"แต่ก็อย่างว่าแหละนะ เดี๋ยวนี้ใช่ว่าจะหางานกันได้ง่าย ๆ เธอก็เรียนมาไม่สูงด้วยใช่ไหมล่ะ? แถมยังไม่มีความสามารถอะไรมากนักอีก เมื่ออยู่ในสังคม เธอก็เป็นได้แค่พวกใช้แรงงานเท่านั้นแหละ จะไปสบายเท่ากินข้าวนิ่มได้ยังไงเล่า" "นังเด็กเซี่ยเซียนอินก็งี่เง่าชะมัด ปล่อยให้เธอหลอกกินตามใจเสียได้..." ก่อนที่เธอจะทันได้พูดให้จบ หลี่ชิงเฟิงก็พลันหักเลี้ยวกะทันหัน! ทำให้ทั้งห้องโดยสารสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง! หร่วนหลานหวากลัวมากเสียจนกรีดร้องลั่น! "โทษทีครับ พอดีเมื่อสักครู่นี้มีก้อนหินอยู่บนถนน" หลี่ชิงเฟิงกล่าวพลางยิ้มให้ "บ้าเอ๊ย! เธอ! เธอไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลยหรือไง! จริง ๆ เลย..." เพราะความตื่นตกใจ ทำให้หร่วนหลานเงียบลงไปได้มากแล้วพิงกระจกรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ชิงเฟิงก็มาถึงบ้านของหร่วนเหมยกับเซี่ยหมิงจื้อ หลังลงจากรถ หร่วนหลานก็มองบ้านด้วยสีหน้ารังเกียจ "นี่เป็นสถานที่ที่คนอาศัยอยู่งั้นเหรอ? จริง ๆ เลย..." หลี่ชิงเฟิงหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นมาแล้วเคาะประตู ไม่นานหร่วนเหมยก็เปิดประตู ทันทีที่สองพี่สองพบหน้ากัน หร่วนหลานก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม "นี่! แม่น้องสา
เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้เข้า สีหน้าก็พลันหม่นคล้ำ เขาไม่มีทางยอมทนให้ใครมาล้อเล่นกับโต้วโต่ว "คุณพูดอะไรน่ะ?" หลี่ชิงเฟิงน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด ทั้งยังมีเจตนาสังหารแฝงมาในคำพูดด้วย! ดวงตาของหร่วนหลานฉายแววตื่นตระหนกขึ้นมาบ้าง จากนั้นเธอก็ยิ้มแก้เก้อว่า "ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยเล่า? จริง ๆ เลยเชียว เป็นผู้ชายตัวโต ๆ กลับใจแคบขนาดนั้นเสียได้..." ในยามนี้เอง จางเฉียงก็พลันเดินเข้ามาขวางหน้าหร่วนหลานแล้วจ้องหลี่ชิงเฟิงตาขวาง "แกคิดจะทำอะไรน่ะ? ดูตาแกสิ คิดจะตีคนเขาหรือไง?" จางเฉียงแย่กว่าแม่ของตัวเองเสียอีก เรื่องคราวนี้เกือบยุติลงแล้ว แต่เขากลับกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีก หลี่ชิงเฟิงย่อมไม่ยอมลดราวาศอก พวกเขาสองคนจวนจะระเบิดใส่กันอยู่แล้ว! อย่างที่ทุกคนรู้ ๆ กันอยู่ ขอเพียงหลี่ชิงเฟิงเกิดความคิดแม้สักนิด ก็เพียงพอให้อีกฝ่ายตายได้เป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว! "เอาล่ะ เอาล่ะ! วันนี้เป็นวันดี ๆ ช่างมันเถอะน่า!" หร่วนหลานยังพอมีสมองอยู่บ้างจึงห้ามจางเฉียงได้ทันเวลา จางเฉียงมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชาพลางพึมพำว่า "เป็นแค่เขยไร้ประโยชน์ แกมีสิทธิ์อะไรมาโ
จางเฉียงหัวเราะ "ลุงเขยครับ ทำไมถึงได้กินน้อยจังล่ะ? ลุงไม่ใช่หนุ่ม ๆ อีกแล้วนะ กินเยอะ ๆ หน่อยสิครับจะได้บำรุงสุขภาพ!" หร่วนเหมยที่อยู่อีกด้านมีสีหน้าหม่นหมองพลางเอ่ยเสียงเบาว่า "จางเฉียง ป้าได้ยินมาว่าหลานร่ำรวยแล้วนี่? งั้นนับแต่นี้ไปป้าคงต้องวานให้หลายช่วยดูแลลุงเขยแล้วล่ะ" เดิมทีเธอคิดจะหาทางลงให้จางเฉียง แต่อีกฝ่ายกลับไม่สำนึกบุญคุณ จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้นมา "เกรงว่าผมคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ป้ารู้จักระยะห่างระหว่างชนชั้นหรือเปล่าล่ะ? หลี่ชิงเฟิงกับผมก็เช่นเดียวกันแหละ" "ป้าคิดว่าอภิมหาเศรษฐีในโลกนี้จะมอบงานให้ขอทานหรือเปล่าล่ะ? มันจะทำได้หรือ? มีความสามารถถึงขั้นนั้นเชียวรึไง?" คำถามที่รัวออกมาสามครั้งติด ๆ ทำเอาหลี่ชิงเฟิงรังเกียจแทบตายแล้ว หร่วนเหมยเองก็รู้สึกรังเกียจมากเสียจนต้องฝืนยิ้มพลางถามว่า "ดูเหมือนว่าระดับชั้นของหลานจะค่อนข้างสูงทีเดียว หลานไปไกลถึงระดับไหนแล้วล่ะ?" จางเฉียงยังคงรู้สึกตื่นเต้น เขาวางตะเกียบแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า "ผมจะบอกป้าก็แล้วกัน ป้าคงจะรู้แล้วว่าคราวนี้ผมมาที่เซี่ยชวนเพื่อเจรจาเรื่องโครงการ?" หลี่ชิงเฟิงส่ายหน้า
จางเฉียงเดินออกจากประตูบ้านด้วยท่าทีโกรธจัด จากนั้นหร่วนหลานแม่ของเขาก็ไล่ตามมา "เสี่ยวเฉียง ลูกจะโกรธพวกมันไปทำไมกัน? พวกมันก็แค่ชนชั้นล่างของสังคมกลุ่มหนึ่ง..." จางเฉียงสูดลมหายใจลึก ๆ "แม่ครับ ผมบอกแม่ตั้งนานแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมาเจ้าเศษสวะพวกนี้ ดูครอบครัวของพวกมันสิ ตั้งแต่คนแก่ยันเด็กน้อย แต่ละคนเป็นไอ้พวกเศษสวะกันทั้งนั้น! ญาติพรรค์นั้นไม่คู่ควรให้คบค้าสมาคมเสียด้วยซ้ำไป!” หร่วนหลานยิ้มให้ "เอาล่ะ เอาล่ะ แม่จะเชื่อฟังลูกก็แล้วกัน สนใจเรื่องเจรจาต่อรองโครงการในวันพรุ่งนี้เถอะน่า ก่อนอื่นก็มาหาที่พักกันเถอะ" พวกเขาสองคนเช็คอินในโรงแรม แต่ไม่ใช่โรงแรมห้าดาว เพราะจางเฉียงไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลย เขาเป็นแค่บอสตัวเล็ก ๆ แถมไม่ได้มีอำนาจอย่างที่โอ้อวดใส่เซี่ยเซียนอินและคนอื่น ๆ หลังจากย่ำค่ำ จางเฉียงก็เตรียมข้อมูลโครงการและฝึกทักษะการสนทนาอยู่หน้ากระจก ให้ความรู้สึกราวกับกำลังลับคมกระบี่ก่อนลงสนามรบอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าคราวนี้ตัวเองบากหน้ามาขอร่วมมือกับเทียนชื่อกรุ๊ป โดยไม่ได้บอกกล่าวใครให้ทราบล่วงหน้า คาดว่าบริษัทเล็ก ๆ เช่นนั้น ต่อให้บอกกล่าวล่วงหน
หลังจากพูดไปหลายนาที หลานหลานก็ยื่นมือออกมาห้ามเขาไว้แล้วกล่าวพลางยิ้มให้ "เอาล่ะค่ะ คุณจาง คุณทิ้งข้อมูลโครงการเอาไว้ที่นี่ก่อนเอาไว้ฉันมีเวลาเมื่อไหร่จะดูให้ก็แล้วกันนะคะ แต่อีกเดี๋ยวพวกเรากำลังจะประชุม คงไม่อาจล่าช้าได้..." จางเฉียงยิ้มให้ "ได้สิครับ! ผมจะทิ้งเอาไว้ก่อน! คุณต้องดูให้ได้เลยนะครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่! ผมจะรอฟังข่าวดีนะครับ!" หลังจากเดินออกจากบริษัท โทรศัพท์มือถือของจางเฉียงก็ดังขึ้น เป็นหร่วนหลานแม่ของเขาที่โทรมานั่นเอง "เจ้าลูกชาย เป็นยังไงบ้างล่ะ? ทุกอย่างราบรื่นดีไหม?" จางเฉียงยิ้มภูมิอกภูมิใจพลางกล่าวว่า "ลูกชายแม่ลงมือเสียอย่าง! โลกนี้ยังมีอะไรที่ผมทำไม่ได้อีกงั้นเหรอครับ? ราบรื่นสะดวกโยธินไปเลยครับ!" "งั้นลูกได้เจอบอสไหม?" จางเฉียงครุ่นคิดอยู่สักครู่ "แน่นอนว่าย่อมต้องได้พบอยู่แล้วสิครับ! พวกเราคุยกันถูกคอ มิหนำซ้ำเขายังถึงขนาดบอกว่าวันหลังจะเลี้ยงอาหารค่ำผมด้วยล่ะ!" หร่วนหลานรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด "จริง ๆ เลยนะ! ลูกชายแม่น่าทึ่งสุด ๆ ไปเลย! งั้นลูกต้องคว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ให้ดีล่ะ!" หร่วนหลานวางสายแล้วกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้องด้วยความตื่นเต้น หลัง
จางเฉียงถูกหลานหลานทำเอาตะลึงงันไปเสียแล้ว เขาเหม่อมองแล้วถามพร้อมยิ้มให้ "คุณพูดว่าอะไรนะครับ? ผมไม่ค่อยเข้าใจ..." หลานหลานเลิกคิ้วแล้วมองเขาพลางขมวดคิ้ว "คุณไม่รู้งั้นเหรอคะ? นี่คือผู้จัดการหลี่ประจำฝ่ายโครงการของเราเอง?" เปรี้ยง! ศีรษะของจางเฉียงราวกับมีอสนีบาตห้าสายผ่าฟาดลงมา! คนก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลงกับพื้น! เขาออกจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่บ้าง จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางหลี่ชิงเฟิงแล้วถามว่า "มันเป็นผู้จัดการงั้นเหรอ? คุณแน่ใจเหรอว่ามันคือผู้จัดกการน่ะ?" หลานหลานกลับยิ่งหน้าตาเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ "คุณหมายความว่ายังไงกันแน่? ทำตัวไร้มารยาทแบบนั้นกับผู้จัดการหลี่ได้ยังไงกัน! เอาล่ะ รับข้อมูลโครงการของคุณแล้วรีบกลับไปซะทีเถอะ" หลานหลานออกปากไล่ จากนั้นจางเฉียงก็สงบสติอารมณ์ลง เขาเดินตัวสั่นอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงเฟิง ทั้งยังรู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี! เขาไม่นึกเลยว่าเขยไร้ประโยชน์ในสายตาเขาผู้นี้จะเป็นผู้จัดการจริง ๆ! "เอ่อ... ผู้จัดการหลี่ โครงการของผม..." หลี่ชิงเฟิงยิ้มพลางกล่าวว่า "โทษทีนะ ตอนนี้พวกเราไม่สนใจโครงการของคุณ กลับไปเสียเถอะ" หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ เขาก็หัน
