เด็กชายรับแส้มาแล้วยิ้ม "ปู่ฮะ ผมเข้าใจแล้วครับ!" ในยามนี้เอง ชายวัยกลางคนก็เดินเข้าประตูมาพร้อมถืออ่างเหล็กที่มีหมั่นโถวที่กินเหลืออยู่ข้างใน "ลูกชายเอ๋ย เอาอาหารให้มันกินสักหน่อยเถอะ อย่าให้มันอดตายล่ะ" "ขังมันเอาไว้สักครึ่งเดือน ขี้คร้านตอนที่ปล่อยตัวออกมาก็คงจะเชื่อฟังราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง!" เด็กชายหยิบหมั่นโถวมาวางลงกับพื้น จากนั้นก็เตะหมั่นโถวจนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ไม่นานทั้งสามคนก็ออกไป เล้าหมูส่งกลิ่นเหม็นหึ่งก็ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงัดอีกครั้ง! โต้วโต่วที่ซุกตัวอยู่มุมหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา แต่เธอร้องไห้อยู่เงียบ ๆ เพราะเกรงว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า "พ่อคะ...พ่ออยู่ที่ไหน..." "โต้วโต่วเจ็บแล้วก็หิวมาก ๆ ด้วย..." โต้วโต่วที่ตกอยู่ในสภาพตาพร่าเลือน ถูกความหิวสุดขีดปลุกให้ตื่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เธอมองของที่อยู่บนพื้นแล้วกลืนน้ำลาย... เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริง ๆ เธอคลานมาอยู่ตรงหน้าหมั่นโถวหมายจะเอื้อมมือออกไปคว้า ขณะที่เธอเพิ่งจะเอามือไปแตะบนหมั่นโถวนั้น ก็มีเท้าเหยียบลงมาทันที! ทั้งมือและหมั่นโถวก็ถูกกระทืบอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เมื่อโต้วโต่วได้ยินเช่นนี้เข้า เธอก็ขดตัวอยู่มุมหนึ่งและไม่กล้าพูดอะไรอีก ความสิ้นหวังในใจช่างเกินกว่าจะบรรยายได้ ชายชราจ้องมองเธอพลางเอามือไพล่หลัง จากนั้นก็ฮัมเพลงแล้วหันหลังเดินจากไป... เด็กชายเบะปากใส่แล้วเลิกรังควานเธอ เขากระโดดโลดเต้นแล้ววิ่งถือแส้ตามคุณปู่ของตนออกไปด้วยความเบิกบานใจ ท่ามกลางความมืดมิด โต้วโต่วที่ทั้งหนาวเหน็บและหิวโหยประคองหมั่นโถวกลิ่นเหม็นหืนเอาไว้ในมือ จากนั้นก็กินไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง เธอมองลอดรอยแยกตรงประตูออกไป หุบเขาลึกและผืนป่าแต่ครั้งโบราณโอบล้อมเธอเอาไว้ ไม่มีหนทางให้เธอหลบหนีไปได้เลย เธอจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตจริง ๆ ใช่หรือไม่? โต้วโต่วนั่งลงกับพื้นพลางร่ำไห้และครุ่นคิด บางทีเธออาจจะร้องไห้จนหมดแรงจึงหลับไปอีกครั้ง... สิบนาทีต่อมา เด็กชายกินอาหารมื้อเย็นอิ่มก็ไม่มีอะไรจะทำ ดังนั้นเขาจึงหยิบแส้แล้วเดินออกมานอกลาน ด้วยตั้งใจว่าจะไปกลั่นแกล้งโต้วโต่วอีกครั้ง แต่ทันทีที่เขากำลังมุ่งหน้าไปที่เล้าหมู จู่ ๆ ก็สังเกตได้ว่าดูเหมือนจะมีสองคนยืนอยู่ตรงประตูลาน เด็กชายหรี่ตาแล้วเดิมเข้ามาหา ด้วยแสงจาง ๆ ที่ส่องมาจากห้อง ทำให้เขามองเห็นได้ช
"ใครมันเป็นคนทำ!" หลี่ชิงเฟิงมองเด็กชายแล้วถามเน้นทีละคำ ๆ เด็กชายเหวี่ยงแส้พลางเอ่ยขึ้นมาว่า "คุณปู่บอกว่าให้ปฏิบัติกับมันราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้ามันไม่เชื่อฟัง พวกเราก็จะเฆี่ยนมันซะ! เมื่อสักครู่นี้คุณปู่ของฉันก็เพิ่งจะเฆี่ยนมันไป ส่วนฉันเองก็เฆี่ยนมันไปเสียหลายทีเลย" หมับ! เด็กชายเพิ่งจะพูดจบ! หลี่ชิงเฟิงก็ลงมือคว้าลำคอของอีกฝ่ายเอาไว้ทันที! ตอนนี้เองที่เด็กชายรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ร่างกายอ่อนแอของเขาดิ้นรนสุดกำลัง แต่กลับเปล่าประโยชน์ราวกับมดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่[1] "พี่ครับ มันก็แค่เด็กคนหนึ่ง..." เย่เซียวเอ่ยเสียงเบา หลี่ชิงเฟิงดวงตากลัดเลือดแล้วมือทั้งสองข้างก็ออกแรงอีกเล็กน้อย! ได้ยินเพียงเสียงดังแคร๊ก จากนั้นเด็กชายก็เงียบทันที หลี่ชิงเฟิงโยนเขาไปในเล้าหมูแล้วมองเย่เซียวด้วยสายตาเย็นชา "โต้วโต่วไม่ใช่เด็กหรือไง?" ตอนนี้หลี่ชิงเฟิงเต็มเปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหาร! ไม่มีใครในโลกกล้าต่อกรกับเขาในยามนี้ เย่เซียวก้าวถอยหลังแล้วก้มหน้า "ครับ...ผมขอโทษด้วยครับ พี่ใหญ่..." หลี่ชิงเฟิงแค่นเสียงเย็นชา "บางคนเกิดมาชั่วร้าย เดรัจฉานพรรค์นั้นหากไม่ฆ่าทิ้งเสียตั้งแต่
สองชั่วโมงต่อมา หลี่โต้วโต่วก็ถูกส่งเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย โชคดีที่เธอแค่บาดเจ็บภายนอกและมีไข้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะค่ำมืดดึกดื่นแล้ว เซี่ยเซียนอินก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันทีที่รู้ข่าว เมื่อเห็นโต้วโต่วนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล เธอก็น้ำตาไหลอาบหน้า! เธออยากจะกอดโต้วโต่วเอาไว้ แต่ก็เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา ดังนั้นเธอจึงได้แต่ระบายความตื่นเต้นกับหลี่ชิงเฟิงเท่านั้น เธอกอดหลี่ชิงเฟิงเอาไว้แน่นพลางร่ำไห้ "ที่รัก สุดยอดไปเลย! ขอบคุณมากนะคะ!" หลี่ชิงเฟิงยิ้ม "ยัยโง่เอ๊ย คุณจะมาขอบคุณผมทำไมกันเล่า? โต้วโต่วก็เป็นลูกสาวของผมเหมือนกันนะ" เซี่ยเซียนอินพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองแล้วถามเสียงแผ่วเบาว่า "เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณหาโต้วโต่วเจอได้ยังไงกัน?" "ไม่สำคัญหรอก เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ตามหาผู้บงการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างหากล่ะ" หลี่ชิงเฟิงเอ่ยเสียงขรึม เซี่ยเซียนอินมองเขา "คุณหมายถึง เซี่ยอิ่ง?" ก่อนที่เธอจะทันได้พูดให้จบประโยค ก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ เมื่อหลี่ชิงเฟิงเปิดประตูแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเครื่องแบบหลายนายก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา "สวัสดีครับคุณห
เสี่ยวอิ๋งหน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่นานเธอก็หัวเราะแล้วเดินเข้ามาหา "ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้ว่าลูกสาวของแกอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้เกาะติดฉันเป็นหมากฝรั่งเลยเล่า?" "ถ้ามีเรี่ยวแรงขนาดนั้น พวกแกน่าจะไปตามหาลูกสาวของตัวเองนะ!" หลี่ชิงเฟิงหัวเราะพลางกล่าวว่า "บอสเซี่ยเข้ารับตำแหน่งทั้งที พวกเราก็เลยมาแสดงความยินดีกับคุณไง! จะไม่ต้อนรับพวกเราสักหน่อยเหรอ?" เสี่ยวอิ๋งไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเธอจะหลงเชื่อคำพูดเหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไรกัน แต่เธอไม่กลัวหลี่ชิงเฟิงสักนิด เพราะพวกเขาพ่ายแพ้จนหมดรูปไปเสียแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะก่อปัญหาอะไรได้อีก แต่เธอก็สงสัยว่าหลี่ชิงเฟิงคิดจะทำอะไรอีก เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ เสี่ยวอิ๋งก็ยิ้มเยาะขึ้นมา "ยินดีต้อนรับสิ! ต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว! เชิญเข้ามาได้เลย!" หลี่ชิงเฟิงจับมือของเซี่ยเซียนอินแล้วเดินเข้ามาในสถานที่จัดงานด้วยความมาดมั่น การมาถึงของทั้งสองคนสร้างความปั่นป่วนให้แก่คนด้านใน ถึงขั้นเริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว... บรรยากาศแปลกพิกลค่อย ๆ แผ่ไปทั่วสถานที่จัดงาน เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุของหลี่ชิงเฟิง เสี่ยวอิ๋งกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้สักนิด เธอเดินขึ้น
เสี่ยวอิ๋งไม่คาดคิดเลยว่าแม้แต่จ้าวเทียนชื่อก็มาด้วย เธอถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปมาก ตอนที่เธอยืนอยู่บนเวทีจึงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง อย่างไรเสียจ้าวเทียนชื่อก็เป็นผู้ก่อตั้งเทียนชื่อกรุ๊ป ต่อให้ยามนี้จะไม่ได้กุมอำนาจอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีสถานะสูงส่งในบริษัท ตอนที่พนักงานเก่าแก่ส่วนใหญ่เห็นเขา พวกเขาจึงไม่กล้าเมินเฉยต่อเขา จากนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นกล่าวทักทาย เมื่อเสี่ยวอิ๋งเห็นพนักงานของตนสุภาพนอบน้อมกับผู้อื่น เพลิงโทสะก็ปะทุขึ้นในใจของเธอ! เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "จ้าวเทียนชื่อ คุณมาทำอะไรที่นี่คะ? ที่นี่ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไปแล้ว คุณอย่ามาร่วมสนุกจะดีกว่าค่ะ" จ้าวเทียนชื่อจึงยกยิ้มขึ้นมา "ถ้าไม่ใช่ของผม งั้นก็ไม่ใช่ของคุณเหมือนกันแหละ! เซี่ยอิ่ง คุณทำเรื่องไร้ยางอายพวกนี้แล้วยังกล้าขึ้นมายืนบนเวทีแล้วพูดจาหน้าไม่อายอยู่อีก ตอนกลางคืนคุณหลับได้สนิทจริง ๆ เหรอ?" เสี่ยวอิ๋งเอียงคอพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ คุณมันไร้เหตุผล ที่ฉันมีวันนี้ได้ก็ล้วนเป็นเพราะความอุตสาหะของตัวเอง! ฉันมีสติแจ่มชัดดี!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยิ
"คุณคงจะเข้าใจผิดแล้ว! ฉันคือประธานของเทียนชื่อกรุ๊ปนะ จะไปลักพาตัวเด็กได้ยังไงกัน?" "พวกมันต้องแจ้งความเท็จแน่ ๆ! ฉันจะฟ้องพวกมัน!" เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ข้างหน้าสุดยิ้มเยาะ "อย่าคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่ พวกเราสามารถแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องเท็จได้ ส่วนเรื่องฟ้องร้องก็ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินเถอะ!" ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ แต่เสี่ยวอิ๋งก็ยังรับไม่ได้ เธอจึงโบกไม้โบกมือด้วยความเดือดดาล "ไม่! ฉันจะรอทนายของตัวเอง! ฉันต้องการหลักฐานที่แน่ชัด!" "คุณอยากได้หลักฐานงั้นเหรอ? มอบให้เธอไปสิ" เมื่อหลี่ชิงเฟิงปรบมือก็เห็นจางเฉียงค่อย ๆ เดินเข้ามา สีหน้าทั้งสับสนและว่างเปล่า... เมื่อเห็นจางเฉียง เสี่ยวอิ๋งก็เหงื่อผุดซึมหน้าผาก... "จางเฉียงยอมจำนนและสารภาพทุกอย่างที่คุณบอกให้เขาทำแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบันทึกการโอนเงินที่เมิ่งชวนโอนเงินให้คุณอีก ตลอดจนบันทึกการโทรและบันทึกต่าง ๆ อยู่ตรงนี้หมดแล้ว เซี่ยอิ่ง คุณยังมีอะไรจะพูดอีกไหม? " ตอนนี้เสี่ยวอิ๋งรู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายถูกสูบออกไปจนเกลี้ยง! วิสัยทัศน์พร่าเลือนแล้วอดไม่ได้ที่จะทรุดลงตรงหน้า! เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ข้าง ๆ เธอหั
เมื่อเสี่ยวอิ๋งถูกตำรวจลากตัวออกไปแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับก็พลันเงียบสงัด ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะอยู่ต่อหรือจากไปดี พวกเขาจึงได้แต่ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้นแล้วมองมาที่เซี่ยเซียนอินกับจ้าวเทียนชื่อ ทุกคนต่างรู้สึกว่าคราวนี้คงโดนไล่ออกเป็นแน่ เห็นได้ชัดเหลือเกินว่าพวกเขาเป็นพวกเหยียบเรือสองแคม จ้าวเทียนชื่อก้าวขึ้นมาบนเวที จากนั้นก็หยิบไมโครโฟนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า "ผมไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าทีมที่ผม จ้าวเทียนชื่อ ทุ่มเทความพยายามเพื่อก่อตั้งขึ้นมาพอถึงยามคับขันจะอ่อนแอเปราะบางได้ถึงขนาดนั้น!" "อย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ เซี่ยอิ่งก่ออาชญากรรมย่อมทำให้สัญญาโอนอำนาจที่เธอว่าไม่บังเกิดผล" "ตอนนี้เทียนชื่อกรุ๊ปยังเป็นของคุณเซี่ยเซียนอิน ผมเกรงว่าคงจะทำให้พวกคุณต้องผิดหวังแล้วใช่ไหมครับ?" จ้าวเทียนชื่อเหลือบมองทุกคน ส่วนทุกคนต่างก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ "คุณเซี่ยครับ คุณตัดสินใจเอาเองเถอะว่าจะให้คนพวกนี้อยู่หรือไป" หลังจากจ้าวเทียนชื่อพูดจบ เขาก็ยื่นไมโครโฟนให้เซี่ยเซียนอิน ในยามนี้บรรยากาศทั่วทั้งสถานที่จวนถึงจุดเยือกแข็งแล้ว ทุกคนลอบมองเซี่ยเซียนอินด้วยสายตากังวลใจ! ถ้ามีใครทำ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห