหมือนลูกปัดสีดำ แต่จะเรืองแสงตอนกลางคืน มันทำให้ทั้งห้องสว่างได้เลย”“เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่มีใช้เฉพาะราชวงศ์ในยุคโบราณเท่านั้น”เพียงแค่ประโยคเดียว ทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮาทันทีหากว่านี่เป็นมุกราตรีจริง ๆ มันก็ต้องมีพลังมาก อาจจะบอกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้เซี่ยอิ๋งมองหลี่ชิงเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อ เธอไม่มีทางเชื่อว่าคนไร้ค่าอย่างหลี่ชิงเฟิงจะสามารถครองสมบัติอย่างมุกราตรีได้ ดังนั้นเธอเลยพูดเสียงดังว่า “หยุดเถียงกันได้แล้ว ทำไมไม่ดูก่อนล่ะว่าเขาเป็นใคร? คิดว่านี่จะเป็นมุกราตรีจริงเหรอ?”“ตอนนี้เทคโนโลยีล้ำสมัยมาก จะทำของเลียนแบบก็ง่ายมากไม่ใช่เหรอไงคะ?”“และฉันก็รู้จักไอ้ขยะนี่ดี เขาเก่งเรื่องโกหกหลอกลวงผู้คน ดังนั้นอย่าไปหลงเชื่อ”เมื่อเซี่ยอิ๋งพูดเช่นนี้ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง“นั่นเป็นมุกราตรีจริง ๆ ไม่ใช่ของทำเลียนแบบ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีไหนที่สามารถลอกเลียนมุกราตรีได้”ทุกคนต่างก็หันไปมองต
ตอนนี้เหมือนหลี่ชิงเฟิงกำลังโปรยข้าวเปลือกให้ฝูงไก่ เมื่อฝูงชนเห็นว่ามีมุกราตรีอยู่เกลื่อนพื้น พวกเขาก็ไม่สนในศักดิ์ศรีอะไรอีก ต่างก็รีบพุ่งเข้าไปตะครุบมุกราตรีบนพื้นทันทีเซี่ยอิ๋งเองก็อยากจะเข้าไปร่วมวง แต่เย่เจี้ยนเหอห้ามไว้เย่เจี้ยนเหอจ้องเธอ “คนไร้ค่า มันพยายามจะกล่อมประสาทเธอ ใช้สมองมั่งได้ไหม?”เซี่ยอิ๋งที่ตาโตเพราะความโลภ ได้สติเพราะการตวาดของเขา เธอพยักหน้าเบา ๆ และบอก “ฉันขอโทษค่ะ นายท่านเย่…”แม้ว่าเย่เจี้ยนเหอจะมีท่าทีที่สงบนิ่ง แต่ในใจเขาประหลาดใจมากหลี่ชิงเฟิง ลูกเขยไร้ค่านั้นได้มุกราตรีมากมายแบบนี้มาได้ยังไง?“คุณจะมาพูดเรื่องธุรกิจไม่ใช่เหรอ? เข้ามาสิ” เมื่อเย่เจี้ยนเหอพูดจบ เขาก็หันหลังเดินเข้าไปพร้อมไพล่มือไว้ด้านหลังหลี่ชิงเฟิงและเซี่ยเซียนอินมองหน้ากันและเดินตามพวกเขาไปด้านบนตอนนี้มีแค่พวกเขาสี่คนอยู่ในห้องประชุมชั้นบนห้องนั้นเงียบมากและบรรยากาศก็เคร่งเครียด…เย่เจี้ยนเหอยิ้มและบอกว่า “คุณเซี่ย ที่นี่ไม่มีคนอื่น หากว่าคุณมีอะไรอยากจะคุยก็บอกมาได้เลย”เซี่ยเซียนอินไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่นาน ดังนั้นเธอเลยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ที่ดินผืนนี้ในเขตฮาเฉิงสำค
เห็นได้ชัดว่าคำพูดพวกนี้เจตนาเย้ยหยันพวกเขาเซี่ยเซียนอินเองก็ฟังออก แม้ว่าเธอจะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เธอก็เถียงไปไม่ได้เพราะเธอก็ไม่เคยพบนายท่านซิวหลัวบางครั้งเธอเองก็สงสัยว่านายท่านซิวหลัวมีตัวตนจริงหรือไม่“หากว่าคุณไม่ให้ที่ดินผืนนี้กับเรา ผมก็รับรองไม่ได้หรอกนะว่านายท่านซิวหลัวจะออกหน้ามาเองไหม” จู่ ๆ หลี่ชิงเฟิงก็พูดขึ้นเพล้งจู่ ๆ เย่เจี้ยนเหอก็ขว้างแก้วไวน์ที่อยู่ในมือไปตรงหน้าของหลี่ชิงเฟิงหลี่ชิงเฟิงดูนิ่งสงบ เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามและถามพร้อมรอยยิ้มว่า “อะไรครับ? สี่คำว่า นายท่านซิวหลัวนี้ทิ้งเงาอะไรไว้ในใจคุณเหรอ? ถึงได้มีท่าทางตอบสนองรุนแรงแบบนี้?”แววตาเย่เจี้ยนเหอมืดครึ้ม เขาผุดลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาหลี่ชิงเฟิงพร้อมกัดฟันพูดว่า “ช่างหัวนายท่านซิวหลัวสิ นายคิดว่าจะหลอกคนได้ไปตลอดชีวิตเหรอ ลูกไม้พวกนี้คิดว่ายิ่งใหญ่นักหรือไง?”“ฉันจะบอกนายให้นะไอ้ขยะ ราชาของเมืองเซี่ยชวนมีแค่ตระกูลเย่เท่านั้น”“ไม่ต้องมาพูดเรื่องนายท่านซิวหลัว แม้ว่าเขาจะมีตัวตนจริง ครั้งหน้าที่เขาเจอฉันเขาก็ต้องมาเลียรองเท้าฉันเท่านั้น”สีหน้าเย่เจี้ยนเหอเปลี่ยนเป็นดุร้าย แล้วเขา
ดวงตาเซี่ยอิ๋งเบิกกว้างและเธอบอกว่า “นายท่านเย่ คุณ… คุณคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ยังไงกันคะ? ถึงจะมีเหมืองอยู่จริง ๆ ไอ้ขยะนั่นก็ไม่มีทางเป็นเจ้าของหรอก”เย่เจี้ยนเหอแค่นเสียงหยัน “เธอรู้ไหมว่าตระกูลเย่ร่ำรวยขึ้นมาได้ยังไง?”เขาชี้ออกไปนอกหน้าต่างและกระซิบว่า “ตอนที่ปู่ทวดฉันมาที่เซี่ยชวนคนเดียวเพื่อดูที่ทาง เขาก็เจอเหมืองทองบนภูเขาสูง”“ตอนนี้ปู่ทวดฉันเองก็ตัวเปล่า เขาสู้สุดชีวิตแล้วก็ได้เป็นเจ้าของเหมืองทอง”“หากว่าไม่ได้มีเหมืองทองนั่น ตระกูลเย่ของเราจะมีวันนี้ได้ยังไง?”เย่เจี้ยนเหอหรี่ตาเล็กน้อย “หากเจ้าหมอนั่นเจอเหมืองมุกราตรีจริง ๆ มันก็จะมีค่ามากกว่าเหมืองทองอีก”“ไม่ว่าจะยังไง ฉันต้องได้มันมา”…หลี่ชิงเฟิงและเซี่ยเซียนอินกลับมาที่บริษัท เซี่ยเซียนอินนั่งที่เก้าอี้อย่างอับจนหนทางที่จริงเธอนั้นเตรียมใจเรื่องนี้ไว้แล้ว เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เซี่ยอิ๋งจะยอมให้เธอได้มาง่าย ๆหากว่าไม่ได้ผล ก็แค่ปรับแก้แผนเดิมหลี่ชิงเฟิงบอกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และก่อนที่เธอจะทันพูดอะไรออกมา เขาก็บอกว่า “ผมจะไปที่เขตฮาเฉิงก่อนเพื่อดูและประเมินสถานการณ์”ก่อนที่เซี่ยเซียนอินจะพูดอะไร ห