หลานหลานผงกศีรษะ "เอาล่ะ ไปกันเถอะ" จางเฉียงเดินตามหลานหลานพลางชี้หน้าหลี่ชิงเฟิงพร้อมดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็กัดฟันพูดว่า "ดูซิว่าใครมันจะตายก่อนกัน! ไอ้สวะเอ๊ย!" จางเฉียงตามหลานหลานด้วยความโกรธจัดอยู่เงียบ ๆ ไปจนถึงชั้นบนสุด ตรงสุดปลายทางเดินคือห้องทำงานของท่านประธาน หลานหลานเคาะประตู "เข้ามาได้" จางเฉียงรอไม่ไหวอีกต่อไปจึงผลักหลานหลานแล้วเดินเข้าไป "สวัสดีครับ ท่านประธาน ผมคือ..." จางเฉียงเดินเข้ามาในห้องทำงาน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดให้จบ เขาก็ต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้ง... เขาเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานคือ เซี่ยเซียนอิน! ตอนนี้เขารู้สึกว่าวิญญาณกำลังจะแตกสลาย! ราวกับว่าโลกทั้งใบไม่ใช่ของจริง! เขาเอามือกุมศีรษะแล้วนั่งยอง ๆ กับพื้นพลางพึมพำว่า "เกิดเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย! เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!" "พวกมันไม่แกร่งเท่าฉัน ไม่มีความสามารถเท่าฉัน! ทำไมกันล่ะ!" เซี่ยเซียนอินรู้ว่าเขาจะต้องมา ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจนักแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "นายมาทำอะไรที่นี่?" จางเฉียงใช้ดวงตากลัดเลือดจ้องมองเธอ จากนั้นก็เดินถือข้อมูลโครงการเข้ามาหาเซี่ยเซียนอินทีละก้า
จางเฉียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมาที่โรงแรมได้ยังไง เขาเคาะประตูด้วยท่าทีทึ่มทื่อ ไม่นานหร่วนหลานก็เปิดประตู เมื่อเธอเห็นลูกชาย หร่วนหลานก็ประคองใบหน้าของเขามาจุมพิตโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง! "เจ้าลูกชายเอ๋ย ลูกเก่งสุด ๆ ไปเลย! ลูกทานข้าวเสร็จแล้วเหรอ? เร็วไปหน่อยหรือเปล่า? ผู้จัดการเป็นยังไงบ้างล่ะ? เขาคิดจะลงทุนกับลูกสักเท่าไรกัน?" คำถามเป็นชุด ๆ ประดังใส่เขา เดิมทีจางเฉียงไม่คิดอะไรแล้ว แต่เมื่อหร่วนหลานถามขึ้นมา เขาก็นั่งยอง ๆ แล้วร้องไห้โฮ! คราวนี้หร่วนหลานรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้ว! เธอถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวแล้วมองลูกชายด้วยสายตาเหลือเชื่อ เธอจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ลูกชายของตนเองร้องไห้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องที่เขาร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังด้วยเล่า เมื่อจางเฉียงร้องไห้ หร่วนหลานเองก็ตื่นตระหนกแล้วพูดเสียงสั่นเครือว่า "เสี่ยวเฉียง ลูกเป็นอะไรน่ะ! ร้องไห้ทำไมกัน!" หร่วนหลานประคองเขาไปที่โซฟาพลางมองตาเขาแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นน่ะ? บอกแม่มาสิ!" จางเฉียงเช็ดน้ำตาพลางมองแม่ของตัวเองด้วยความสิ้นหวังแล้วสำลักก้อนสะอื้น "ผะ...ผมทำไม่สำเร็จ..." "เ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห