ตอนที่เสี่ยวอิ๋งออกมาจากสถานีตำรวจก็ดึกดื่นแล้ว รถของเซี่ยเทาพ่อของเธอก็จอดอยู่ตรงประตู เสี่ยวอิ๋งที่หมดเรี่ยวแรงจากการทรมานแลดูกระเซอะกระเซิง ราวกับว่าวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว ทันทีที่เธอเดินออกมาจากประตู หลายคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักข่าวก็กรูกันเข้ามา โชคดีที่เซี่ยเทารีบวิ่งเข้ามาขวางพวกเขาไว้แล้วพาเสี่ยวอิ๋งเข้าไปในรถ เมื่อเสี่ยวอิ๋งขึ้นรถมาแล้ว เธอก็เอามือปิดหน้าร้องไห้พลางกัดริมฝีปาก "ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้! ทำไมกัน!" "ทำไมหนูพ่ายแพ้ให้ไอ้ขี้แพ้นั่นอยู่ก้าวหนึ่งตลอดเลย! หนูอยากจะฆ่ามันนัก! หนูอยากจะให้มันตาย ๆ ไปซะ!" เซี่ยเทาที่ขับรถอยู่ถอนใจด้วยความอับจนหนทางพลางเอ่ยเสียงเบาว่า "ตอนนี้อย่าเพิ่งไปนึกถึงเรื่องพวกนี้เลย คุณย่าตัดสินใจที่จะปลดลูกออกจากทุกตำแหน่งแล้วนะ" เสี่ยวอิ๋งรู้สึกตื่นตะลึงไปชั่วขณะ! "คะ...คุณพ่อว่ายังไงนะคะ?" "พ่อจะบอกว่าหนูโดนพักงาน แถมยังถูกเซี่ยเซียนอินรับช่วงทุกตำแหน่งไปหมดแล้ว!" เสี่ยวอิ๋งอยู่ข้างในทั้งวันจึงไม่รู้ข่าวอะไร มิหนำซ้ำเธอยังไม่ทันได้เตรียมใจเอาไว้เลย ตอนนี้จู่ ๆ ได้รู้เข้าก็ราวกับโลกถล่มก็ไม่ปาน! "ไม่นะคะ! หนูต้อง
"ทำไมหลานถึงอยากช่วยคนนอกบริหารบริษัทและเป็นประธานแค่ในนามมากกว่าจะกลับมามีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลเซี่ย นี่มันเหตุผลอะไรกัน?" "ช่างมันเถอะ ถ้าหลานไม่ต้องการ ย่าก็ไม่ฝืนใจ ย่าจะคิดเสียว่าตระกูลเซี่ยคงต้องจบสิ้นลงวันนี้แล้ว" "คืนนี้ย่าจะได้จัดการตัวเองแล้วไปพบคุณปู่ของหลาน..." คุณย่าเซี่ยร้องไห้คร่ำครวญ ถ้าหากใครที่ไม่ล่วงรู้สถานการณ์มาเห็นเข้า พวกเขาก็คงจะนึกสงสารหญิงชราขึ้นมาจริง ๆ แต่หลี่ชิงเฟิงกลับไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด เขาตระหนักดีถึงแผนการเจ้าเล่ห์ของหญิงชราซึ่งอำมหิตมิใช่เล่น แน่นอนว่าเซี่ยเซียนอินย่อมต้องลังเลใจ "คุณย่าคะ อย่าทำแบบนี้! หนะ...หนูจะลองกลับไปคิดดู ตกลงไหมคะ? ขอเวลาให้หนูสักหน่อยได้ไหมคะ" คุณย่าเซี่ยเอ่ยพร้อมดวงตาแดงก่ำ "เซียนอิน กลับมาเถอะนะ ไม่ว่าเทียนชื่อกรุ๊ปจะดีสักแค่ไหน มันก็เป็นบริษัทของคนนอก ตอนนี้ตระกูลต้องการหลานอยู่นะ..." ขณะที่เซี่ยเซียนอินกำลังจะตอบ หลี่ชิงเฟิงก็หัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ยขัดขึ้นมาว่า "คุณย่าครับ กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ" คุณย่าเซี่ยหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! ฉันมีอะไรต้องคุยกับแกด้วยงั้นรึ? ฉัน..."
เซี่ยเซียนอินหยิบโทรศัพท์มือถือออกแล้วเห็นว่าเป็นพ่อของเธอที่โทรมา เธอก็รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที หลังจากรับสาย เซี่ยหมิงจื้อก็พูดแค่เพียงประโยคเดียวว่า "กลับบ้านเดี๋ยวนี้" เมื่อเธอวางสายลง เซี่ยเซียนอินก็มีสีหน้าเป็นกังวล "พ่อบอกให้ฉันกลับบ้าน งั้นท่านก็น่าจะรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว" หลี่ชิงเฟิงยิ้มให้ "ไม่สำคัญหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดูซิว่าท่านจะพูดอะไรแล้วพวกเราค่อยมาคุยกันอีกที" ในยามนี้เอง เซี่ยหมิงจื้อกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่บ้าน เขาวางสายแล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ชุดหนึ่ง ไม่นานเสียงของคุณย่าเซี่ยก็ดังขึ้นที่ปลายสาย "เป็นยังไงบ้าง?" เซี่ยหมิงจื้อยิ้ม "ไม่ต้องห่วงครับ ผมโทรเรียกเธอให้กลับมาแล้ว ผมจะต้องสั่งสอนเด็กคนนี้ให้ดีเชียวล่ะ!" คุณย่าเซี่ยถอนหายใจพลางเน้นย้ำด้วยความเป็นห่วงว่า "เธอต้องปลูกฝังความคิดที่ถูกที่ควรให้เด็กคนนี้ด้วย ไม่ว่ากิจการของคนอื่นจะดีสักแค่ไหน มันก็ยังเป็นของคนอื่นอยู่ดี คนเราควรจะคำนึงถึงวงศ์ตระกูลและเมื่อเจอเรื่องใหญ่ก็สามารถกระจ่างแจ้งว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด” "เธออยู่กับไอ้ขี้แพ้หลี่ชิงเฟิงคนนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอเรียนรู้อะไรมาจากมันบ้าง" "ตอนนี้เธ
"ตื่นสักทีเถอะน่า!" หลี่ชิงเฟิงไม่สะทกสะท้านแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ผมมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว ก็คือเพื่อปกป้องเซียนอินจากอันตราย หรือแม้แต่จากคนในตระกูล!" "แก แก......" เซี่ยหมิงจื้อโมโหมากเสียจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำแล้วนอนหายใจพะงาบ ๆ อยู่บนโซฟา! "พ่อคะ!" เซี่ยเซียนอินรู้สึกหวาดกลัวจนต้องรีบวิ่งเข้าไปหา ปรากฎว่าพ่อของเธอแววตาเลื่อนลอยและริมฝีปากเขียวคล้ำ! "หลีกไป" หลี่ชิงเฟิงแบกเซี่ยหมิงจื้อแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง! เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็อยู่ชั้นล่างแล้วมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาล เรื่องนี้ทำให้เซี่ยหมิงจื้อโกรธจัด ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาก็เป็นอีกสองชั่วโมงให้หลัง เซี่ยเซียนอินกับหร่วนเหมยนั่งอยู่ข้างเตียง ขณะที่หลี่ชิงเฟิงเกรงว่าเขาจะฟิวส์ขาดขึ้นมาอีก ดังนั้นเขาจึงเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างนอก เมื่อเซี่ยเซียนอินเห็นพ่อของตนฟื้นขึ้นมาแล้ว เธอก็รีบเข้าไปกุมมือของเขาไว้ "พ่อคะ? พ่อเป็นยังไงบ้างคะ?" เซี่ยหมิงจื้อกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ได้ เขากลับมีสีหน้าเย็นชาแล้วปัดมือของเซี่ยเซียนอินออกไป "
เดิมทีหลี่ชิงเฟิงคิดว่าจ้าวเทียนชื่อจะลังเลใจ เพราะอย่างไรเสียเทียนชื่อกรุ๊ปก็เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ จ้าวเทียนชื่อกลับตอบตกลงโดยไม่ลังเล "ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละครับ" หลี่ชิงเฟิงมองเขาพลางยิ้มให้ "ง่าย ๆ แบบนั้นเลยเหรอ? คุณไม่รู้สึกลำบากใจบ้างหรือไง?" จ้าวเทียนชื่อเองก็ยิ้มให้ "นักธุรกิจเสาะแสวงหาเพียงชื่อเสียงและเงินทองเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขาติดตามคนไม่ผิด ยังต้องเกรงว่าวันข้างหน้าจะไม่ได้อะไรด้วยเหรอครับ?" "ดีมาก" "อีกอย่างเรื่องแบบนี้ก็ให้จัดการอย่างลับ ๆ อย่างทำให้เรื่องมันเอิกเกริกนักล่ะ" "เข้าใจแล้วครับ!" วันรุ่งขึ้น เซี่ยเซียนอินก็มาที่บริษัทในเครือตระกูลเซี่ยเพื่อเตรียมรับช่วงกิจการของตระกูลเซี่ย เมื่อเธอเข้ามาในห้องประชุมขนาดใหญ่ เธอก็พบว่านอกจากเหล่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแล้ว ก็ยังมีนักข่าวอีกหลายคนด้วย เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นนักข่าว เขาถึงได้เข้าใจ ดูท่าการประชุมนัดหมายคราวนี้คงจะผ่านพ้นไปได้ไม่ง่ายเสียแล้ว เรื่องยุ่งที่เสี่ยวอิ๋งทิ้งเอาไว้ใช่ว่าจะจัดการกันได้ง่าย ๆ เมื่อทุกคนเห็นเซี่ยเซียนอินเดินเข้ามา พวกเขาทุกค
... หลังจากเซี่ยเซียนอินเข้ามารับหน้าที่ดูแลบริษัท เรื่องสำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้ก็คือฟื้นฟูภาพลักษณ์ของบริษัท ดังนั้นเธอจึงเรียกเหล่าผู้บริหารระดับสูงเข้ามาหารือกันทันที เมื่อทุกคนเจอเรื่องแบบนี้ พวกเขาต่างมีสีหน้าคับข้องใจและไม่มีใครคิดหาทางออกได้เลย "ประธานเซี่ย เรื่องแบบนี้ไม่อาจสำเร็จในชั่วข้ามคืน" "สร้างพระราชวังยังต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่ทำลายลงได้เพียงชั่วข้ามคืน" "เรื่องนี้คุณไม่อาจรีบร้อนได้ คุณต้องใช้เวลาและเข้าร่วมงานการกุศลให้มาก ๆ เดี๋ยวชื่อเสียงของคุณก็จะค่อย ๆ กลับมาเองนั่นแหละ คนสมัยนี้ลืมง่ายจะตาย" ขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เซี่ยเซียนอินก็ขมวดคิ้ว... เธอเคาะโต๊ะพลางเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า "พวกเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ปีนี้สถานการณ์ของตระกูลเซี่ยไม่สู้ดีนัก ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงได้ล้มละลายแน่ ๆ พวกเราต้องหาวิธีค่ะ" เซี่ยเซียนอินแสดงท่าทีแข็งกร้าว พนักงานคนอื่น ๆ ล้วนเป็นแค่พนักงานล่วงเวลาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ในตอนนี้เอง สวีเหย่ที่อยู่ตรงมุมห้องก็เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "ประธานเซี่ย ผมมีความคิดหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า..
