หลี่ชิงเฟิงรีบเดินเข้ามาในห้องทำงานแพทย์แล้วเห็นแพทย์ผู้ดูแลของเซี่ยเซียนอินกำลังจัดการกับคอมพิวเตอร์อยู่ตรงนั้น เขาก้าวเดินเข้ามาหาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึมเคร่งว่า "ขาของเซี่ยเซียนอินเป็นยังไงบ้างครับ?" หมอสีหน้าไม่สู้ดีนักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณไม่มีมารยาทหรือไง? ตอนจะเข้ามาไม่รู้จักเคาะประตูงั้นเหรอ? ออกไปซะ!" หลี่ชิงเฟิงคว้าคอเสื้อของหมอแล้วยกเขาขึ้นกลางอากาศทันที หมอไม่เคยเห็นใครแข็งแรงเช่นนั้นมาก่อน จากนั้นก็หวาดกลัวเสียจนหน้าตาซีดขาว! "ปล่อยผมนะ! คุณจะทำอะไร!" หลี่ชิงเฟิงถามเน้นทีละคำ "ตอนนี้ขาของเซี่ยเซียนอินเป็นยังไงบ้าง?" "ปล่อยผมลง เดี๋ยวผมจะช่วยตรวจดูให้ดีไหมล่ะ?" หลี่ชิงเฟิงโยนหมอลงบนเก้าอี้ ส่วนหมอก็หวาดกลัวมากเสียจนรีบเปิดแฟ้มเวชระเบียบ จากนั้นก็พลิกดูผ่าน ๆ แล้วบอกว่า "กะ...กระดูกสะบ้าของเธอแหลกละเอียดและขาซ้ายพิการไปแล้ว” คำพูดเหล่านี้ราวกับกระสุนปืนที่กระหน่ำยิงใส่หน้าอกของหลี่ชิงเฟิง ชวนให้เขาหายใจแทบไม่ออก ไม่รู้ว่าเขานิ่งงันอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องทำงานแพทย์ ขณะที่กำลังจะกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยก็เจอเย่เซียวเข้าโดยบ
บรรยากาศในห้องประชุมคราวนี้แตกต่างไปจากคราวก่อนอย่างเห็นได้ชัด คุณย่าเซี่ยมองเซี่ยเซียนอินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร "ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดแล้วใช่ไหม? งั้นฉันจะขอประกาศว่าตระกูลเซี่ยของพวกเราได้ที่ดินในหาดชิงไห่มาแล้ว" "เสี่ยวอิ๋งเป็นฝ่ายที่ได้มา" หลังจากคุณย่าเซี่ยพูดจบก็หยิบสัญญาออกมาแล้วโยนมาตรงหน้าเซี่ยเซียนอิน จากนั้นก็ยิ้มเยาะ "ดูสิ นี่เป็น" เมื่อเซี่ยเซียนอินเห็นสัญญาซื้อขายก็หน้าเปลี่ยนสีอยู่บ้าง สัญญาเป็นของจริงแน่ ๆ แต่คนที่ลงนามกลับไม่ใช่เจิ้งเหล่าลิ่ว ดูเหมือนคุณย่าเซี่ยจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมีท่าทีแปลก ๆ ดังนั้นเธอจึงอธิบายว่า "เจิ้งเหล่าลิ่วหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเป็นหรือตาย ผู้ที่ลงนามคือลูกสะใภ้วัยสี่สิบปี เธอเป็นญาติเพียงคนเดียวของเจิ้งเหล่าลิ่ว ดังนั้นสัญญาจึงมีผลผูกพันทางกฎหมาย" หลังจากคุณย่าเซี่ยพูดจบ เธอก็เหลือบมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเปี่ยมความหมายแล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "ฉันเกรงว่าใครบางคนที่มีแรงจูงใจแอบแฝงคงจะยอมรับผลลัพธ์แบบนี้ไม่ได้ ถูกไหมล่ะ?" "แกมันยังไร้เดียงสาเกินไป" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ แทนที่เขาจะโกรธแต่กลับยิ้มออกมา "ขอแสดงความยินดีกั
ตอนนี้คุณย่าเซี่ยได้ที่ดินและผลพลอยได้ทั้งหมดมาแล้ว เธอยังจะรู้สึกเสียได้ยังไงกัน? เมื่อเห็นว่าตอนนี้หลี่ชิงเฟิงยังคงขู่ให้กลัว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ "ฉันถึงได้เรียกแกว่าไอ้ขี้แพ้ยังไงล่ะ สิ่งที่แกพูดมีเรื่องไหนเป็นความจริงบ้างล่ะ? แกยังคิดว่าใช้คำพูดข่มขู่ก็จะทำให้ฉันหวาดกลัวงั้นเหรอ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ "ข่มขู่คุณน่ะเหรอ? คุณคิดมากเกินไปแล้ว เซียนอินไปกันเถอะ" เขาไม่พูดอะไรอีกก็ผลักรถเข็นของเซี่ยเซียนอินแล้วหันหลังจากไปด้วยความเด็ดเดี่ยว! หร่วนเหมยเช็ดน้ำตาแล้วเดินตามออกไป มีเพียงเซี่ยหมิงจื้อที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับว่ายังไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ ยิ่งหร่วนเหมยเห็นเขาก็ยิ่งโกรธ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถีบเขาแล้วร้องตะโกนด้วยความเดือดดาลว่า "คุณมันโง่เง่า! ยังมัวแต่ทำอะไรอยู่ที่นี่อีก! คุณจะขอร้องเธอไปทำไมกัน!" "นับตั้งแต่ต้นจบจบ เธอไม่เคยปฏิบัติกับพวกเราเยี่ยงมนุษย์เลย! ถ้าคุณยังเป็นคนและยังรักลูกสาวของตัวเองอยู่ งั้นก็ลุกขึ้นให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!" เซี่ยหมิงจื้อกำหมัดแน่นพลางหน้าตาเหยเกอยู่บ้าง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นแล้วปกป้องศักดิ์
เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้เข้าก็เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะ "ไม่จำเป็นงั้นเหรอ? ตอนที่แกวางแผนเล่นงานฉัน ทำไมถึงไม่พูดว่าไม่จำเป็นบ้างเล่า?" "เซี่ยเซียนอิน ตอนนี้เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้แกจะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้อีกแล้ว!" เสี่ยวอิ๋งยิ้มเยาะด้วยความอิ่มอกอิ่มใจแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ "แกมันตัวไร้ประโยชน์ คู่ควรจะได้อยู่ในคฤหาสน์แบบนี้ด้วยเหรอ? ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!" เซี่ยเซียนอินโกรธจัดแล้วชี้นิ้วไปที่ประตูพลางกล่าวว่า "ช่วยออกไป! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ!" เซี่ยเซียนอินหารู้ไม่ว่านี่ต่างหากล่ะคือสิ่งที่เสี่ยวอิ๋งอยากจะเห็น ยิ่งเธอโมโหมากเท่าไร เสี่ยวอิ๋งก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น! "แกโกรธงั้นเหรอ? ลุกขึ้นมาตบฉันสิ! ถ้าแกแน่จริงก็ลุกขึ้นมาตบฉันเลย!" เซี่ยเซียนอินจ้องเธอตาเขม็ง "ถ้าเธอไม่ออกไป! ฉันจะโทรเรียกตำรวจข้อหาบุกรุกเคหสถาน!" เสี่ยวอิ๋งกอดอกยิ้มเยาะ "ฉันไม่ได้บุกเข้ามาในคฤหาสน์ของแกสักหน่อย? คฤหาสน์หลังนี้เป็นของแกหรือไง? แกคิดว่าตัวเองเป็นคุณผู้หญิงงั้นเหรอ?" "เธอ!" เซี่ยเซียนอินโกรธเสียจนมือไม้สั่นเทิ้ม จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาตำรวจ! เ
เซี่ยเซียนอินมองหวังเจิ้นอย่างไม่เชื่อสายตา พลางคิดว่าเมื่อสักครู่นี้เธอคงได้ยินผิดไป "คะ...คุณพูดอะไรน่ะ?" ในยามนี้เอง จ้าวเทียนชื่อก็เดินยิ้มเข้ามาหา "คุณเซี่ย หลังจากคณะกรรมการบริหารพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พวกเราก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะฝากอนาคตของเทียนชื่อกรุ๊ปเอาไว้กับคุณ" "ตอนนี้คุณเป็นประธานของเทียนชื่อกรุ๊ปแต่เพียงผู้เดียว!" เมื่อเซี่ยเซียนอินมองจ้าวเทียนชื่อก็ยิ่งพูดไม่ออก ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้คือความฝัน หลี่ชิงเฟิงตบไหล่ของเธอแล้วหัวเราะ "บอสเซี่ย มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ? รีบพูดอะไรกับพนักงานของคุณสักสองสามคำสิ?" ในสถานการณ์แบบนี้ เซี่ยเซียนอินนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรดี เธอรู้สึกสับสนมึนงงไปหมดแล้ว ใช้เวลาหลายสิบนาทีกว่าเซี่ยเซียนอินจะหายตื่นตะลึง คาดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยเซียนอินที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว กลับไม่ยอมเข้ารับช่วงกิจการของเทียนชื่อกรุ๊ป เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า "ไม่ค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงมอบเทียนชื่อกรุ๊ปให้แก่ฉัน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ" "ประการแรก ฉันไม่มีความสามารถ" "ประการที่สอง ฉัน
แน่นอนว่าหลี่ชิงเฟิงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก็เร่งโหมกระพือข่าว ด้วยเจตนาจะทำให้ตระกูลเซี่ยล่วงรู้ข่าว แน่นอนว่าตระกูลเซี่ยก็ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังเลย ภายในครึ่งชั่วโมง เสี่ยวอิ๋งที่กำลังนั่งนึกถึงอนาคตอยู่ในห้องทำงานก็รู้ข่าว เมื่อเลขาเดินเข้ามาบอก เธอก็ยิ้มเหยียดหยันแล้วตวาดใส่เลขา จนกระทั่งคุณย่าโทรมา "เสี่ยวอิ๋ง! รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!" ขณะที่พูดอยู่นั้น คุณย่าก็น้ำเสียงสั่นเครือ เสี่ยวอิ๋งรู้สึกตื่นตะลึง จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ คุณย่า?" "เซี่ยเซียนอินน่ะสิ ตอนนี้มันเป็นประธานของเทียนชื่อกรุ๊ปแล้ว!" "หา?" เสี่ยวอิ๋งใจเต้นแรง ตอนที่เลขาบอกเธอยังไม่เชื่อ ทว่ายามนี้คุณย่ากลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง ชวนให้เธอรู้สึกร้อนใจขึ้นมา "ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกมั้งคะคุณย่า? จ้าวเทียนชื่อไม่ใช่คนโง่! จะปล่อยให้มันเป็นประธานได้ยังไงกัน? ต่อให้มันเป็นเมียเก็บ ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้เลยมั้งคะ?" คุณย่าเซี่ยเองก็ร้อนใจเช่นกัน "จะเป็นไม่ได้ได้ยังไงกัน! ถ้าหากข่าวไม่เป็นความจริง ย่าจะร้อนใจขนาดนั้นไปทำไมเล่า? รีบกลับมาหาย่าเลยนะ!"
เมื่อคุณย่าเซี่ยได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตื่นตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "อ้อ แกบอกว่าเป็นโมฆะก็เป็นโมฆะงั้นเหรอ? แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?" "ทำไมมหาเศรษฐีหวังถึงไม่พูดเองล่ะ? ต่อให้เขาต้องส่งใครสักคนมา ก็คงจะไม่ส่งไอ้ขี้แพ้อย่างพวกแกสองตัวมาหรอกมั้ง?" ในยามนี้เอง คุณย่าเซี่ยก็ยิ่งเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแล้วยิ้มเยาะออกมา "พวกแกไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งต่อหน้าฉันหรอก ลำพังด้วยสถานะของพวกเราตอนนี้ พวกเราก็คร้านเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องพวกนี้กับแกอีก" หลังจากคุณย่าเซี่ยพูดจบก็โบกมือ "ใครก็ได้มาไล่สองคนนี้ออกไปที ช่างน่าขันสิ้นดี..." ตอนนี้เอง จู่ ๆ เซี่ยเซียนอินก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลข เมื่อคุณย่าเซี่ยเห็นเช่นนี้เข้า เธอก็ไม่สนใจให้มากนัก พอนึกว่าอีกฝ่ายยังคงเสแสร้งจึงผุดรอยยิ้มเยาะตรงมุมปากขึ้นมา "สวัสดีค่ะ คุณหวัง" เสียงของเซี่ยเซียนอินพลันดังขึ้น จากนั้นคุณย่าเซี่ยกับเสี่ยวอิ๋งที่คิดจะขึ้นไปชั้นบนก็ชะงักฝีเท้าพร้อมกัน "ฉันเผชิญสถานการณ์บางอย่างที่ตระกูลเซี่ยเข้า ช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังเองได้ไหมคะ" เซี่ยเซียนอินถือโทรศัพท์แล้วผลักรถเข็นไปหาคุณย่าเซี่ย "คุ
"ถ้าหลานจากไปแบบนี้ ตระกูลเซี่ยก็จะติดหนี้กว่าร้อยล้าน คงได้จบเห่กันแน่!" "ต่อให้หลานจะไม่เห็นแก่หน้าของย่า แต่หลานก็ต้องนึกถึงวิญญาณของคุณปู่บนสวรรค์บ้างนะ!" ขณะที่คุณย่าเซี่ยพูด เธอก็ซับน้ำตาไปด้วย... นี่เป็นวิธีการที่เธอมักจะใช้เป็นประจำ หลี่ชิงเฟิงหน่ายที่จะมองแล้ว เธอเดินวนรอบตัวเซี่ยเซียนอินพลางพูดว่า "เซียนอินลองคิดดูสิ ถ้าหากคุณปู่ของหลานรู้ว่าตระกูลเซี่ยกำลังจะย่อยยับ ท่านก็คงทุกข์ใจมาก..." เซี่ยเซียนอินค่อย ๆ ก้มหน้าลง เมื่อคุณย่าเซี่ยเห็นเช่นนี้เข้าก็ลอบยินดี การใช้ประโยชน์จากความเป็นคนดีของเซี่ยเซียนอินได้ผลเสมอ "เซียนอิน กลับมาช่วยพวกเราเถอะ ตกลงไหม?" คุณย่าเซี่ยค่อย ๆ ยื่นมือออกมา เพี๊ยะ! จู่ ๆ เซี่ยเซียนอินก็เอื้อมมือออกมาปัดมือของเธอทิ้ง! แม้แต่หลี่ชิงเฟิงก็ยังหน้าเปลี่ยนสี! เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน คุณย่าเซี่ยมองเธอด้วยความตื่นตะลึง "เซียนอิน ... หลาน" "ก่อนที่คุณปู่จะเสีย ท่านสั่งให้คุณย่าดูแลพวกเราและตระกูลนี้ให้ดี ๆ คุณย่าเคยทำหรือเปล่าคะ?" เซี่ยเซียนอินสีหน้าหม่นคล้ำ "ตอนนี้คุณย่าไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึงท่าน!" "ไปกันเถอะ!" เมื่อหลี่ชิงเฟิง
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห