เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจิ้งซิงอีดังแว่วมาตามสายลมอ่อนๆ แสงแดดอุ่นยามสายส่องกระทบใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับ เธอจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีและมีความสุขที่สุดหรือหึ แน่นอน เธอย่อมต้องเป็นผู้หญิงที่โชคดีและมีความสุขที่สุดอยู่แล้ว ก็ในเมื่อตอนนี้เรียกได้ว่าเธอเป็นคนที่ร่ำรวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งชีวิตครอบครัวก็ราบรื่นมีความสุข สามีรักสามีหลง ชีวิตเช่นนี้จะไม่เรียกว่ามีความสุขได้อย่างไรเจิ้งซิงอีเดินยิ้มร่าไปตลอดทาง เธอแวะเข้าไปจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้ลุงช่างไม้ในหมู่บ้านเพราะเธอได้สั่งทำโต๊ะ ตู้ เตียง และเครื่องเรือนเอาไว้หลายชิ้น หลังจากนั้นก็แวะซื้อข้าวของเครื่องใช้ในครัวและเนื้อสำหรับทำอาหารบำรุงสามีกลับบ้านมาก็เข้าครัวทำมื้อเที่ยงสำหรับทุกคนด้วยความชื่นมื่น ก่อนจะนำอาหารไปส่งเหมือนเช่นดังทุกวัน และทุกอย่างก็ยังดำเนินไปเช่นดังปกติเธอเอาอาหารไปส่งสามี แล้วนั่งกินข้าวด้วยกัน พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน พอตกเย็นก็เดินจูงมือกันกลับบ้านเจิ้ง ใช้เวลาช่วงค่ำกับคนในครอบครัวดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงสีส้มอ่อนๆ หลังจากกินอาหารกันพ
เจิ้งซิงอีตื่นขึ้นมาเข้าครัวตั้งแต่รุ่งสาง เพื่อเตรียมอาหารให้กับทุกคน ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อติดรถพี่ชายคนรองเข้าไปในเมือง ส่วนสามีของเธอนั้น เป็นคนที่ทำอะไรก็รวดเร็วไปเสียหมด อีกฝ่ายตื่นนอนก่อนเธอเสียอีก ลุกขึ้นมาก็ผ่าฟืนกองใหญ่ รดน้ำผักที่ปลูกเอาไว้ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง และยังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คงกำลังนั่งสนทนายามเช้าอยู่กับเหล่าพี่ชายและพ่อของเธอตามประสาผู้ชายส่วนเธอที่เป็นผู้หญิงก็เป็นธรรมดาที่จะต้องพิถีพิถันในการแต่งเนื้อแต่งตัว หญิงสาวตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองบนกระจกเงาบานใหญ่ ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อเผยรอยยิ้มพึงพอใจ บนนั้นสะท้อนให้เห็นหญิงสาวรูปร่างสมส่วน อกเป็นอก เอวเป็นเอว ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต ผิวขาวนวลเนียน ดวงตาคมสวย ผมยาวสีดำถูกมัดรวบขึ้นด้วยผ้าผูกผมเข้ากับสีชุดอย่างสวยงาม มีเครื่องประดับไข่มุกเม็ดเล็กๆ ประดับอยู่บนใบหูและลำคอระหง ดูสง่างาม และเย้ายวน เมื่อเธอก้าวออกมาจากห้องก็เดินตรงไปหาสามีที่รอเธออยู่ สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างอย่างชื่นชม สามีของเธอเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สง่างามและมีเสน่ห์ ใบหน้าของเขาทั้งหล่อเหลาคมคาย ยิ่
"สามี ที่ดินตรงนี้เป็นของเราใช่ไหมคะ"เจิ้งซิงอีหันไปเอ่ยถามสามี ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ทั้งที่เธอรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าที่ตรงนี้เป็นของเขา เพราะมันคือที่ดินที่หวังลู่เสียนอยากจะครอบครองเป็นเจ้าของเจิ้งซิงอีมองลานดินกว้างขวางตรงหน้าตาเป็นประกาย ถึงว่าทำไมคนพวกนั้นถึงอยากได้ที่นี่นัก เพราะที่ดินผืนนี้ทั้งสวยและทำเลดีจริงๆ เหมาะแก่การเปิดศูนย์การค้าเป็นอย่างมาก และยังเหมาะสมต่อการลงทุนหรือการดำเนินธุรกิจต่างๆ ได้อีกหลายอย่าง เพราะเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงการเข้าถึงง่าย เดินทางสะดวกสบาย ใกล้ถนนหลัก รอบด้านมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ทั้งยังเป็นชุมชนที่มีกำลังซื้อสูง ใกล้โรงเรียน โรงพยาบาล ธนาคาร และโรงงานหลายแห่งสรุปแล้วคือ เป็นทำเลทอง ที่ดีมากๆ หากเปิดกิจการหรือธุรกิจคงประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ในชีวิตก่อนหลังจากที่หวังลู่เสียนได้ที่ดินผืนนี้ไป เขาก็ร่วมลงทุนกับเศรษฐีในเมืองสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ขึ้นมา ต่อไปที่ตรงนี้จะกลายเป็นศูนย์การค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับสองแม่ลูกนั่น มันทำเงินให้หวังลู่เสียน
แสงตะวันยามบ่ายคล้อย สาดส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างสีอ่อนเข้ามาภายในบ้าน สะท้อนเข้ามาในดวงตาคู่สวยของเจิ้งซิงอีที่กำลังวางแจกันดอกไม้ใบสุดท้ายลงบนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่างริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มราวกับดอกไม้บานในแจกัน ในที่สุดบ้านของเธอก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะเข้าอยู่แล้วบ้านของเธอกับเสิ่นหนิงหลง สถานที่ที่เธอจะเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ หัวใจของเธออิ่มเอมไปด้วยความสุขจนแทบจะล้นปรี่ออกมา สายลมอ่อนที่พัดผ่านเข้ามา ทำให้ม่านหน้าต่างพลิ้วไหวตามแรงลม หอบเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ด้านนอกเข้ามาให้คนรู้สึกสดชื่น มองออกไปก็เห็นใครบางคนกำลังขุดดินอยู่อย่างขยันขันแข็งเจิ้งซิงอีค่อยๆ ดึงม่านขึ้น มองดูสามีด้วยแววตาอ่อนโยน เพียงแค่เธอเอ่ยว่าอยากมีแปลงดอกไม้สวยๆ เอาไว้หน้าบ้าน สามีของเธอก็กระตือรือร้นที่จะปลูกมันด้วยมือของเขาเองแสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายสาดส่องลงบนแผ่นหลังกว้างของเขา ที่กำลังค่อยๆ ขุดดินอย่างตั้งใจ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน หยาดเหงื่อไหลซึมตามไรผมและกรอบหน้า ข้างกายของเขามีแปลงดอกไม้ที่ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่สามแปลง มันดูงดงามเป็นอย่างมากทั้งๆ ที่พึ่งจะลงดินได้เพียงวันเดีย
พลบค่ำของวันนี้ แสงไฟส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของบ้านเสิ่น ในขณะที่ฟ้าด้านนอกความมืดเริ่มที่จะโรยตัวลง ภายในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบง่าย แต่มีครบครันทั้งอาหารคาวหวานหน้าตาน่ากิน ครอบครัวตระกูลเจิ้งทุกคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ กำลังนั่งล้อมวงกันเตรียมตัวจะรับประทานอาหารมื้อพิเศษร่วมกัน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยสนุกสนานดังขึ้นเป็นระยะ ให้บรรยากาศคึกคักอบอุ่นเป็นกันเองเจิ้งซิงอีที่เป็นเจ้าภาพในวันนี้กำลังตักข้าวใส่ชามให้กับทุกคน แต่จำต้องชะงักมือ เมื่อจู่ๆ เสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้หน้าประตูรั้วบ้านดังขึ้น จนทุกคนในบ้านต้องเงียบเสียงลง"เดี๋ยวผมออกไปดูเองครับ"เสิ่นหนิงหลงรีบอาสาลุกออกไปดู ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นใครที่มาเยือนในเวลานี้ เพราะเขากับภรรยาไม่ได้เชิญแขก การย้ายเข้ามาอยู่บ้านเสิ่นของเขากับภรรยาไม่ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โต เป็นเพียงการรับประทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวภรรยาเท่านั้น เสิ่นหนิงหลงเดินไปเปิดประตูรั้ว แต่เมื่อเขาเปิดประตูออกไปดู คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาต้องยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ“ทุกคนดูสิครับ
ในขณะที่ฝั่งหนึ่งกำลังชื่นมื่นมีความสุขกับการย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ ฝั่งของสองแม่ลูกตระกูลหวังกลับกำลังกลัดกลุ้มกระวนกระวาย เมื่อรอแล้วรอเล่า รอมาจนจะครบหนึ่งสัปดาห์คนที่เฝ้ารอก็เงียบหายไป ไม่มีการติดต่อกลับมาและมันเป็นการเฝ้ารอที่สร้างความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจให้กับสองแม่ลูกเป็นอย่างมาก จนแทบจะเป็นบ้าตาย เพราะทั้งคู่แทบจะไม่ย่างเท้าออกจากบ้านเลยสาเหตุนั่นก็เพราะหวาดกลัวคนจากบ่อนจะมาทวงถามเรื่องหนี้สินที่หยิบยืมมา"จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ พังหมดแล้วชีวิตฉัน"ซูหลันกรีดร้องออกมาใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูแทบไม่ได้ เพราะไม่อาจทนได้ไหวอีกต่อไป สองมือฉีกทึ้งแผ่นกระดาษหลายแผ่นในมือจนขาดไม่เหลือชิ้นดี ก่อนจะนั่งลงร้องห่มร้องไห้ก่นด่าชะตาชีวิตโดยไม่ต้องกลัวว่าจะอับอายใคร เพราะบรรดาคนรับใช้ถูกไล่ออกไปจนหมดแล้ว ตอนนี้ทั้งบ้านเหลือเพียงนางและบุตรชายเท่านั้นชีวิตดีๆ ที่แสนสุขสบายของนางพังหมดแล้ว ต้องซ่อนตัวจากเจ้าหนี้ในบ่อนไม่พอ บ้านที่นำไปจำนองเอาไว้ ธนาคารยังส่งหนังสือมาเร่งรัดให้จ่ายดอกเบี้ยที่ค้างชำระภายในหนึ่งเดือนไม่อย่างนั้นจะโดนยึด ทางโรงพยาบาลก็ส่งหนังสือมาให้ชำระค่ารักษาพยาบาลของเสิ่นจงที่ตอน
"ซิงอี"เสียงเรียกดังขึ้นด้านหน้ารั้วบ้าน ทำให้เจิ้งซิงอีที่กำลังชื่นชมดอกไม้อยู่หยุดชะงัก หันไปมองตามเสียงเรียกนั้น หวังลู่เสียนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่านออกมา หัวคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาเร็วถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อมาแล้วก็ดีเหมือนกันจะได้พูดจากันให้จบๆ ต่างคนต่างอยู่เสียที เธอไม่อยากให้คนเป็นสามีต้องคิดมากเกี่ยวกับคนผู้นี้อีกแล้วเจิ้งซิงอีสูดหายใจเข้าลึก รีบเดินออกไปหน้าบ้าน มองอีกฝ่ายหัวจรดเท้าโดยไม่คิดปิดบังสายตา"หวังลู่เสียน พี่มาที่นี่ทำไม"เจิ้งซิงอีเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงแข็ง นั่นทำให้หวังลู่เสียนหรี่ตาลง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่หญิงสาวจะมีท่าทีเย็นชาและเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้"พี่เห็นว่าเธอเงียบหายไป ก็เลยเป็นห่วง เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม"แม้ว่าจะรับรู้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไป และไม่พอใจที่เธอแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อเขา แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะมองข้าม ในขณะที่สายตาก็เฝ้าสังเกตอาการของอีกฝ่าย ภายในใจของเขารู้สึกถึงความหวาดหวั่นและไม่มั่นคง ไม่ใช่เพียงแค่ท่าทางที่มีต่อเขาเท่านั้นที่ดูเปลี่ยนไป แต่หญิงสาวดูเปลี่ยนไปทั้งรูปลักษณ์ภาย
เจิ้งซิงอีกำหมัดแน่นจนข้อต่อขาวซีด ดวงตาฉายแววเดือดดาลทั้งโกรธทั้งกลัว เตรียมซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าหวังลู่เสียนอย่างไม่ลังเล หากเขากล้าแตะต้องเธอ แต่ก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะแตะต้องโดนตัวเธอ กลับมีบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทกร่างของเขาเต็มแรง เร็วราวกับสายฟ้าแลบ จนเธอเองก็มองแทบไม่ทัน แต่คล้ายจะเห็นเป็นรองเท้าหนังสีดำมันวาวที่ดูคุ้นตา แรงปะทะนั้นทำให้ร่างของหวังลู่เสียนปลิวไปกระแทกพื้นห่างจากเธอไปหลายก้าว เสียงกระแทกดังก้องกังวานจนคล้ายจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นความเงียบงันปกคลุมไปชั่วขณะ หลังจากที่หายจากอาการตกตะลึงปนโล่งใจ เจิ้งซิงอีก็ร้องดังออกมาน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าเจ้าของฝ่าเท้าเมื่อครู่นั้นเป็นใคร "สามี พี่สาม"หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างด้วยความยินดี เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดแขนแกร่งของสามีเอาไว้แน่น ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ก็ผ่อนคลายลงเมื่อได้สัมผัสความอบอุ่นจากเขา ไม่ลืมที่จะหันไปส่งยิ้มบางให้พี่ชายที่ยืนกอดอกคุมเชิงอยู่ไม่ไกลเสิ่นหนิงหลงที่ใบหน้าคมเข้มดูมืดครึ้ม บึ้งตึงราวกับจะฆ่าคนได้ ดวงตาฉายแววเย็นชา แต่กลับอ่อนโยนลงเมื่อมองมายังภรรยา เข
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล
หลังจากที่ช่วยให้สามีคลายความหม่นเศร้า ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ วันนี้เจิ้งซิงอีกับสามีจึงจูงมือกันเข้าเมืองมาตั้งแต่เช้า เพื่อมาดูความคืบหน้าและตรวจตราดูความเรียบร้อยในการสร้างตลาด ซึ่งในตอนนี้ตัวอาคารนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตลาดของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ทุกอย่างราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าอีกไม่เกินสิบวันการก่อสร้างก็คงจะแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการได้ในทันที"อีกไม่นานตลาดของเราก็จะสร้างเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกสามีพร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ดวงตาคู่งามส่องประกายระยิบระยับ มองสำรวจอาคารเปิดโล่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกไม่นานความฝันความหวังของเธอก็จะเป็นจริง ชีวิตของเธอและครอบครัวจะต้องดีขึ้น เธอเชื่อเต็มหัวใจว่าตลาดแห่งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"ครับ ภรรยาเก่งมากๆ"เสิ่นหนิงหลงยิ้มกว้างเอ่ยชื่นชมภรรยา ก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายเดินเข้าไปยังตัวอาคารขนาดกว้างขวาง สายตามองคนข้างกายอย่างภาคภูมิใจ ภรรยาของเขาช่างเก่งกาจและมีความสามารถ วางแผนทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ รูปแบบการก่อสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาของเขาที่ออกแบบตัว
ฝ่ามืออ่อนนุ่มถูกคนเป็นสามีดึงรั้งให้เลื่อนลงไปเบื้องล่าง สัมผัสกับความแข็งขึงที่ร้อนผ่าวของเขา มันกร้าวแกร่งและดุดันจนหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เจิ้งซิงอีจ้องมองสามีตาโตอย่างตื่นตะลึง หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ ภายใต้มวลน้ำอุ่นร้อนมือของเธอกำลังสัมผัสกับสิ่งที่ร้อนเสียยิ่งกว่า มันแข็ง มันร้อนผ่าว และสู้มือเธอ จนต้องเกร็งมือหนีแต่คนไร้ยางอายกลับไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้น พอเธอจะขยับมือหนี เขากลับรั้งมือของเธอเอาไว้ กุมกระชับให้มือน้อยๆ ของเธอกอบกุมท่อนเนื้อขนาดใหญ่ที่แทบจะกำไม่รอบ โดยมีฝ่ามือใหญ่ของเขาคอยควบคุมขยับมันขึ้นลงเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายลงคอ หลุบตาลงมองความใหญ่โตใต้ผืนน้ำที่ขยับไหวเลือนราง ระดับน้ำที่ปริ่มอยู่ตรงเอวสอบของสามี ทำให้เธอมองเห็นสิ่งนั้นวับๆ แวมๆสิ่งนี้น่ะหรือที่เข้าไปในร่างกายของเธอ เข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มที่แสนจะเปราะบางของเธอ มิน่าเล่าทุกครั้งที่ร่วมรักกันเธอถึงได้เจ็บจุกจนหน่วงท้องน้อยไปหมดผ่านมาสองชีวิตบอกอย่างไม่อายเลยว่า ครั้งนี้เธอพึ่งจะได้สัมผัสตัวตนของเขาด้วยมือและตาตัวเอง ชีวิตแรกเพราะไม่เต็มใจ เธอจึงไม่เคยที่จะลืมตามองเขาเลยสักครั้งส่วนชีวิตนี้ แม้จะผ่านการร่วมร
"สามี มาล้างไม้ล้างมือได้แล้วค่ะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเดินออกมาชะโงกหน้าด้านหลังประตูห้องครัว ร้องบอกคนเป็นสามีที่กำลังพรวนดินอยู่ในแปลงผักที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าขาหมูตุ๋นที่เธอตุ๋นมาหลายชั่วโมงเริ่มที่จะเปื่อยได้ที่แล้ว"ครับๆ พี่ขอรดน้ำผักอีกนิด ไม่นานก็เสร็จแล้วครับ"เสิ่นหนิงหลงขานตอบภรรยาก่อนจะวางจอบในมือลง แล้วคว้าบัวรดน้ำที่วางอยู่ข้างกัน เร่งรดน้ำผักในแปลงที่ตอนนี้เขียวชอุ่ม เติบโตอวบอ้วน ใกล้จะเก็บมากินได้แล้ว หลังจากที่รดน้ำผักเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาล้างไม้ล้างมือและหน้าตาที่เปื้อนดินโคลนจนสะอาดสะอ้านเตรียมกินมื้อเย็นแสนอร่อยกับภรรยา"เหนื่อยไหมคะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยถามสามีด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในครัว เธอวางจานผัดเห็ดป่าในมือลง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาที่เปียกน้ำให้เขาอย่างใส่ใจ"เหนื่อยมากๆ เลยครับภรรยา"เสิ่นหนิงหลงเอ่ยตอบภรรยา สีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหอมแก้มนุ่มนิ่มฟอดใหญ่"แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วครับ"ลำแขนแกร่งโอบกอดภรรยาเข้ามาแนบชิด กระซิบบอกเสียงแหบพร่า ปลายจมูกโด่งกดหอมกดจูบไปทั่