“โอเค ขอบคุณมาก”หลี่ชิงเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันกลับและจากไปพร้อมเย่เซียวเมื่อเข้ามาในรถ เย่เซียวก็งุนงงเล็กน้อยก่อนรีบถามว่า “พี่ เราก็แค่บุกเข้าไป ไม่มีใครเคยกล้าห้ามเรามาก่อน”หลี่ชิงเฟิงส่ายหน้า “เราไม่ใช่โจร ยังไงซะที่ดินนั้นก็เป็นของเขา มันก็เป็นเรื่องทางกฎหมาย เวลาฉันจะทำอะไร ฉันก็จะทำแบบมีมารยาทก่อนแล้วค่อยใช้กำลังทีหลัง”เย่เซียวถอนใจ “โอเค”ตอนแรกทั้งสองคนตั้งใจจะกลับ แต่ว่าเย่เซียวรู้สึกหิวขึ้นมา ทั้งสองเจอร้านบะหมี่อยู่ข้างทางเลยคิดว่าจะกินบะหมี่สักคนละชามก่อนร้านบะหมี่นี้ก็เรียบ ๆ ไม่มีอะไร มีคนเพียงสองคนที่ดูแลร้านเป็นหญิงชราและลูกชายของหล่อนตอนที่หลี่ชิงเฟิงเดินเข้าไปในร้าน หญิงชราก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พ่อหนุ่ม อยากกินอะไรล่ะ?”“ขอบะหมี่เนื้อสองชามครับ”“ได้เลย ลูกชายบะหมี่เนื้อสองชาม”ไม่ถึงห้านาที ชายอายุประมาณสามสิบก็ออกมาพร้อมบะหมี่เนื้อสองชาม และรอยยิ้มสดใส “ทั้งสองคนค่อย ๆ กินนะครับ”หลี่ชิงเฟินชิมบะหมี่และพบว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว เขายิ้ม“แม่เฒ่า ลูกชายทำบะหมี่เก่งเลยนะครับ” เย่เซียวพูดพร้อมยิ้มหญิงชรายิ้มอย่างใจดี ก่อนนั่งลงช้า ๆ ข้างทั้งสอ
ชายผู้นั้นตัวสั่นเทิ้ม เขาอยากจะเอามีดทำครัวออกมาแล้วสู้กับพวกนี้ในครัวเลยตอนนั้นเองหญิงชราก็ห้ามลูกชายของเธอไว้ด้านหลังและถามเบา ๆ ว่า “เราต้องจ่ายเท่าไร?”ชายเคราแพะยิ้ม “ก็แค่นี้แหละ ไม่มากหรอกแค่ห้าหมื่น”“ห้าหมื่น”คราวนี้หญิงชราตกตะลึง ความดันเลือดของเธอพุ่งสูงและเธอเริ่มตาลายพร่า…“นี่เพิ่งครึ่งเดือนเอง เราจะเอาห้าหมื่นมาจากไหน? ตอนนี้เราไม่มีเงินห้าหมื่นหรอก…”หญิงชราพูดเสียงเครือ สีหน้าเธอสิ้นหวังชายเคราแพะแค่นเสียง “ถ้าแกไม่มีเงิน ก็ไปยืมมาสิ ใครจะไม่มีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องบ้างล่ะ?”เมื่อได้เห็นมารดาเสียใจมาก ลูกชายก็ดูร้อนใจ เขาขว้างผ้ากันเปื้อนลงบนพื้นและคำราม “เราไม่เปิดร้านบะหมี่นี่แล้ว แม่ ไปกันเถอะ”สีหน้าของชายเคราแพะเปลี่ยน เขาเตะโต๊ะคว่ำก่อนชี้มือแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราด “แกจะไม่เปิดร้านบะหมี่ก็ได้ แต่ว่าแกต้องจ่ายเงินมา”“ไม่มีเงินหรอก เราไม่ให้ หากว่าพวกแกไม่ไป เราจะเรียกตำรวจ”เมื่อได้ยินคำขู่ กลุ่มของชายเคราแพะก็หัวเราะเสียงดัง“เรียกตำรวจเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพูดให้ขำเลย ลงมือ”ชายเคราแพะสั่ง แล้วชายร่างใหญ่ด้านหลังเขาก็พุ่งมาด้านหน้า ชายคนนี้พุ่ง
ชายเคราแพะเบิกตากว้าง เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจนกรีดร้อง ความเจ็บนั้นรุนแรงจนยืนไม่อยู่ แล้วทั้งตัวเขาก็อ่อนปวกเปียกพวกลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเขาตอนแรกอยากจะลงมือ แต่เมื่อได้เห็นความเร็วเหนือมนุษย์ของเย่เซียว พวกเขาก็อึ้งงันและไม่กล้าแม้แต่จะขยับพวกเขาทำได้แค่มองชายเคราแพะนอนกลิ้งกรีดร้องอยู่บนพื้น…“ไอ้เวร แกกล้าลงมือกับฉันเหรอ? ฉันเป็นคนของนายท่าน แกตายแน่”ชายเคราแพะเจ็บจนเหงื่อแตกท่วมตัว เขากัดฟันพูดตัวสั่นเทิ้มหลี่ชิงเฟิงยิ้มบาง “นายท่านฮาใช่ไหม? ฉันก็อยากเจอเขาเหมือนกัน แกกลับไปบอกนายท่านฮาว่าคนพวกนี้เขาหาเงินได้ไม่ง่าย เลิกสูบเลือดสูบเนื้อแล้วไสหัวไปได้แล้ว”เมื่อหลี่ชิงเฟิงพูดจบ เย่เซียวก็เตะชายเคราแพะกลิ้งออกไปเหมือนเป็นลูกบอลชายเคราแพะรู้ทันทีว่าเบื้องหลังสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดา เขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อ เขาแค่มองมาอย่างเกรี้ยวกราดและมองแม่ลูกร้านบะหมี่ก่อนแค่นเสียงเย็นชา แล้วหันหลังจากไป…พวกนั้นจากไปครึ่งค่อนวันแล้ว แม่ลูกร้านบะหมี่ถึงจะตระหนักได้ว่าพวกเขาทำอะไรลงไป ทั้งสองเดินเข้าไปหาหลี่ชิงเฟิงเพื่อขอโทษลูกชายตื่นเต้นมากจนแทบร้องไห้ “น้องชา
หลี่ชิงเฟิงเดินเข้าประตูสวนบ้านฮาเหยียเข้าไปลำพัง ประตูหน้าวันนี้ดูคึกคักกว่าเมื่อวานมีรถบีเอ็มดับบลิว เบนซ์ และรถหรูอีกนับไม่ถ้วน ประตูหน้ามีไฟประดับตกแต่งและคนครึกครื้นนายท่านฮาเชิญคณะเชิดสิงโตและมังกรมาตั้งแสดงอยู่ที่หน้าประตู คนที่ไม่รู้คงคิดว่าวันนี้เป็นวันตรุษจีนหลี่ชิงเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น เสียงประทัดดังก้องในหู และอากาศก็อวลไปด้วยกลิ่นประทัดและเงินตราเขามองประตูสไตล์จีนที่ดูหรูหราเรียบง่าย กระเบื้องทุกแผ่น ตะปูทุกตัว เงินทุกบาททุกสตางค์และมาด้วยเลือดและน้ำตาของชาวบ้านหลี่ชิงเฟิงสูดหายใจเข้าลึกและเดินเข้าประตูไปโดยมือไพล่หลังไว้ทันทีที่เขาผ่านซุ้มประตูเข้าไป เขาก็โดนชายสองคนเมื่อวานนี้หยุดเอาไว้“ทำไมนายมาอีกแล้ว ฉันบอกไปแล้วว่าวันนี้นายท่านฮาจะไม่คุยเรื่องธุรกิจ อย่าทำเป็นอวดรู้ต่อหน้าฉันนะ”ดวงตาหลี่ชิงเฟิงมึดครึ้มและเขาพูดเบา ๆ ว่า “ออกไปให้พ้น”ลูกน้องพากันอึ้ง “ไอ้เวรนี่ แกรนหาที่ตายเหรอ? ไสหัวไปซะ”ขณะที่เขากำลังจะลงมือ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “หยุดก่อน”ทุกคนหันไปและเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายดอก ผมย้อมเป็นสีเงิน ดูท่าทางจอ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห