ตลอดวันทำงานที่ได้แต่คิดถึงแม่สาวตัวนุ่มนิ่ม พาลให้หัวสมองฟุ้งซ่านอยู่เป็นพัก ๆ มือไม่ว่างวุ่นวายอยู่กับหมาแมว ไอศูรย์ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจับโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความของหญิงสาวหรือพ่อ ที่บอกว่าจะมาหาเขาในอาทิตย์หน้านี้ ทุกวันหยุดของโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งนี้จะมีผู้ป่วยมาใช้บริการเนืองแน่น ด้วยความสะดวกในการเดินทางโดยไม่ต้องขับรถเข้าไปในตัวเมืองซึ่งอยู่ห่างไปอีกสิบกว่ากิโลฯ ที่นี่ยังมีบริการครบวงจรทั้งคลินิกสัตว์เล็กใหญ่ สัตว์ชนิดพิเศษ มีโรงเรียนฝึกสุนัขระดับมาตรฐาน และสระว่ายน้ำสำหรับสุนัข กว่าจะเลิกงานมีหมออีกคนมาเข้ากะต่อก็เกือบห้าโมงเย็น ทันทีที่คุณหมอหนุ่มวางอุปกรณ์ตรวจจากมือ ออกจากห้องตรวจ เขาไม่ลืมว่ามีปัญหาต้องสะสางจัดการ ถัดจากคลินิกสัตว์เล็ก เดินอ้อมสระว่ายน้ำไป สนามหญ้าขนาดใหญ่มีผู้คนคึกคักในเวลาเลิกเรียน มีสุนัขหลายสายพันธุ์รอผู้ปกครองรับกลับบ้าน คุณครูผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ฝึกสุนัขตำรวจ k-9 กำลังรอเขาอยู่พร้อมเจ้าสุนัขขนสีทอง “เป็นไงบ้างครับ... มันดื้อไหม?” ถามพลางนั่งยองลงบนพื้นหญ้า ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันถือสายจูงสีดำไว้ในมื
ท่าทางหาเรื่องของหญิงสาวสะท้อนออกมาทางน้ำเสียงและแววตา เธอไม่เคยชอบฟาร์มคู่อริที่หาเรื่องคนอื่นไปทั่วจึงไม่เคยนิ่งเฉยกับทุกปัญหาแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย บางครั้งหากพวกพ้องชวนกันไปหาเรื่องเอาคืน เธอก็ออกไปกับพวกพี่ ๆ ต่างจากพิภพ เจ้าของฟาร์มซึ่งนั่งเก้าอี้ผู้บริหาร วันนี้คงเดินทางไปเจรจาธุรกิจ “พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง” “พูดจริง เพื่อนหนูเยอะแยะ พ่อก็รู้... คนทั้งฟาร์ม ทั้งเขาใหญ่ก็รู้ พวกพี่ชินน่ะขาใหญ่ หูตาเป็นสับปะรด” ชินดนัย เป็นครูรุ่นพี่ที่สนามปืนคนสนิทของอริสา ชายหนุ่มมีร้านอาหารกึ่งผับบาร์สไตล์อินดี้ในตัวเมืองจึงรู้จักคนมากเป็นธรรมดา ใบหน้าของคนพ่อซีดเซียวบอกชัดเจนว่าหัวใจไม่ปรกติ มือจับเก้าอี้ชะงักนิ่ง “อ้อ... พายชอบไปนั่งเล่นร้านนั้นนี่ เจอใครเข้าโดยบังเอิญคงไม่แปลก” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่สิพ่อ หนูบอกว่า... ไอ้เมธพนธ์ไปบริษัทโฆษณาน้องพายที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่พายไปนั่งเล่นที่ร้านพี่ชินแล้วเจอใครที่นั่น พ่อไหวเปล่าเนี่ย? หู... ไปตรวจหูหน่อย” เธอชี้ไปที่หูของตัวเอง คนถูกว่าเพิ่งดึงสติกลับมาได้กระแทกเสียง
“ลุงนะลุง... เหนื่อยจะตายห่า แรงงานทาสหรือไงวะเนี่ย...” บ่นออดแอดพลางหายใจหอบโยน ร่างกำยำในสภาพกางเกงตัวเดียว เพราะถอดเสื้อโยนไว้บนกองดิน เหงื่อโชกชุ่มโทรมกาย เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้ากับจอบเสียม มือว่างก็ตบบ่าตบหน้าอกดังเพี๊ยะอยู่หลายที ให้ตายเหอะ! มืดก็มืด ยุงก็เยอะ... แผงอกกำยำเป็นล่ำสันขยับตามแรงหายใจที่ยังไม่ปรกติดี ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด ท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงหลายอัน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางแสงไฟของบ้านหลังใหญ่โตเปิดสว่างไว้ทั่วทั้งหลัง อืม... จะแวะไปมุดผ้าห่มน้องอริสเล่นอีกดีไหมนะ...? รอยยิ้มกว้างระรื่นขึ้นบนวงหน้าหล่อเหลาเจ้าเล่ห์ มีความสุขขึ้นมาพอคิดถึงหญิงสาวที่คงจะยังไม่นอน ยังได้ยินจากคุณลุงผู้หวังดีว่าคุณพ่อไม่อยู่ อีกใจเขาก็คงไม่อยากไปเสี่ยงตายเกิดนายพิภพกลับมากะทันหัน หลุมของเจ้าสีนวลคงได้กลายเป็นหลุมฝังหมออย่างแน่นอน ความคิดฟุ้งซ่านของชายหนุ่มหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งสุดล้าสมัยจากโทรศัพท์ซึ่งถูกโยนไว้ข้างกาย มือหนาคว้าหมับ! วงหน้าหล่อเหลากลับฉายแววสิ้นหวัง เมื่อปลายสายไม่ใช่คนที่
คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมอย่างเสแสร้ง “อะไรครับ? ของของนายหัว แป้งพับ ลิปสติก หรือว่ากระโปรง ถึงได้ไม่มาบอกด้วยตัวเอง”“ผู้หญิง” ตอบในทันที ตาประกายกร้าวมองหน้าตาใสซื่อของคนที่หลอกด่านายหัวของพวกเขา และยังคงทำอยู่ “ผู้หญิงหรือครับ? ผู้หญิงก็ต้องเป็นคนสิ จะเป็นสิ่งของไปได้ยังไง? นายหัวคุณไม่ได้เรียนหนังสือมาหรือว่ามีปัญหาทางสมองและสายตา LD[1] ส่วนไหนผิดปรกติ เลยแยกแยะระหว่างคนกับสิ่งของไม่ออก” “คุณหมอนี่ดูจะพูดไม่รู้เรื่อง ของเล่นนายเล็งไว้ก็ต้องเป็นของเล่น จะเป็นคนไปได้ยังไง” ไม่เอ่ยเปล่า ส่งสายตาไปทางเพื่อนที่แค่นหัวเราะ “ฮึ! ของเล่นนายมีไว้อ้าขากว้าง ๆ ส่งเสียงร้องดัง ๆ เวลานายหัวจับกดเด้าบนเตียง... ค่อยให้พวกกูกินต่อ เอ.. อย่าบอกนะว่าหมอหงิม ๆ ไม่เคย” เสียงหัวเราะปะปนกระจายไปตามลมราวกับว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของคนทั้งหลาย พาโทสะเดือดพล่าน คุณหมอหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ในสีหน้าและน้ำเสียงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ปากหมาแบบนี้ พ่อแม่คุณป่วยมา หมอไม่รับรักษานะ” แล้วแสยะยิ้มร้าย “ออ.. ลืมบอกไป หมอเป็นหมอหมา” “มึงว
นายพิภพกลับมาถึงฟาร์มอย่างหงุดหงิด เพราะไม่สามารถเอาผิดอะไรนายเมธพนธ์ได้สักข้อหา ยังไม่สบายใจเรื่องขณิกา... หนูพายของเขา หลายคนว่าสายตาของเขามันจ้องเขมือบสาวน้อยวัยขบเผาะตลอดเวลา แต่ก็ทำได้แค่ทางสายตา ขนาดวันที่ลูกสาวอุส่าวางหมากให้เรียบร้อย ให้เขาวิ่งตามเธอไปท่ามกลางสายฝนโปรยปราย บรรยากาศสุดแสนเป็นใจ ดันทำแค่จับมือ กอดปลอบ จูบแก้มจูบหน้าผากเบา ๆ ทั้งที่รู้จักกันมาตั้งสี่เดือน เธอไม่มาเขายังหาเรื่องไปหาท่านนายพลถึงบ้าน ท่านเองรู้จักเขามานานว่าเป็นพวกผู้ชายไก่อ่อนเลยกล้าฝากลูกสาวสุดที่รักเอาไว้ นับตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน และเธอยื่นคำขาดว่าจะไม่เป็นอาหลานอีกต่อไปเมื่อก้าวออกไปจากห้องทำงานของเขา... ขณิกาไม่มาหาเขาอีก แม้ข้อความหรือโทรศัพท์สักสายก็ไม่มี... เขาได้ยินมาจากอริสาและคนละแวกนี้ว่าเธอไปไร่องุ่นของนายเมธพนธ์เพื่อทำโฆษณา อาต้องเสียเราไปจริง ๆ เหรอ? พาย... ความเศร้าหมองพาวงหน้าหล่อเหลาขมวดมุ่น ร่างสูงนั่งยองลงบนพื้นหญ้า ก้มหน้าลงมองแผ่นหินสลักชื่อ ‘สีนวล’ ลงท้ายด้วยวันที่มันเสียชีวิตกับดอกไม้ช่อเล็ก ๆ
เจ้าของสุนัขที่ถูกสัตวแพทย์เทศนา พยักหน้ารับ “ค่ะ แต่ว่าฉันต้องพามันกลับบ้าน ฉันจะพามันไปเที่ยววันหลัง” “ลองคุยกับมันสิครับ อริส... หรือไม่ก็... มานั่งตักพี่... เผื่อว่าพี่อารมณ์ดี อาจจะคุยกับมันให้” จุดประสงค์ของคนพูดปรากฏในรอยยิ้มไร้เดียงสา ทว่าแววตาคู่หวานคมเจ้าเล่ห์บอกเจตนาชัดแจ้งอย่างที่เป็นในพักหลังมานี้ บางทีเขาอาจเป็นผู้ชาย... ที่มีสัญชาติเหมือนสัตว์ป่า! “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าหมอคิดอะไร... ตอนนี้ฉันต้องพามันกลับก่อน ฟาร์มจะเปิดแล้วอาทิตย์หน้า ฉันต้องกลับไปทำงานค่ะ” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก ส่ายหน้าไปมา “พูดอะไรน่ะ... พี่จะคิดอะไร? เรากลับก็กลับไปสิ เดี๋ยวพี่ไปส่งมันตอนเย็น ๆ ก็ได้” ไอศูรย์ให้ความใส่ใจในความสัมพันธ์เช่นคนรักในทุกเรื่อง ไม่ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไร ทำอะไรเวลาไหน โทรศัพท์ส่งข้อความคุยกันได้ทั้งวัน เขายังรักเจ้าที่รักเหมือนเป็นสุนัขของตัวเอง และคำว่า ‘พี่’ เขาก็เรียกตัวเองอยู่ทุกวัน ทั้งสีหน้าและแววตาของหญิงสาวเหมือนไม่เชื่อใจ กลอกตาไปมามองเจ้าที่รักนอนกินขนมสบายใจ
ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันแน่นจนเหยียดตรง ก่อนเบิกตากว้างตกใจกับถ้อยคำสั้น ๆ “เป็นเมียพี่... แล้วพี่จะให้เราไป” ไม่ขาดคำดี วงหน้าหล่อเหลาโน้มลงประกบปิดเรียวปากอิ่มงาม หญิงสาวค่อยพริ้มปิดตาลงอย่างว่าง่ายเหมือนคนไม่มีภูมิต้านทานสักอย่าง เธอหลงรักทุก ๆ อย่างในตัวผู้ชายคนนี้ชนิดโงหัวไม่ขึ้น! ขณะที่เขาค่อยขบเม้มริมฝีปากล่าง ลิ้มชิมรสชาติของเรียวปากนุ่มอย่างรั้งรอไม่ว่าสักกี่ครั้งอริสาก็ยังไม่ประสีประสา เธอรับรู้ได้ว่าเขาทั้งโกรธทั้งน้อยใจผ่านรสจูบวาบหวามดูดดื่ม ปลายลิ้นหนาค่อยแทรกเข้ามากระหวัดเกี่ยวลิ้นเรียว หวานจัดจ้านยิ่งเสียกว่าน้ำตาลกรวดทั้งกระสอบละเลงอยู่ในโพรงปาก เสียงหนุบหนับที่ตามมาจากน้ำหวานในปากพาให้เริ่มเข้าใจว่าควรทำอย่างไรต่อ เธอเผยอ เขารับ พอเธอเป็นฝ่ายรับ หากเขาจะเรียกว่าเป็นการลงโทษที่ทำให้หวง เธอคงได้อยากยั่วให้เขาหึงทุกวัน! ทุกอย่างไปตามครรลองของหนุ่มสาวคราขยับกายแนบแน่นพร้อมอ้อมกอดเสน่หามือเรียวลูบผ่านบ่ากว้าง โอบรัดรอบคอแกร่งส่งผ่านทุกความรู้สึก เคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์แปลกใหม่ ปล่อยตัวเองให้เตลิดเตลิง รู้ตัวอ
“เรียกแบบไหน... ฉันก็รักหมอไอคนเดียวไหมคะ?” เลิกคิ้วถาม เลื่อนมือขึ้นล้อมกรอบวงหน้าหล่อเหลา ปรากฏรอยบุ๋มบนแก้มทั้งสองข้าง เขายิ้มกว้างหวานจนเห็นไรฟันขาวครบทุกซี่ โน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูทีละคำ “ครับ... ที่รักของพี่...” พูดพลันสอดประสานมือของเขาเข้าหามือเรียวครบทุกง่ามนิ้ว วาดมือทั้งสองของเธอวางทาบบนที่นอนพลันหยัดกายขึ้นดันหัวเข่าทั้งสองออกกว้าง สีหน้าหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง “อริสครับ... มดกัดนิดเดียวนะ...” ในน้ำเสียงปลอบประโลมอย่างใจดีบอกและก็ยังรอจนคนใต้ร่างพยักหน้าหงึกหงิกว่าพร้อมจะเป็นคนหนึ่งคนเดียวกัน แม้ทุกคำเตือนมากมายไหลผ่านหัวสมองมาให้รู้สึกกลัวเป็นธรรมดา พอร่างหนาขยับสะโพกเคลื่อนเข้าหาอย่างเชื่องช้า เธอก็หลับตาปี๋ ไม่ปล่อยให้เสียงใดหลุดรอดออกจากริมฝีปากที่กัดกันแน่น สองมือบีบมืออุ่นที่จะบีบตอบกลับเป็นเชิงให้กำลังใจเธออยู่เสมอ เหมือนใบมีดคมอาบน้ำผึ้งหวานกรีดลงเนื้อจนบาดลึกซึมซาบทุกความเร่าร้อนทรมาน เป็นความเจ็บปวดน่าพึงใจ อ่อนโยนกว่าที่คิดไว้มากคราได้หลอมรวมกันทีละนิด และนิดเดียว... ทุกอย่างดำเ
“ลูก...?” เป็นคำถามแรกของอริสา ที่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดในวินาทีที่เธอไม่ควรพรวดพราดออกไปหาอันตรายอย่างนั้น ไอศูรย์พยักหน้าเบา ๆ พาความปลื้มปิติขึ้นในหัวใจ เรี่ยวแรงของเธอตอนนี้ทำได้แค่ยกมือข้างที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือขึ้นสะกิดบ่าแกร่ง แม้ว่าอยากกอดเขาแน่น ๆ สักแค่ไหน “ฉันขอโทษ... พี่... เป็นห่วงฉันมากเลยใช่ไหม?” “ไม่เป็นไร... เราไม่เป็นไรพี่ก็ดีใจแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเกรอะคราบน้ำตาผละออกมองดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ เบียดตัวนั่งลงข้างเตียง กุมมือน้อยไว้แผ่วเบา ไม่ให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้สักนิดกับรอยเข็มบนนั้น “ไม่เป็นไรทำไมตาแดงคะ? กินข้าวหรือยัง ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?” เสียงพร่าของคนป่วยตัดพ้อ อริสาสัมผัสได้ถึงมืออันอบอุ่นของชายทั้งสอง ไม่ลืมหันไปทางอีกคนที่คงหวาดกลัวไม่ต่าง จากดวงตาแดงก่ำที่พายุความโศกเศร้าได้สงบลงไปสักพัก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูกพ่อ” ใบหน้างามพริ้มระบายยิ้มจาง ๆ “หนูไม่เป็นไร... พ่ออย่าร้องไห้ เวลาพ่อร้องไห้ พ่อจะมองอะไรไม่เห็น...” แล้วเลื่อนสายตาไปทางชายที่ยังคงจ้องหน้าเธออยู่ไม่ห่าง ไม่ได้มองคน
กว่าสิบชั่วโมงที่ผ่านมาเขาไม่ต่างจากคนเสียสติ ในวินาทีที่อุ้มร่างโชกเลือดไปหาอาจารย์ในโรงพยาบาลสัตว์ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มใบหน้าอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยจะร้องไห้ให้ใครได้เท่านี้ แม้แต่ในวันที่แม่จากไป เขาเสียใจแต่ยังคงความเป็นบุรุษที่เข้มแข็งเช่นพ่อ รถพยาบาลที่มาได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ละนาทีช่างยาวนาน ผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาแค่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นไม่รับรู้สิ่งใดแม้เสียงเรียกของเพื่อนที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด เขายังจินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าสวย ๆ ของผู้หญิงคนนี้อีกตลอดไป ชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร กับลูกที่ได้เห็นหน้าเพียงครั้งผ่านจอสีเทาดำ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักแต่แรกพบเหมือนอริสา... ความหวังอันเบาบาง เด็กที่เกิดจากความรักของเขาและเธอยังรอปาฏิหาริย์ “พี่จะรีบกลับมานะ... เราไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะดูแลตัวเอง...” ในน้ำเสียงและแววตาแสนอ่อนโยน มือหนาค่อยเลื่อนขึ้นปัดไรผมบนขมับอย่างที่เขาชอบทำ ก่อนจะหยัดกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่งมานานนับชั่วโมง มองเปลือกตาที่ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น ก่อนออกจากห้องไป ชายหนุ่มตั้งใจจะตรงกลับบ้าน
“ไหวไหมลุงชา?” ใบหน้าซีดขาวของชายวัยหกสิบขยับเบา ๆ มือกระชับอาวุธในมือไว้เหนือเข่า แม้เลือดโชกชุ่มกาย ตัวต้นเหตุของบาดแผลฉกรรจ์นั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ถึงห้าตัว พวกมันสามารถมีน้ำหนักตัวสูงสุดได้ถึงหกสิบสองกิโลกรัม มีอุ้งเท้าอันใหญ่โต แรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันทรงพลังยังออกล่าเป็นฝูง หมาป่าสีเทาเกรวูฟที่กำลังหิวโหยดุร้ายถูกลักลอบมากับรถบรรทุกไม่มีป้ายทะเบียน ไม่ไกลจากฟาร์มของพิภพมากนัก คำขอความช่วยเหลือของพลตำรวจเอกปรีชา ประจวบเหมาะพอดีกับหญิงสาวจะออกไปตามล่าหาเสือโคร่ง ดันได้รางวัลเป็นหมาป่าขย้ำคอคนแก่อยู่กับลูกปืนจากพวกลักลอบค้าของเถื่อน ปัง! ปัง! กระสุนแสกผ่านเหล็กหนา เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำสนิทรุ่นกันกระสุนของท่านนายพลอยู่ในสภาพยับเยิน ผู้หมวดสาวในร่างชายหนุ่มยิงสวนกลับไปเพียงครั้ง ก่อนแนบหลังไว้กับที่กำบัง หันไปถามนายตำรวจใหญ่ “ท่านรองกำลังเสริมใกล้ถึงรึยัง? กระสุนจะหมด...” “อือ... ข้างหน้า...” แรงตอบเฮือกสุดท้ายของพลตำรวจเอกปรีชาที่เอนร่างลงนอนพักไหล่ของหญิงสาว สติพร่าเลือนเต็มที “ลุงชา ๆ !” เรียกเสียงดัง มือเรียวเขย่าบ
มือหนากำหมัดแน่นแม้จะมีแค่รีโมตในมือ แววตาวาวโรจน์สาดประกายไปยังรายการตลก ซึ่งเขาไม่มีอารมณ์จะดูมันเหมือนทุก ๆ วัน “ถ้าแกจะมาตอกย้ำฉันก็ไปเถอะ… ไปไหนก็ไป...” “โธ่… พ่อ… ไอ้เมธพนธ์มันโคตรร้ายเลยนะพ่อ หนูไม่ชอบมัน ทำไมพ่อต้องเป็นแบบนี้ด้วย หนูไม่เข้าใจ” พ่อที่พูดไม่รู้เรื่องยังดีกว่าคุณพ่อเซ็งโลก ทำหูทวนลม อริสาพยายามเซ้าซี้เรื่องเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าคงไม่มีคำตอบจากร่างสูงในสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำด้วยความที่คงนอนคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง จนเธอถึงกับถอนหายใจเสียงดัง ยกมือขึ้นลูบบ่าลูบหลังปลอบประโลม “พ่ออกหักยังไงพ่อยังมีหนู หนูไม่ทิ้งพ่ออยู่แล้ว... พ่อเหนื่อย พ่อหยุดงานไปนะ ดูตลกดูหนัง หนูไปทำป๊อปคอร์นให้” พิภพยิ้มเจื่อน ไม่ได้ดีใจกับคำปลอบของลูกสาวเลย ในที่สุดเขาก็ต้องถาม “อะไรนะ? แกบอกว่าฉันอกหัก?” “ใช่... พ่ออกหักแน่นอน ถ้าพ่อยังนั่งอยู่แบบนี้นะ เอาจริง ๆ ถ้าหนูเป็นพ่อ หนูปล้ำน้องพายไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เสือโหยคาบไป ป่านนี้กินอิ่มท้องไปแล้วมั้ง เอาเถอะ...ไว้หนูแนะนำเพื่อนสาว ๆ สวย ๆ เอ๊าะ ๆ ให้พ่อใหม่ส
“เซ็นแล้ว... ผมมีของขวัญให้พี่สาวคุณด้วยนะ แต่ว่า... มันอยู่ในมือถือ ไม่รู้ว่าอยากดูไหม?” “คุณ... หมายความว่าไง?” ขณิกาหน้าชาวาบ เพียงชายตรงหน้าสลัดคราบเทพบุตรเป็นซาตานร้ายใช่... ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาขณิการู้ว่าถ้าเขาร้าย เขาจะร้ายได้แค่ไหน! “พี่ยักษ์ก็หมายความอย่างที่พูด ของขวัญให้คนรักไอ้พิภพอย่างน้องพาย อืม... แต่พี่ว่านะ มันรักลูกสาวกับเมียเก่าที่สุด ไม่มีเศษซากความรักเหลือเผื่อแผ่ให้ส่วนเกินหรอก” “คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคุณเมฆ อย่าไปยุ่งกับพี่อริสเลย... ที่แล้วมาก็ให้แล้วกันไปเถอะนะ พายขอ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน มือเรียวเอื้อมไปแตะลงบนท่อนแขนแกร่งที่สะบัดออกอย่างไม่ไยดี “อย่ามาแตะต้องตัวผม...” ท่าทางเย็นชาของเขาสั่นคลอนหัวใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ยามสบมองวงหน้าหล่อเหลาของคนที่เคยอบอุ่น อ่อนโยนกับเธอมาเสมอ “พี่สาวคุณก็ทำร้ายคนของผมนะอย่าลืม ที่เล่นอะไรแบบเด็ก ๆ น่ะ คุณเมฆไม่ทำ ผมเป็นคนเล่นใหญ่” “คุณเมฆ... คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย... คุยกับพายดี ๆ ได้ไหม
นายหัวฟาร์มม้าดูจะทำตัวหม่นหมองลงทุกวันจนคนรอบกายพลอยเครียดตาม สิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชมขณิกาคือไม่หวั่นไหวไปกับผู้ชายมากคารมอย่างเมธพนธ์ที่ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ยังมีฐานะร่ำรวยกับธุรกิจสีเทาที่จับอยู่ ความเจ้าเล่ห์ของนายเมธพนธ์นับว่าเป็นตัวร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่อีกคนไม่ได้เข้าใจในความหมายของเธอเลย หันกลับไปทางภรรยาที่เสียชีวิตในวัยสามสิบเจ็ดปี “แกไม่รักแม่แกแล้วหรือ? อริส” หญิงสาวสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย และที่ว่าจะไม่พูดก็ไม่น่าไหว... “แม่ตายไปตั้งกี่ปีแล้วพ่อ นี่คือชีวิตของคนเป็น คนที่ต้องเอาใจใส่คือคนที่ยังอยู่ ไม่ใช่คนตาย” หัวใจหนุ่มใหญ่พลันกระตุกวาบกับคำพูดตรง ๆ ของลูกสาว เขาไม่เคยสนใจความสุขนั้นเลย ยังพยายามยัดเยียดความคิดให้ลูกแต่งงานกับเตชิน เพราะเป็นความต้องการของคนตาย... เพราะเขาเป็นฆาตกร... ยังไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของภรรยาได้ ดวงตาคู่คมเอ่อคลอหยดน้ำใสกับทุกความรู้สึกผิดในอดีต เสียงทุ้มสั่นเครือ “มาไหว้แม่ก่อน” หน้าเจดีย์ที่มีกระเบื้องหลากสีใต้ร่มไม้ พ
“เจ้าหน้าที่จากกรมปศุฯ กำลังมา ผมตั้งไลน์กลุ่มใหม่มาสามกลุ่ม ให้ลูกศิษย์มาช่วย รุ่นไหนใครสมัครใจมาก็มา บางคนไปเช่าอพาร์ทเม้นต์ คอนโดฯ ไม่ไกล บางคนก็มาบ้านผม ตอนนี้เต็มมาก เพื่อน ๆ รุ่นหมอ ไปอยู่บ้านหมอละกันนะ” “ฮะ? อะไรนะ... ครับ? บ้านผม?” สีหน้าของเขาตกใจยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ เพราะนอกจากเขาจะต้องทำงานล่วงเวลาซึ่งพอเข้าใจได้ แต่การต้องสละพื้นที่ในบ้าน... “ได้ยินว่าหมอเพิ่งซื้อบ้านใหม่นี่ หลังใหญ่กว่าบ้านผมอีก โครงการคฤหาสน์เหลือ ๆ ห้องเยอะแยะ” “อาจารย์ครับ... อาจารย์ออกจะกำไร ระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์เอกชน มีคลินิกครบวงจร สัตว์เล็กใหญ่ เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีก ขนมหมาของใช้หมาแมวนี่ก็ขายดี๊ดี.. ผมไม่ได้ส่วนแบ่งสักบาท” ไอศูรย์ยิ้มเจื่อนประชดอย่างสุภาพ คุณหมอรุ่นใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน “บ้านหมอออกจะรวย ผมนี่สิลูกสี่ เดือนนี้ก็ยอดตก ตั้งแต่หมอมีเมียน่ะ” ตาคมสาดประกายวับใส่ลูกศิษย์ที่แค่ยกยิ้มตอบ “ผมมารักษาสัตว์นะครับ ไม่ได้มาเป็นเซลล์ขายของ ลูกอาจารย์โต ๆ หมดแล้ว ลูกผมยังว่ายน้ำอยู่ในท้องคุณแม่เลย” “จริงรึหมอ? ผมดีใจด้ว
“อาภพลืม ๆ เรื่องของผมกับอริสเถอะครับ น้าแก้วแค่เห็นว่าผมกับน้องน่ารักดี ไม่เห็นต้องไปคิดจริงจัง ผมไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม ไปพรากคนรักกันมันบาปกรรม น้องพายเคยบอกผม” พิภพแค่ได้ยินชื่อคนรักเขาจึงได้สติกลับมา หยิบกล่องเล็ก ๆ สีแดงใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต วางลงบนโต๊ะเบา ๆ มันเคยเป็นของสำคัญที่สุดของเขาที่ดื้อรั้นมาจนสุดทาง คงไม่มีหวังอะไรอีก “ก่อนแก้วเสีย แก้วให้อาไว้ ให้อาให้เต อยากเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ...” เตชินหน้าตะลึงงัน กล่องกำมะหยี่สีแดงเก่า ๆ เบื้องหน้าสายตา เดาได้ไม่ยากเลยว่าข้างในเป็นอะไร และด้วยเหตุใดเจ้าของบ้านจึงกำชับนักหนาว่าเขาจะต้องมาในวันนี้ “อาขอไปคุยกับลูกก่อนนะ” ในสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายกับแหวนแต่งงานที่เขาให้กับอดีตภรรยาผู้ล่วงลับไปด้วยควันบุหรี่มือสองของเขาเอง พร้อมคำสั่งเสียซึ่งเขาไม่สามารถทำมันได้ ร่างสูงลุกไปทิ้งสองแม่ลูกไว้ “น้าแก้วนะน้าแก้ว... คนเขาวุ่นวายกันไปหมดเพราะแหวนน้าแก้ววงเดียวเนี่ย” คนบ่นคว้ากล่องมาเก็บไว้ลวก ๆ อย่างไม่พอใจ โครม! เสียงของหล่นกระจายจากที่ไหนสักแห่งใน
“นั่นอ่านหนังสืออะไร?” ไม่ทันได้คำตอบ แขกทั้งสองคนก็ปรากฏตัว ต่างคนยกมือไหว้กัน รวมถึงอริสาที่วางหนังสือลงประนมมือนอบน้อม “สวัสดีค่ะ ป้าขวัญ พี่เต” “สวัสดีจ้ะลูก เป็นไงบ้างน่ะเรา? ป้าไม่เจอหน้าเลยนะ” ขวัญฤดีแย้มยิ้มอย่างสดชื่น ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ กันกับลูกชายในฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้าน “สบายดีค่ะ ป้าขวัญกับพี่เตสบายดีนะคะ?” “ก็ดีเนอะแม่ เรื่อย ๆ” เตชินแย่งตอบ ดีใจอยู่ที่ได้พบหน้ากันหลังไม่ได้พบกันนานนับเดือน ถึงจะยังงง ๆ อยู่ว่าทำไมเธอถึงได้ดูอารมณ์ดียังทักทายเขาก่อน “วันมะรืนนี้ ผมว่าจะไปทำบุญให้แก้วอีกรอบ พี่ขวัญว่างหรือเปล่า?” พิภพถามด้วยสีหน้าระรื่นความสุขที่ได้กลับมานั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงจะคอยชะเง้อคอมองประตูหาหญิงสาวรุ่นลูกอีกคนหนึ่งว่าจะมาหาเขาไหม แต่ก็ไม่มีวี่แวว... “ช่วงบ่าย ๆ พี่ว่าน่าจะได้นะภพ พี่ไม่ได้ติดธุระอะไร อยากไปหาแก้วอยู่เหมือนกัน” ระหว่างที่ลูกสาวเจ้าของบ้านไม่อยู่ ขวัญฤดียังมาเยี่ยมเยียนบ้าง เว้นแต่เตชินที่ยุ่ง ๆ อยู่กับกิจการร้านทองธุรกิจครอบครัว พิภพนั้นไปอุดหนุน