เซี่ยเซียนอินเดินออกมาจากห้องประชุมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลังจากเธอออกไปแล้ว เหล่าผู้บริหารระดับสูงต่างก็พากันเดือดจัด! ขณะที่อยู่ต่อหน้าเธอ พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร แต่ลับหลังกลับต่างออกไป "นี่มันประธานแบบไหนกันเนี่ย! เธอไม่ฟังความเห็นของพวกเราเลย แต่เธอกลับไปฟังคนนอก!" "มันไม่ใช่แค่คนนอกหรอกนะ แต่ฉันได้ยินมาว่ามันยังเป็นไอ้ขี้แพ้ด้วยล่ะ! คนพรรค์นั้นจะเชิญประธานหวังมาที่นี่ได้ยังไงกันเล่า?" "คราวนี้ฉันคิดว่ากิจการของตระกูลเซี่ยคงได้ย่อยยับคามือสองคนนี้แหง ๆ เลย" "มาเริ่มคิดหาทางออกกันเถอะ" สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ตอนนี้เซี่ยเซียนอินอยู่ตรงประตูและได้ยินทุกถ้อยคำได้อย่างชัดเจน เซี่ยเซียนอินถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง เกรงว่าจะมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้สึกเศร้าใจ "เป็นอะไรไป?" เสียงของหลี่ชิงเฟิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง เซี่ยเซียนอินหันหน้าไปมองเขา ราวกับว่าลังเลใจที่จะพูดออกมา... หลี่ชิงเฟิงยิ้มให้ "คุณไม่เชื่อใจผมเหรอ?" เซี่ยเซียนอินทอดถอนใจ "ประธานหวังเป็นมหาเศรษฐีแห่งเมืองหลวง ลำพังด้วยสถานะและตำแหน่งของเขาก็เหนือกว่าคนในเซี่ยชวนแล้ว บอกตามตรงว่าฉันไม่มีความมั่นใจมากขนาดนั้นเ
"แกไม่คู่ควรแม้แต่จะเลียรองเท้าให้คนอื่นเขาเสียด้วยซ้ำไป แกกล้าคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพนักงานมากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?" "ถ้าหากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา แกรู้ไหมว่าคุณย่าจะคิดยังไงกับเซียนอิน?" เซี่ยหมิงจื้อเดินเข้ามาด่ากราดใส่หลี่ชิงเฟิง หลี่ชิงเฟิงชินมานานแล้วจึงไม่สนใจเลยสักนิด จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า "ผมพูดอะไรออกไปก็ย่อมต้องทำได้อยู่แล้ว คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกครับ" "แกจะไปทำอะไรได้? น่าขันสิ้นดี! ฉันไม่เคยเห็นใครพูดออกมาได้หน้าด้าน ๆ แบบนั้นมาก่อนเลย พับผ่าสิ!" ในยามนี้เอง หร่วนเหมยก็กลอกตาแล้วเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง จู่ ๆ เธอก็พลันห้ามเซี่ยหมิงจื้อเอาไว้ จากนั้นก็มองหลี่ชิงเฟิงพลางกล่าวว่า "หลี่ชิงเฟิง ถ้าแกทำให้เรื่องนี้ยุ่งขึ้นมา ทุกคนก็จะพูดว่าเซี่ยเซียนอินแต่งงานกับสามีที่ดีแต่ปากเก่ง ทว่ากลับไม่มีน้ำยาอะไรเลย" "แบบนี้ก็คงส่งผลกระทบกับเธอไม่น้อยเลย" "เมื่อหกปีก่อนชื่อเสียงของเธอก็ป่นปี้ไปแล้ว หกปีให้หลังแกยังคิดจะทำลายเธออีกงั้นเหรอ?" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าเธอคิดจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงยิ้มพลางกล่าวว่า "คุณแม่ครั
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห