เจ้าของสุนัขที่ถูกสัตวแพทย์เทศนา พยักหน้ารับ “ค่ะ แต่ว่าฉันต้องพามันกลับบ้าน ฉันจะพามันไปเที่ยววันหลัง” “ลองคุยกับมันสิครับ อริส... หรือไม่ก็... มานั่งตักพี่... เผื่อว่าพี่อารมณ์ดี อาจจะคุยกับมันให้” จุดประสงค์ของคนพูดปรากฏในรอยยิ้มไร้เดียงสา ทว่าแววตาคู่หวานคมเจ้าเล่ห์บอกเจตนาชัดแจ้งอย่างที่เป็นในพักหลังมานี้ บางทีเขาอาจเป็นผู้ชาย... ที่มีสัญชาติเหมือนสัตว์ป่า! “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าหมอคิดอะไร... ตอนนี้ฉันต้องพามันกลับก่อน ฟาร์มจะเปิดแล้วอาทิตย์หน้า ฉันต้องกลับไปทำงานค่ะ” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก ส่ายหน้าไปมา “พูดอะไรน่ะ... พี่จะคิดอะไร? เรากลับก็กลับไปสิ เดี๋ยวพี่ไปส่งมันตอนเย็น ๆ ก็ได้” ไอศูรย์ให้ความใส่ใจในความสัมพันธ์เช่นคนรักในทุกเรื่อง ไม่ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไร ทำอะไรเวลาไหน โทรศัพท์ส่งข้อความคุยกันได้ทั้งวัน เขายังรักเจ้าที่รักเหมือนเป็นสุนัขของตัวเอง และคำว่า ‘พี่’ เขาก็เรียกตัวเองอยู่ทุกวัน ทั้งสีหน้าและแววตาของหญิงสาวเหมือนไม่เชื่อใจ กลอกตาไปมามองเจ้าที่รักนอนกินขนมสบายใจ
ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันแน่นจนเหยียดตรง ก่อนเบิกตากว้างตกใจกับถ้อยคำสั้น ๆ “เป็นเมียพี่... แล้วพี่จะให้เราไป” ไม่ขาดคำดี วงหน้าหล่อเหลาโน้มลงประกบปิดเรียวปากอิ่มงาม หญิงสาวค่อยพริ้มปิดตาลงอย่างว่าง่ายเหมือนคนไม่มีภูมิต้านทานสักอย่าง เธอหลงรักทุก ๆ อย่างในตัวผู้ชายคนนี้ชนิดโงหัวไม่ขึ้น! ขณะที่เขาค่อยขบเม้มริมฝีปากล่าง ลิ้มชิมรสชาติของเรียวปากนุ่มอย่างรั้งรอไม่ว่าสักกี่ครั้งอริสาก็ยังไม่ประสีประสา เธอรับรู้ได้ว่าเขาทั้งโกรธทั้งน้อยใจผ่านรสจูบวาบหวามดูดดื่ม ปลายลิ้นหนาค่อยแทรกเข้ามากระหวัดเกี่ยวลิ้นเรียว หวานจัดจ้านยิ่งเสียกว่าน้ำตาลกรวดทั้งกระสอบละเลงอยู่ในโพรงปาก เสียงหนุบหนับที่ตามมาจากน้ำหวานในปากพาให้เริ่มเข้าใจว่าควรทำอย่างไรต่อ เธอเผยอ เขารับ พอเธอเป็นฝ่ายรับ หากเขาจะเรียกว่าเป็นการลงโทษที่ทำให้หวง เธอคงได้อยากยั่วให้เขาหึงทุกวัน! ทุกอย่างไปตามครรลองของหนุ่มสาวคราขยับกายแนบแน่นพร้อมอ้อมกอดเสน่หามือเรียวลูบผ่านบ่ากว้าง โอบรัดรอบคอแกร่งส่งผ่านทุกความรู้สึก เคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์แปลกใหม่ ปล่อยตัวเองให้เตลิดเตลิง รู้ตัวอ
“เรียกแบบไหน... ฉันก็รักหมอไอคนเดียวไหมคะ?” เลิกคิ้วถาม เลื่อนมือขึ้นล้อมกรอบวงหน้าหล่อเหลา ปรากฏรอยบุ๋มบนแก้มทั้งสองข้าง เขายิ้มกว้างหวานจนเห็นไรฟันขาวครบทุกซี่ โน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูทีละคำ “ครับ... ที่รักของพี่...” พูดพลันสอดประสานมือของเขาเข้าหามือเรียวครบทุกง่ามนิ้ว วาดมือทั้งสองของเธอวางทาบบนที่นอนพลันหยัดกายขึ้นดันหัวเข่าทั้งสองออกกว้าง สีหน้าหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง “อริสครับ... มดกัดนิดเดียวนะ...” ในน้ำเสียงปลอบประโลมอย่างใจดีบอกและก็ยังรอจนคนใต้ร่างพยักหน้าหงึกหงิกว่าพร้อมจะเป็นคนหนึ่งคนเดียวกัน แม้ทุกคำเตือนมากมายไหลผ่านหัวสมองมาให้รู้สึกกลัวเป็นธรรมดา พอร่างหนาขยับสะโพกเคลื่อนเข้าหาอย่างเชื่องช้า เธอก็หลับตาปี๋ ไม่ปล่อยให้เสียงใดหลุดรอดออกจากริมฝีปากที่กัดกันแน่น สองมือบีบมืออุ่นที่จะบีบตอบกลับเป็นเชิงให้กำลังใจเธออยู่เสมอ เหมือนใบมีดคมอาบน้ำผึ้งหวานกรีดลงเนื้อจนบาดลึกซึมซาบทุกความเร่าร้อนทรมาน เป็นความเจ็บปวดน่าพึงใจ อ่อนโยนกว่าที่คิดไว้มากคราได้หลอมรวมกันทีละนิด และนิดเดียว... ทุกอย่างดำเ
ร่องรอยสีแดงสดเป็นหย่อมบนผ้าสีขาวยับยู่ยี่ หมอนผ้าห่มกระจายไปคนละทิศทางตามลักษณะสมรภูมิรักดุเดือด โดยเจ้าตัวยินยอมพร้อมใจให้เขาทำทุก ๆ อย่าง พาความหวงแหนที่มีต่อตัวหญิงสาวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ‘รัก’ กลายเป็นคำนิยามที่น้อยเกินไปกับตัวเขาขณะนี้ เขาเป็นผู้ชายคนแรก คนเดียว และจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของอริสา.. “ไม่อยากให้กลับ อริสครับ... อยู่กับพี่... ทุกวันตลอดไปได้ไหม? พี่อยากตื่นมาเห็นเราบ่อย ๆ พี่จะให้พ่อไปขอ...” ในน้ำเสียงหม่นทว่าเต็มไปเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาอยากรั้งผู้หญิงคนนี้ไว้กับตัวเสมอ และไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแสนง่ายดาย “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” นั่นทำให้ความอยากรับผิดชอบแล่นพลูขึ้นมาในใจชายหนุ่ม เขาโน้มลงกอดร่างเปลือยเปล่าของเธอแนบแน่น “งั้นไปอาบน้ำกัน...” “ไปสิ... ลุกสิคะ” บอกอีกครั้ง ทว่าพอตั้งใจว่าจะลุกจากที่นอน เสียงสั่นดังกว่าหลายครั้งในกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกทำให้เขาต้องทักถาม “ไม่รับโทรศัพท์พ่อเหรอ?” อริสาส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เลิกโทรไปเองแหละ” “เรา
“ถามแปลก แม่เลี้ยงอริสมากับมือ แม่ชอบอริสเหมือนอาภพกับน้าแก้วชอบเรา” ความคิดคำนึงที่มีต่อเพื่อนรักสลักลึกลงไปในจิตใจ น้ำเสียงของขวัญฤดีจึงหม่นลง “ถ้าน้าแก้วยังอยู่.. แม่อยากให้น้าแก้วได้เห็นลูกชายแม่กับอริสใส่ชุดแต่งงานสักครั้ง” “แต่แม่ก็ปล่อยให้ผมมาเจอน้องตอนนี้ ตอนอายุสามสิบสองนะครับ” คนถูกตำหนินิ่งงันไป ด้วยใจเจ็บร้าวที่ประกาศออกมาทางสีหน้าและแววตา เธอไม่ได้ติดต่อพิภพมานานเพราะทำใจไม่ได้ตั้งแต่เกิดเรื่องราวของสองแม่ลูกที่มีคนหนึ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับควันบุหรี่มือสอง “ถ้าแม่อยากไปรับประทานอาหารกับอาภพ ตามสบายนะ ผมจะเข้าเมืองไปหาเพื่อนฝูงบ้าง ทำงานให้อาภพทุกวัน... เหนื่อย” เตชินลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ก่อนจะถูกรั้งเตือน “อาทิตย์หน้าอย่าลืมไปไหว้น้าแก้วน่ะ” “ครับ ไม่ลืม แต่คืนนี้ คืนพรุ่งนี้ วันหยุดผมจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน” ย้ำชัดหนักแน่น คนแม่ส่ายหน้าไปมาด้วยความที่หลายวันมานี้ ลูกชายไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องยังดูหงุดหงิดแปลก ๆ พอประตูบ้านปิดลง ขวัญฤดีทิ้งแผ่นหลังพิงกับโซฟาถอนหายใจเสียงดัง “เฮ้อ!
“ทำหมัน... พี่ว่าทำหมันเลยดีกว่า คอยดู พี่จะจับมันทำหมัน” พูดอย่างไม่พอใจ ส่งสายตาประกายคมวับไปทางฝั่งพ่อ ก่อนดึงมือเรียวให้อีกคนต้องลุกเดินตาม และก็ถูกพาฉุดพาไปทั้งอย่างนั้น “ติดเชื้อโรคจากหนูพายมาหรือไง ถึงได้หัวเราะคิกคักให้ผู้ชายรุ่นพ่อ” เป็นคำพูดแรกพอได้กลับห้องพักก้าวแรกที่เปิดประตู เพื่อเอากระเป๋าขึ้นรถและเตรียมตัวออกเดินทาง หญิงสาวเชยคอมองค้อนวงโต “หมอไอ.. นั่นพ่อคุณนะคะ จะให้ฉันทำหน้าบึ้งใส่เหรอ?” “พี่ไม่เคยเห็นอริสหัวเราะกับใคร... นอกจากพี่” ท้ายประโยคเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงริษยา มือเล็กสะบัดออกจากพันธนาการของเขาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ไม่บอกก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้หึงได้ยันพ่อ! “คิดอะไรบ้า ๆ!” ว่าเข้าให้ หญิงสาวกระแทกเท้าปึงปังเข้าห้องไปหยิบกระเป๋า อีกคนเดินตามติด ๆ จากที่เป็นฝ่ายโกรธในคราวแรกสุดท้ายเขาก็ต้องง้อ... เขาคงมีวิธีดีมากพอที่จะทำให้เมียหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เข้าไปรวบทั้งคนทั้งกระเป๋าสะพายในมือ จับสายหนังของมันไว้และดึงออกจนกระเป๋าหล่นลงพื้นดังตุบ “อะไรอีกล่ะ?” “ขอโทษครับ...” พูดชัดถ
ร่างบางในเดรสหวานสีชมพู ทั้งที่เธอไม่ค่อยจะได้แต่งตัวสวยบ่อยนัก เข้ากันกับคนข้างกายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีโอรส และด้วยแสงประกายวิบวับของเพชรเม็ดงามบนนิ้วนางข้างซ้าย ไม่มีใครได้ยินข่าวดีจากคนเป็นพ่อเลย ขนาดว่าขวัญฤดีกับเตชินยังทำตาโตเท่าไข่ห่านมาแต่เช้า ครอบครัวของอริสาเป็นครอบครัวใหญ่ นาน ๆ ครั้งงานปีใหม่หรืองานบุญคงได้พบปะกัน เธอหันไปถามชายหนุ่มว่ารีบไหมก่อนได้รับคำอนุญาตว่าไม่เป็นไร ไอศูรย์อาศัยอยู่ลำพังกับพ่อ พวกเขาทำบุญให้แม่เป็นประจำไม่จำเป็นว่าจะเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิต จึงมีเวลามากพอแนะนำตัวให้ครอบครัวของฝ่ายหญิงรู้จัก และก็ถูกซักถามไปตามประสาความอยากรู้อยากเห็นของคนเฒ่าคนแก่ กระทั่งว่าพากันไปถึงนอกพระอุโบสถ มีม้าหินนั่งเรียงรายหลัง คุณหมอหนุ่มยังต้องตอบคำถาม เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญใจเลย หากว่ามันเป็นความสบายใจของอริสา สายตาหลายคู่ผลัดกันมอง ตั้งใจฟังเรื่องราวหลายอย่างจากปากสองหนุ่มสาวอย่างชื่นชมว่าเหมาะสมกันดี แต่ก็มีเรื่องค้างคาใจเรื่องหนึ่ง “หมอไอจะมาขอหนู... แต่พ่อไม่เคยว่าง หนูอาจต้องรบกวนป้าอิ่ม แม่บัว...” “
“น่าเสียดาย เจ้าที่รักมาด้วยกันไม่ได้ ป่านนี้เล่นน้ำกับแม่บ้านของคุณพ่อเพลิน...” คนพูดหมายถึงพ่อศรุตที่ติดใจสุนัขโกลเด้นเหลือเกิน โดยไม่ได้ทันสังเกตพื้นเหลื่อมล้ำ “ว้าย!” เสียงร้องตกใจ และเธอก็เกือบล้มเข้าจริง ๆ หากคนข้างหลังไม่คว้าหมับ! เข้าเต็มสองกำมือ บีบและขยำก่อนที่เขาจะฉีกยิ้มกว้างหวาน “เอ่อ... ขอโทษนะคะ ขอทางหน่อยค่ะ” เสียงของคนข้างหลังสะกิดให้เธอและเขามีสีหน้าเก้อเขิน มือซุกซนจำต้องยอมปล่อยจากก้อนนุ่มนิ่มที่ชอบนอนจับอยู่ในหลาย ๆ คืน เดินหน้าต่อไปจนถึงทางออกข้างหน้า อริสาหรี่ตามองผู้ชายมือไว หื่น! ไร้ใครเกิน เพราะเห็นอยู่ว่าเขาทำตัวติดเธอขนาดไหน และที่บอกว่ากลัวก็แกล้งส่งเสียงตกใจไปงั้น “ไหนบอกว่ากลัวผียังไงคะ? เข้าบ้านผีนี่คือจะหลอกจับนมฉันรู้นะ” ต่อว่าทันทีที่ออกมาปะเข้ากับแดดร้อนจ้าด้านนอก ชายหนุ่มขยับหมวกแก๊ปสีขาวใส่ให้เธออย่างเอาใจ ก็ฉีกยิ้มหวาน “กลัวจริงจ้ะ... ไม่ได้หลอก มือมันไปของมันเอง” “แล้วที่หมอไปขุดหลุมฝังม้ากลางเขาใหญ่ ตอนตีสองตีสาม มีศพม้าตัวเบ้อเริ่มนอนอยู่ ไม่กลัวมันลุกขึ้นมาเหร
“ลูก...?” เป็นคำถามแรกของอริสา ที่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดในวินาทีที่เธอไม่ควรพรวดพราดออกไปหาอันตรายอย่างนั้น ไอศูรย์พยักหน้าเบา ๆ พาความปลื้มปิติขึ้นในหัวใจ เรี่ยวแรงของเธอตอนนี้ทำได้แค่ยกมือข้างที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือขึ้นสะกิดบ่าแกร่ง แม้ว่าอยากกอดเขาแน่น ๆ สักแค่ไหน “ฉันขอโทษ... พี่... เป็นห่วงฉันมากเลยใช่ไหม?” “ไม่เป็นไร... เราไม่เป็นไรพี่ก็ดีใจแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเกรอะคราบน้ำตาผละออกมองดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ เบียดตัวนั่งลงข้างเตียง กุมมือน้อยไว้แผ่วเบา ไม่ให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้สักนิดกับรอยเข็มบนนั้น “ไม่เป็นไรทำไมตาแดงคะ? กินข้าวหรือยัง ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?” เสียงพร่าของคนป่วยตัดพ้อ อริสาสัมผัสได้ถึงมืออันอบอุ่นของชายทั้งสอง ไม่ลืมหันไปทางอีกคนที่คงหวาดกลัวไม่ต่าง จากดวงตาแดงก่ำที่พายุความโศกเศร้าได้สงบลงไปสักพัก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูกพ่อ” ใบหน้างามพริ้มระบายยิ้มจาง ๆ “หนูไม่เป็นไร... พ่ออย่าร้องไห้ เวลาพ่อร้องไห้ พ่อจะมองอะไรไม่เห็น...” แล้วเลื่อนสายตาไปทางชายที่ยังคงจ้องหน้าเธออยู่ไม่ห่าง ไม่ได้มองคน
กว่าสิบชั่วโมงที่ผ่านมาเขาไม่ต่างจากคนเสียสติ ในวินาทีที่อุ้มร่างโชกเลือดไปหาอาจารย์ในโรงพยาบาลสัตว์ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มใบหน้าอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยจะร้องไห้ให้ใครได้เท่านี้ แม้แต่ในวันที่แม่จากไป เขาเสียใจแต่ยังคงความเป็นบุรุษที่เข้มแข็งเช่นพ่อ รถพยาบาลที่มาได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ละนาทีช่างยาวนาน ผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาแค่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นไม่รับรู้สิ่งใดแม้เสียงเรียกของเพื่อนที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด เขายังจินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าสวย ๆ ของผู้หญิงคนนี้อีกตลอดไป ชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร กับลูกที่ได้เห็นหน้าเพียงครั้งผ่านจอสีเทาดำ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักแต่แรกพบเหมือนอริสา... ความหวังอันเบาบาง เด็กที่เกิดจากความรักของเขาและเธอยังรอปาฏิหาริย์ “พี่จะรีบกลับมานะ... เราไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะดูแลตัวเอง...” ในน้ำเสียงและแววตาแสนอ่อนโยน มือหนาค่อยเลื่อนขึ้นปัดไรผมบนขมับอย่างที่เขาชอบทำ ก่อนจะหยัดกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่งมานานนับชั่วโมง มองเปลือกตาที่ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น ก่อนออกจากห้องไป ชายหนุ่มตั้งใจจะตรงกลับบ้าน
“ไหวไหมลุงชา?” ใบหน้าซีดขาวของชายวัยหกสิบขยับเบา ๆ มือกระชับอาวุธในมือไว้เหนือเข่า แม้เลือดโชกชุ่มกาย ตัวต้นเหตุของบาดแผลฉกรรจ์นั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ถึงห้าตัว พวกมันสามารถมีน้ำหนักตัวสูงสุดได้ถึงหกสิบสองกิโลกรัม มีอุ้งเท้าอันใหญ่โต แรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันทรงพลังยังออกล่าเป็นฝูง หมาป่าสีเทาเกรวูฟที่กำลังหิวโหยดุร้ายถูกลักลอบมากับรถบรรทุกไม่มีป้ายทะเบียน ไม่ไกลจากฟาร์มของพิภพมากนัก คำขอความช่วยเหลือของพลตำรวจเอกปรีชา ประจวบเหมาะพอดีกับหญิงสาวจะออกไปตามล่าหาเสือโคร่ง ดันได้รางวัลเป็นหมาป่าขย้ำคอคนแก่อยู่กับลูกปืนจากพวกลักลอบค้าของเถื่อน ปัง! ปัง! กระสุนแสกผ่านเหล็กหนา เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำสนิทรุ่นกันกระสุนของท่านนายพลอยู่ในสภาพยับเยิน ผู้หมวดสาวในร่างชายหนุ่มยิงสวนกลับไปเพียงครั้ง ก่อนแนบหลังไว้กับที่กำบัง หันไปถามนายตำรวจใหญ่ “ท่านรองกำลังเสริมใกล้ถึงรึยัง? กระสุนจะหมด...” “อือ... ข้างหน้า...” แรงตอบเฮือกสุดท้ายของพลตำรวจเอกปรีชาที่เอนร่างลงนอนพักไหล่ของหญิงสาว สติพร่าเลือนเต็มที “ลุงชา ๆ !” เรียกเสียงดัง มือเรียวเขย่าบ
มือหนากำหมัดแน่นแม้จะมีแค่รีโมตในมือ แววตาวาวโรจน์สาดประกายไปยังรายการตลก ซึ่งเขาไม่มีอารมณ์จะดูมันเหมือนทุก ๆ วัน “ถ้าแกจะมาตอกย้ำฉันก็ไปเถอะ… ไปไหนก็ไป...” “โธ่… พ่อ… ไอ้เมธพนธ์มันโคตรร้ายเลยนะพ่อ หนูไม่ชอบมัน ทำไมพ่อต้องเป็นแบบนี้ด้วย หนูไม่เข้าใจ” พ่อที่พูดไม่รู้เรื่องยังดีกว่าคุณพ่อเซ็งโลก ทำหูทวนลม อริสาพยายามเซ้าซี้เรื่องเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าคงไม่มีคำตอบจากร่างสูงในสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำด้วยความที่คงนอนคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง จนเธอถึงกับถอนหายใจเสียงดัง ยกมือขึ้นลูบบ่าลูบหลังปลอบประโลม “พ่ออกหักยังไงพ่อยังมีหนู หนูไม่ทิ้งพ่ออยู่แล้ว... พ่อเหนื่อย พ่อหยุดงานไปนะ ดูตลกดูหนัง หนูไปทำป๊อปคอร์นให้” พิภพยิ้มเจื่อน ไม่ได้ดีใจกับคำปลอบของลูกสาวเลย ในที่สุดเขาก็ต้องถาม “อะไรนะ? แกบอกว่าฉันอกหัก?” “ใช่... พ่ออกหักแน่นอน ถ้าพ่อยังนั่งอยู่แบบนี้นะ เอาจริง ๆ ถ้าหนูเป็นพ่อ หนูปล้ำน้องพายไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เสือโหยคาบไป ป่านนี้กินอิ่มท้องไปแล้วมั้ง เอาเถอะ...ไว้หนูแนะนำเพื่อนสาว ๆ สวย ๆ เอ๊าะ ๆ ให้พ่อใหม่ส
“เซ็นแล้ว... ผมมีของขวัญให้พี่สาวคุณด้วยนะ แต่ว่า... มันอยู่ในมือถือ ไม่รู้ว่าอยากดูไหม?” “คุณ... หมายความว่าไง?” ขณิกาหน้าชาวาบ เพียงชายตรงหน้าสลัดคราบเทพบุตรเป็นซาตานร้ายใช่... ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาขณิการู้ว่าถ้าเขาร้าย เขาจะร้ายได้แค่ไหน! “พี่ยักษ์ก็หมายความอย่างที่พูด ของขวัญให้คนรักไอ้พิภพอย่างน้องพาย อืม... แต่พี่ว่านะ มันรักลูกสาวกับเมียเก่าที่สุด ไม่มีเศษซากความรักเหลือเผื่อแผ่ให้ส่วนเกินหรอก” “คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคุณเมฆ อย่าไปยุ่งกับพี่อริสเลย... ที่แล้วมาก็ให้แล้วกันไปเถอะนะ พายขอ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน มือเรียวเอื้อมไปแตะลงบนท่อนแขนแกร่งที่สะบัดออกอย่างไม่ไยดี “อย่ามาแตะต้องตัวผม...” ท่าทางเย็นชาของเขาสั่นคลอนหัวใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ยามสบมองวงหน้าหล่อเหลาของคนที่เคยอบอุ่น อ่อนโยนกับเธอมาเสมอ “พี่สาวคุณก็ทำร้ายคนของผมนะอย่าลืม ที่เล่นอะไรแบบเด็ก ๆ น่ะ คุณเมฆไม่ทำ ผมเป็นคนเล่นใหญ่” “คุณเมฆ... คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย... คุยกับพายดี ๆ ได้ไหม
นายหัวฟาร์มม้าดูจะทำตัวหม่นหมองลงทุกวันจนคนรอบกายพลอยเครียดตาม สิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชมขณิกาคือไม่หวั่นไหวไปกับผู้ชายมากคารมอย่างเมธพนธ์ที่ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ยังมีฐานะร่ำรวยกับธุรกิจสีเทาที่จับอยู่ ความเจ้าเล่ห์ของนายเมธพนธ์นับว่าเป็นตัวร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่อีกคนไม่ได้เข้าใจในความหมายของเธอเลย หันกลับไปทางภรรยาที่เสียชีวิตในวัยสามสิบเจ็ดปี “แกไม่รักแม่แกแล้วหรือ? อริส” หญิงสาวสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย และที่ว่าจะไม่พูดก็ไม่น่าไหว... “แม่ตายไปตั้งกี่ปีแล้วพ่อ นี่คือชีวิตของคนเป็น คนที่ต้องเอาใจใส่คือคนที่ยังอยู่ ไม่ใช่คนตาย” หัวใจหนุ่มใหญ่พลันกระตุกวาบกับคำพูดตรง ๆ ของลูกสาว เขาไม่เคยสนใจความสุขนั้นเลย ยังพยายามยัดเยียดความคิดให้ลูกแต่งงานกับเตชิน เพราะเป็นความต้องการของคนตาย... เพราะเขาเป็นฆาตกร... ยังไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของภรรยาได้ ดวงตาคู่คมเอ่อคลอหยดน้ำใสกับทุกความรู้สึกผิดในอดีต เสียงทุ้มสั่นเครือ “มาไหว้แม่ก่อน” หน้าเจดีย์ที่มีกระเบื้องหลากสีใต้ร่มไม้ พ
“เจ้าหน้าที่จากกรมปศุฯ กำลังมา ผมตั้งไลน์กลุ่มใหม่มาสามกลุ่ม ให้ลูกศิษย์มาช่วย รุ่นไหนใครสมัครใจมาก็มา บางคนไปเช่าอพาร์ทเม้นต์ คอนโดฯ ไม่ไกล บางคนก็มาบ้านผม ตอนนี้เต็มมาก เพื่อน ๆ รุ่นหมอ ไปอยู่บ้านหมอละกันนะ” “ฮะ? อะไรนะ... ครับ? บ้านผม?” สีหน้าของเขาตกใจยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ เพราะนอกจากเขาจะต้องทำงานล่วงเวลาซึ่งพอเข้าใจได้ แต่การต้องสละพื้นที่ในบ้าน... “ได้ยินว่าหมอเพิ่งซื้อบ้านใหม่นี่ หลังใหญ่กว่าบ้านผมอีก โครงการคฤหาสน์เหลือ ๆ ห้องเยอะแยะ” “อาจารย์ครับ... อาจารย์ออกจะกำไร ระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์เอกชน มีคลินิกครบวงจร สัตว์เล็กใหญ่ เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีก ขนมหมาของใช้หมาแมวนี่ก็ขายดี๊ดี.. ผมไม่ได้ส่วนแบ่งสักบาท” ไอศูรย์ยิ้มเจื่อนประชดอย่างสุภาพ คุณหมอรุ่นใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน “บ้านหมอออกจะรวย ผมนี่สิลูกสี่ เดือนนี้ก็ยอดตก ตั้งแต่หมอมีเมียน่ะ” ตาคมสาดประกายวับใส่ลูกศิษย์ที่แค่ยกยิ้มตอบ “ผมมารักษาสัตว์นะครับ ไม่ได้มาเป็นเซลล์ขายของ ลูกอาจารย์โต ๆ หมดแล้ว ลูกผมยังว่ายน้ำอยู่ในท้องคุณแม่เลย” “จริงรึหมอ? ผมดีใจด้ว
“อาภพลืม ๆ เรื่องของผมกับอริสเถอะครับ น้าแก้วแค่เห็นว่าผมกับน้องน่ารักดี ไม่เห็นต้องไปคิดจริงจัง ผมไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม ไปพรากคนรักกันมันบาปกรรม น้องพายเคยบอกผม” พิภพแค่ได้ยินชื่อคนรักเขาจึงได้สติกลับมา หยิบกล่องเล็ก ๆ สีแดงใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต วางลงบนโต๊ะเบา ๆ มันเคยเป็นของสำคัญที่สุดของเขาที่ดื้อรั้นมาจนสุดทาง คงไม่มีหวังอะไรอีก “ก่อนแก้วเสีย แก้วให้อาไว้ ให้อาให้เต อยากเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ...” เตชินหน้าตะลึงงัน กล่องกำมะหยี่สีแดงเก่า ๆ เบื้องหน้าสายตา เดาได้ไม่ยากเลยว่าข้างในเป็นอะไร และด้วยเหตุใดเจ้าของบ้านจึงกำชับนักหนาว่าเขาจะต้องมาในวันนี้ “อาขอไปคุยกับลูกก่อนนะ” ในสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายกับแหวนแต่งงานที่เขาให้กับอดีตภรรยาผู้ล่วงลับไปด้วยควันบุหรี่มือสองของเขาเอง พร้อมคำสั่งเสียซึ่งเขาไม่สามารถทำมันได้ ร่างสูงลุกไปทิ้งสองแม่ลูกไว้ “น้าแก้วนะน้าแก้ว... คนเขาวุ่นวายกันไปหมดเพราะแหวนน้าแก้ววงเดียวเนี่ย” คนบ่นคว้ากล่องมาเก็บไว้ลวก ๆ อย่างไม่พอใจ โครม! เสียงของหล่นกระจายจากที่ไหนสักแห่งใน
“นั่นอ่านหนังสืออะไร?” ไม่ทันได้คำตอบ แขกทั้งสองคนก็ปรากฏตัว ต่างคนยกมือไหว้กัน รวมถึงอริสาที่วางหนังสือลงประนมมือนอบน้อม “สวัสดีค่ะ ป้าขวัญ พี่เต” “สวัสดีจ้ะลูก เป็นไงบ้างน่ะเรา? ป้าไม่เจอหน้าเลยนะ” ขวัญฤดีแย้มยิ้มอย่างสดชื่น ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ กันกับลูกชายในฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้าน “สบายดีค่ะ ป้าขวัญกับพี่เตสบายดีนะคะ?” “ก็ดีเนอะแม่ เรื่อย ๆ” เตชินแย่งตอบ ดีใจอยู่ที่ได้พบหน้ากันหลังไม่ได้พบกันนานนับเดือน ถึงจะยังงง ๆ อยู่ว่าทำไมเธอถึงได้ดูอารมณ์ดียังทักทายเขาก่อน “วันมะรืนนี้ ผมว่าจะไปทำบุญให้แก้วอีกรอบ พี่ขวัญว่างหรือเปล่า?” พิภพถามด้วยสีหน้าระรื่นความสุขที่ได้กลับมานั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงจะคอยชะเง้อคอมองประตูหาหญิงสาวรุ่นลูกอีกคนหนึ่งว่าจะมาหาเขาไหม แต่ก็ไม่มีวี่แวว... “ช่วงบ่าย ๆ พี่ว่าน่าจะได้นะภพ พี่ไม่ได้ติดธุระอะไร อยากไปหาแก้วอยู่เหมือนกัน” ระหว่างที่ลูกสาวเจ้าของบ้านไม่อยู่ ขวัญฤดียังมาเยี่ยมเยียนบ้าง เว้นแต่เตชินที่ยุ่ง ๆ อยู่กับกิจการร้านทองธุรกิจครอบครัว พิภพนั้นไปอุดหนุน