"ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน คุณอยากให้ผมไปจัดการไหมครับ?" "ไม่ล่ะ ฉันไม่มีเวลา เอาของทั้งหมดออกมาให้ฉันดูทีซิ" "ครับ" ผู้ช่วยไม่กล้าชักช้า จากนั้นก็รีบยกข้าวของที่ถูกส่งเข้ามาในปีนี้มาวางกองตรงหน้าหมอเทวดาหาน หมอหานเอามือไพล่หลังแล้วมองสมบัติที่อยู่ตรงหน้า ราวกับว่ากำลังตรวจสอบกองทัพของตนเอง แต่แววตากลับไม่เปล่งประกาย เพราะข้าวของพวกนี้ไม่คู่ควรให้เขาเหลือบแลมองอีกครั้ง ไม่มีอะไรมากไปกว่าของนอกกายอย่างเงินทอง วัตถุโบราณและภาพเขียนชื่อดัง ไข่มุกและหยก ทว่าในยามนี้เอง เขาพลันชะงักงันแล้วทอดสายตามองบางสิ่งบางอย่าง ทีแรกเขานึกว่ามองผิดไป ดังนั้นเขาจึงรีบเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ จากนั้นก็ขยี้ตาแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน... มันคือแผ่นป้ายสีดำมะเมื่อมขนาดเท่าฝ่ามือ ทั้งยังดูเหมือนว่าจะทำขึ้นมาจากเหล็กหรือไม่ก็หิน หัวใจของเขาเริ่มที่จะเต้นแรง จากนั้นเขาก็ยื่นมือไม้อันสั่นเทาออกมาแล้วค่อย ๆ พลิกป้าย อักษรคำว่า "จุน" ตัวใหญ่ปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตา! หมอหานถึงกับถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองแผ่นป้ายในมือด้วยสายตาเหลือเชื่อพลางเอ่ยพึงพำว่า "แผ่
ชายผู้นั้นยังไม่ทันได้พูดให้จบ ก็พลันตกตะลึง... "แก......" "ใช่ คุณหลี่เป็นพี่ใหญ่ของฉันเอง ยังมีใครจะพูดว่าตัวเองเป็นทายาทมหาเศรษฐีรุ่นสองอีกไหม?" เย่เซียวยิ้มเยาะ "นี่มัน......" หลี่ชิงเฟิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ประหลาดใจ เขาก็ประคองหญิงชราแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง เมื่อมาถึงในห้อง หมอหานก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลี่ชิงเฟิง สายตาของเขาก็ทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยแววตื่นเต้นและหวาดกลัว ผู้ที่ดูเหมือนเทพเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ได้แต่ก้มศีรษะให้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา "สวัสดีครับคุณหลี่ ผมหานอีครับ" หมอหานเอ่ยด้วยท่าทีพินอบพิเทา หลี่ชิงเฟิงโบกมือ "ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ครับ ยังไงซะผมก็มีเรื่องจะขอร้องคุณ" หมอหานยิ้มให้ "คุณต้องการให้ช่วยเรื่องอะไรครับ? ได้พาผู้ป่วยมาด้วยหรือเปล่า?" หลี่ชิงเฟิงโบกมือแล้วเย่เซียวก็พาหญิงชรากับหลานสาวของเธอเข้ามา "มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือช่วยผมรักษาเด็กผู้หญิงคนนี้" หลี่ชิงเฟิงกล่าวขึ้นมา หมอหานผงกศีรษะแล้วสั่งให้ผู้ช่วยของตนอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาบนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือมาจับชีพจรพลางถ่างเปลือกตาแล้วมองเธอด้วยนัยแฝงแ
หลี่ชิงเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เข็นเซี่ยเซียนอินไปอยู่ตรงหน้าหมอหาน "เอาล่ะ นิ่งไว้นะครับ" หมอหานถลกแขนเสื้อพลางค่อย ๆ แตะหัวเข่ากับกระดูกขาของเซี่ยเซียนอินจากทางด้านหลัง จากนั้นก็ตรวจดูหัวเข่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกสักพัก จากนั้นเขาก็เดินเลี่ยงออกมาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนักแล้วบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง หลี่ชิงเฟิงเดินเข้ามาหาแล้วถามเสียงแผ่วเบาว่า "มีอะไรหรือเปล่าครับ? คุณก็รักษาเธอไม่ได้เหมือนกันเหรอ?" หมอหานยิ้มพลางกล่าวว่า "เปล่าหรอกครับคุณหลี่ ผมกำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในการรักษาภรรยาของคุณอยู่น่ะ คุณหลี่ครับ หากว่ากันตามจริงแล้ว ย่อมไม่มีทางรักษาขาของภรรยาคุณได้ แต่ในเมื่อเธอได้เจอผมเข้าล่ะก็ ผมกล้าพูดเลยว่าโลกนี้มีคนที่รักษาขาของภรรยาคุณได้ไม่ถึงสองคนหรอกครับ” หลี่ชิงเฟิงเองก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า "เชิญคุณว่าราคามาได้เลย" หมอเทวดาหานยิ้มพลางส่ายหน้า "ผมไม่อยากได้เงินหรอก ผมจะเป็นคนรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมดของภรรยาคุณเอง ผมแค่ไม่รู้ว่าแผ่นป้ายตัวอักษรจุนจะเป็นเหมือนที่ร่ำลือกันจริง ๆ หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง"
เซี่ยเซียนอินรู้สึกราวกับเป็นแกะที่กำลังจะเข้าปากเสือ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของหลี่ชิงเฟิง เธอถึงได้ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เธอเชื่อว่าหลี่ชิงเฟิงจะไม่ทำร้ายเธอ ถ้าหากเขาไม่มั่นใจก็คงจะไม่กล้ารับรองเช่นนั้นหรอก พวกเขาสามคนเข้าในห้องนอน เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นหมอหาน เขาก็จุดกำยานที่เอามาด้วย ไม่นานกลิ่นหอมประหลาดก็ตลบอบอวลอยู่ในห้อง... กลิ่นหอมนี้ช่างแปลกประหลาดนัก เซี่ยเซียนอินไม่เคยได้กลิ่นหอมเช่นนี้มาก่อน หลี่ชิงเฟิงถามพลางยิ้มให้ "ถ้าหากขาของคุณหายดี พวกเราสามคนทั้งคุณ ผมแล้วก็โต้วโต่วไปเที่ยวสวนสนุกกันสักวันเป็นไง?" เซี่ยเซียนอินฝืนยิ้ม "ถึงตอนนั้นค่อนว่ากันเถอะ คุณมั่นใจว่าขาของฉันจะหายดีขนาดนั้นได้ยังไงกัน?" "ที่จริงฉันไม่หวังให้ขาของตัวเองหายดีหรอก ขอเพียงแค่เดินได้ ฉันก็พอใจแล้ว" หลี่ชิงเฟิงลูบใบหน้าของเธอเบา ๆ "ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ผมบอกว่าคุณต้องหายดี คุณก็ต้องหายดีสิ" จากนั้นหลี่ชิงเฟิงก็นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดคุยหลายเรื่องที่ผ่านมาในอดีตกับเซี่ยเซียนอิน นับตั้งแต่รู้จักกันไปจนถึงความทุกข์ทรมานที่พวกเขาต้องเผชิญด้วยกัน การสนทนาครั้งนี้ยาวนานกว่าสองชั่วโมง เ
กล้วยไม้ปีศาจสามารถทำร้ายคนได้ และอาการง่วงเหงาหาวนอนก็เป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่ง หลี่ชิงเฟิงอยู่เคียงข้างเธอตลอดทั้งวัน เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซี่ยเซียนอินลืมตาขึ้นมาเห็นหลี่ชิงเฟิงกับโต้วโต่วกำลังนอนอยู่ทั้งสองข้างของเธอ เธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอน ทันทีที่เท้าของเธอสัมผัสพื้น เซี่ยเซียนอินก็ตัวสั่น! ขาของฉันสามารถยืนได้แล้ว! เธอตะลึงงันไปหลายนาทีพร้อมเหงื่อที่ผุดซึมหน้าผาก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงมากกว่า! เธอลองขยับดูนิดหน่อย ถึงแม้ว่าเธอจะเคลื่อนไหวลำบากและเจ็บหัวเข่าอยู่บ้าง แต่เธอก็ต้องลองเดินดู "คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?" จู่ ๆ เสียงของหลี่ชิงเฟิงก็ดังขึ้นซึ่งทำให้เซี่ยเซียนอินรู้สึกตกอกตกใจ! เธอเกือบล้มหงายหลังอยู่แล้ว แต่โชคดีที่หลี่ชิงเฟิงสายตาว่องไวแล้วรีบก้าวเข้ามาคว้าแผ่นหลังของเธอเอาไว้แล้วดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมแขน ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เซี่ยเซียนอินก็เสียงสั่น "ระ... เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอกน่า... หรือว่าฉันกำลังฝันอยู่..." หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ "โลกกว้างใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์และไม่มี่สิ่งใดที่เป็นไปไม่ได
เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็เข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้คร่าว ๆ เขาจึงยิ้มนิด ๆ พลางกล่าวว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมรู้ว่าควรจะทำยังไง" เซี่ยเซียนอินเตือนเขาพลางผงกศีรษะแล้วปล่อยเขาไป หลี่ชิงเฟิงไม่มีรถ ฉะนั้นเขาจึงต้องขอยืมรถอาวดี้เอหก มาจากบริษัทแล้วรีบไปที่สนามบินในตอนบ่าย ทันทีที่หลี่ชิงเฟิงมาถึงสนามบิน เขาก็ได้รับข้อความจากเซี่ยเซียนอิน เมื่อเขาเปิดดูรูปถ่าย เขาก็เห็นผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหร่วนเหมย ผู้หญิงคนนี้คือน้ารองของเซี่ยเซียนอิน แต่ทั้งสองครอบครัวไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันสักเท่าไรนัก หลี่ชิงเฟิงจึงไม่เคยพบเธอมาก่อน หลี่ชิงเฟิงยืนถือโทรศัพท์มือถืออยู่ตรงประตูรับผู้โดยสารแล้วเหลือบมองเวลา พบว่าจวนได้เวลาแล้ว ไม่กี่นาทีต่อมา ผู้โดยสารจำนวนมากก็หลั่งไหลออกมาจากทางออก โชคดีที่หลี่ชิงเฟิงสายตาแหลมคมจึงมองเห็นคนในรูปถ่ายในแวบเดียวท่ามกลางผู้คนนับร้อย เขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วพบว่าคุณน้าคนนี้มาพร้อมกับชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง "สวัสดีครับ น้าหร่วนใช่ไหมครับ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มให้ ผู้หญิงคนนั้นกอดกระเป๋าถือเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวแล้วมองเขาด้วยสาย
"แต่ก็อย่างว่าแหละนะ เดี๋ยวนี้ใช่ว่าจะหางานกันได้ง่าย ๆ เธอก็เรียนมาไม่สูงด้วยใช่ไหมล่ะ? แถมยังไม่มีความสามารถอะไรมากนักอีก เมื่ออยู่ในสังคม เธอก็เป็นได้แค่พวกใช้แรงงานเท่านั้นแหละ จะไปสบายเท่ากินข้าวนิ่มได้ยังไงเล่า" "นังเด็กเซี่ยเซียนอินก็งี่เง่าชะมัด ปล่อยให้เธอหลอกกินตามใจเสียได้..." ก่อนที่เธอจะทันได้พูดให้จบ หลี่ชิงเฟิงก็พลันหักเลี้ยวกะทันหัน! ทำให้ทั้งห้องโดยสารสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง! หร่วนหลานหวากลัวมากเสียจนกรีดร้องลั่น! "โทษทีครับ พอดีเมื่อสักครู่นี้มีก้อนหินอยู่บนถนน" หลี่ชิงเฟิงกล่าวพลางยิ้มให้ "บ้าเอ๊ย! เธอ! เธอไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลยหรือไง! จริง ๆ เลย..." เพราะความตื่นตกใจ ทำให้หร่วนหลานเงียบลงไปได้มากแล้วพิงกระจกรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ชิงเฟิงก็มาถึงบ้านของหร่วนเหมยกับเซี่ยหมิงจื้อ หลังลงจากรถ หร่วนหลานก็มองบ้านด้วยสีหน้ารังเกียจ "นี่เป็นสถานที่ที่คนอาศัยอยู่งั้นเหรอ? จริง ๆ เลย..." หลี่ชิงเฟิงหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นมาแล้วเคาะประตู ไม่นานหร่วนเหมยก็เปิดประตู ทันทีที่สองพี่สองพบหน้ากัน หร่วนหลานก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม "นี่! แม่น้องสา
เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้เข้า สีหน้าก็พลันหม่นคล้ำ เขาไม่มีทางยอมทนให้ใครมาล้อเล่นกับโต้วโต่ว "คุณพูดอะไรน่ะ?" หลี่ชิงเฟิงน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด ทั้งยังมีเจตนาสังหารแฝงมาในคำพูดด้วย! ดวงตาของหร่วนหลานฉายแววตื่นตระหนกขึ้นมาบ้าง จากนั้นเธอก็ยิ้มแก้เก้อว่า "ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยเล่า? จริง ๆ เลยเชียว เป็นผู้ชายตัวโต ๆ กลับใจแคบขนาดนั้นเสียได้..." ในยามนี้เอง จางเฉียงก็พลันเดินเข้ามาขวางหน้าหร่วนหลานแล้วจ้องหลี่ชิงเฟิงตาขวาง "แกคิดจะทำอะไรน่ะ? ดูตาแกสิ คิดจะตีคนเขาหรือไง?" จางเฉียงแย่กว่าแม่ของตัวเองเสียอีก เรื่องคราวนี้เกือบยุติลงแล้ว แต่เขากลับกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีก หลี่ชิงเฟิงย่อมไม่ยอมลดราวาศอก พวกเขาสองคนจวนจะระเบิดใส่กันอยู่แล้ว! อย่างที่ทุกคนรู้ ๆ กันอยู่ ขอเพียงหลี่ชิงเฟิงเกิดความคิดแม้สักนิด ก็เพียงพอให้อีกฝ่ายตายได้เป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว! "เอาล่ะ เอาล่ะ! วันนี้เป็นวันดี ๆ ช่างมันเถอะน่า!" หร่วนหลานยังพอมีสมองอยู่บ้างจึงห้ามจางเฉียงได้ทันเวลา จางเฉียงมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชาพลางพึมพำว่า "เป็นแค่เขยไร้ประโยชน์ แกมีสิทธิ์อะไรมาโ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห