ภายในห้อง
โจวห้าวด่ากราดเสียงดังไปทั้งห้อง
“ไอ้คนชั่ว ฉินเป่ย ฉันจะให้แกตายไปซะ!”
“ห้าปีก่อนผมควรจะกำจัดคุณไปซะ”
“แม่งเอ้ย นี่แกยังอยากได้เงินเหรอ? แกรอดูได้เลย”
ในฐานะเป็นนายน้อยของตระกูลขั้นที่สาม โจวห้าวไม่เคยถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อนเลย เขากลืนความโกรธนี้ไว้ไม่ได้!
“พี่ห้าว เอาฉินเป่ยให้ตายเลยนะคะ เขา...เขากล้ายังไงมาทำร้ายพี่ พี่รีบเรียกคนมาจัดการเขาให้ตายไปซะเลยนะ”
หยางลี่พูดพร้อมกัดฟันแน่น ใบหน้าของเธอโดนตบจนเลือดออก
จริงๆ ตระกูลหยางของเธอนั้นเป็นแค่ตระกูลเล็กๆอันดับปลายในเมืองหยางตูเท่านั้น แต่หลังจากเธอได้อยู่กับโจวห้าวแล้ว ตระกูลหยางก็ได้คว้าโอกาสไม่น้อย และก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
และตอนนี้ระหว่างตระกูลหยางกับการเป็นตระกูลขั้นที่สามก็ห่างกันแค่เพียงก้าวเดียว
เธอจะไม่ยอมให้ตนเองถูกดูถูกขนาดนี้หรอก เธอจะไม่ให้เงินฉินเป่ยแม้แต่แดงเดียว
“สบายใจเถอะที่รัก จะกำจัดฉินเป่ยน่ะมันง่ายจะตายไป ต่อให้ทำให้เขาตายไม่ได้ แต่การจะส่งเขาเข้าไปอยู่ในคุกน่ะมันก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยนั่นล่ะ!”
“แม่ของเขาอยู่ที่ชานเมืองไม่ใช่เหรอ? บริเวณนั้นมีเหมาสงเป็นผู้ปกครอง เดี๋ยวผมจะโทรให้เหมาสงพาคนไปจัดการแม่ฉินเป่ยจนอัมพาตซะ”
พอโทรจบ มือถือของโจวห้าวก็ดังขึ้นอีก เป็นพ่อของเขาโทรมา
หลังคุยโทรศัพท์กับพ่อเสร็จ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบบอกกับหยางลี่ด้วยความตื่นเต้น “พ่อผมโทรมา ว่าอารองกำลังอยู่ระหว่างทางกลับ เขาบอกว่าหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งการต่อสู้ระดับสู้เจ็ดดาวคนใหม่ที่แต่งตั้งโดยหน่วยสู้รบเมื่อสามเดื่อนที่แล้วก็อยู่ระหว่างทางกลับมาด้วย”
“พ่อบอกให้ผมกลับบ้านพรุ่งนี้ ให้ผมไปคารวะหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งการต่อสู้พร้อมกับพ่อและอา”
“อารองของผมเป็นนายพลระดับเก้าดาวนะ คราวนี้ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญต่อการเติบโตของกระกูลโจว ถ้าหากได้พบกับหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งการต่อสู้ กระกูลโจวของเราอาจจะสามารถยกระดับขึ้นไปเป็นตระกูลขั้นสองหรืออาจะเป็นมหาเศรษฐีขั้นสูงสุดเลยก็ได้”
“นอกจากนี้ อารองได้รับปากกับพ่อของผมแล้วว่า ถึงตอนนั้น เขาจะไปขอให้หงส์ปัณฑูรเทพีแห่งการต่อสู้เป็นพยานบุคคลสำหรับการแต่งงานของเราด้วย”
หยางลี่ได้ฟังแล้ว ตื่นเต้นดีใจจนรีบถาโถมเข้าจูบโจวห้าว
“จริงเหรอคะพี่ห้าว พี่ดีกับฉันมากเลยจริง ๆ นะคะ พี่ห้าวคะ หงส์ปัณฑูรเทพีแห่งการต่อสู้ระดับเจ็ดดาวอะไรนั่นจะมีฐานะและตำแหน่งสูงกว่าอารองของพี่ห้าวอีกเหรอคะ?”
“ของมันแน่อยู่แล้วน่ะสิ อารองของผมเป็นแค่นายพลเท่านั้น แต่หงส์ปัณฑูรเป็นถึงเทพีแห่งการต่อสู้ และยังเป็นเทพีแห่งการต่อสู้ระดับเจ็ดดาวด้าย นี่มันคนละชั้นกันเลยล่ะ!”
ฟู่!
หยางลี่ตกตะลึงด้วยคำพูดของโจวห้าว ในขณะเดียวกัน ภายในใจของเธอก็เกิดความตื่นเต้นและดีใจมาก และเธอเองรู้สึกโชคดีมากๆ ที่เลือกมาอยู่กับโจวห้าวเมื่อห้าปีก่อน
“พี่ห้าว ฮือๆ ...พี่ดีกับฉันมากจริง ๆ นะคะ ฉันจะมีลูกให้คุณค่ะ มีเป็นฝูงเลย!”
หยางลี่ตื่นเต่นจนน้ำตาไหลลงมา ก่อนจะกระโดดใส่โจวห้าวราวกับคนบ้า!
......
ในบาร์
ฉินเป่ยได้จองห้องวีไอพีห้องหนึ่ง พร้อมกับสั่งเหล้ามาเต็มโต๊ะ เขาเปิดเพลง ก่อนจะดื่มจนเมาแล้วนอนหลับไปบนโซฟาอย่างรวดเร็ว
เขาเพิ่งนอนหลับไปได้ไม่นาน หญิงสาวมาดนักรบหน้าตางดงามสองคนก็ดันประตูเข้ามา
“ในที่สุดก็ตามตาคนนี้พบจนได้ ท่านนายพล ท่านแน่ใจเหรอคะว่าเขาเป็นคู่หมั้นที่ท่านไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนั้นน่ะ?”
“ทำไมเป็นตาขี้เหล้าด้วยล่ะ?”
“อันหนิง หุบปากซะ!”
หญิงสาวที่ถูกเรียกขานว่า ‘นายพล’ คนนั้นสวยแบบสาวงามล่มเมือง เธอผูกทรงผมเป็นหางม้า รูปร่างงดงามท่าทางสง่า บรรยากาศรอบตัวแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวด ดวงตากลมโตที่ทั้งโลดแล่นและล้ำลึก กับใบหน้าขาวซีดราวไร้โลหิตที่เหมือนกับสามารถม้วยได้ตลอดทุกเมื่อ
เธอนามว่า อวี่เจียวหรง เป็นเทพีแห่งการต่อสู้ระดับเจ็ดดาวคนใหม่ของหน่วยสู้รบ หรือฉายาก็คือ หงส์ปัณฑูร!
อวี่เจียวหรงกระแอ่มไอ เธอมองดูฉินเป่ยที่กำลังนอนหลับเป็นตายอยู่บนโซฟา ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ พ่อมารับฉันที่สนามบิน ระหว่างทาง พ่อกับฉันถูกพวกนักรบจากตระกูลศัตรูซุ่มโจมตี ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด”
“ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีพระคุณคนหนึ่ง พ่อกับฉันก็คงจะตายไปนานแล้ว...”
“หลังจากนั้นผู้มีพระคุณคนนั้นก็ยังให้ความช่วยเหลือฉันและตระกูลอวี่มาหลายครั้ง เขาเป็นคนพระคุณต่อตระกูลหยูของฉันมาก พ่ออยากให้ฉันแต่งงานกับลูกของเขาเพื่อตอบแทนความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ แต่เขาบอกว่าเขาไร้ญาติขาดมิตร มีแต่ลูกศิษย์ธรรมดาคนเดียว”
“ดังนั้น พ่อก็เลยให้ฉันแต่งงานกับลูกศิษย์ของผู้มีพระคุณคนนั้น ซึ่งก็คือ ฉินเป่ย!”
“เเหวนที่เขาสวมอยู่นั้นเป็นคู่เดียวกันกับเเหวนของฉัน ไม่ผิดตัวแน่”
อวี่เจียวหรงเอาเเหวนเก่าวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เเล้วสวมบนนิ้วมือ การพูดเสียยาวเหยียดขนาดนี้ทำเอาสีหน้าของเธอซีดเซียว และการหายใจก็ติดชัด
เเต่ว่าอันหนิงก็ยังไม่ยอมรับในตัวฉินเป่ยอยู่ดี
“นายพลคะ นี่สมัยไหนเเล้ว ทำไมท่านอายังมีแนวคิดหัวโบราณขนาดนี้ล่ะคะ? ทำแบบนี้ก็เหมือนเอาความสุขทั้งชีวิตของท่านมาล้อเล่นไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันยอมรับว่าอาจารย์ของฉินเป่ยเป็นคนที่มีพระคุณของตระกูลนายพลจริง ๆ เเต่ยังไงก็ไม่ควรให้คุณเเต่งงานกับฉินเป่ยอย่างง่ายดายขนาดนี้ ท่านดูสิ ฉินเป่ยเหมือนพวกผู้ชายจน ๆ คนธรรมดา ซึ่งไร้พละกำลัง”
“เขาไม่คู่ควรกับท่านนายพลหรอกค่ะ เขาเคยถูกขังที่เรือนจำ เเละยังถูกคนรักตัวเองทรยศมาไม่นานนี้ ฉันเเน่ใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขาได้เห็นว่าตอนนี้เขาตกอับเช่นนี้ อาจารย์ของเขาคงอยากตบหน้าเขาสักฉาด แล้วก็ต้องเสียใจที่ยอมรับลูกศิษย์แบบเขามา”
“นายพลคะ ท่านเป็นเทพีแห่งสงครามระดับเจ็ดดาวผู้ทรงเกียรติ ในสงครามเมื่อสามเดือนก่อน ท่านคนเดียวเคยสู้กับเทพเจ้าการต่อสู้สามคนของประเทศศัตรูทิศเหนือ ท่านได้ตัดคอสองคน อีกคนหนึ่งก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก”
“แต่ท่านก็ได้ชดใช้ต่อศึกครั้งนั้นไปไม่น้อย ร่างกายของท่านอ่อนแออย่างหนัก เหล่าเทพแห่งการแพทย์ชั้นนำหลายคนต่างมารวมตัวกันที่หน่วยสู้รบ ออกคำสั่งทหารว่าต้องรักษาท่านให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม!”
“แต่เหตุใดท่านถึงไม่ยอมฟังการจัดการของกรมการทหาร กลับหนีออกมาหาฉินเป่ยที่เมืองหยางตูนี่”
“ท่านนายพลคะ ฉันขอร้องให้ท่านเลิกสนใจเรื่องนี้แล้วกลับไปรับการรักษาจากเทพแห่งการแพทย์ที่กรมการทหารเถอะนะคะ!”
อันหนิงรีบคุกเข่าลงมาพร้อมน้ำตาไหลเหมือนฝนตกปรอยๆ
“เเค่ก!”
อวี่เจียวหรงไออีกครั้ง เลือดซึมซืมออกจากมุมปาก เธอตบบ่าของอันหนิงเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “อันหนิง มันไม่มีประโยชน์หรอก เหล่าเทพแห่งการแพทย์มีฝีมือการรักษาสูงส่งก็จริง เเต่ฉันก็เข้าใจดีว่า ไม่มีใครสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของฉันได้ อาการบาดเจ็บของฉันมีเพียงผู้มีพระคุณคนนั้นที่รักษาได้”
“แต่ฉันจะไปหาผู้มีพระคุณคนนั้นที่ไหนกัน? บุญคุณที่ติดค้างเขาไว้ฉันยังไมได้ตอบแทนเลยแม้แต่น้อย แล้วฉันจะยังมีหน้าไปรบกวนเขาอีกได้ยังไง ชีวิตของฉันคงเหลืออีกไม่นานเเล้ว ฉันอวี่เจียวหรงคนนี้จะไม่ผิดต่อดินแดนจะไม่ผิดต่อตระกูลอวี่ เมื่อก่อนได้สัญญากับคนที่มีพระคุณว่าจะเป็นภรรยาของฉินเป่ย แล้วฉันจะตระบัดสัตย์การแต่งงานได้ยังไง?”
“ระหว่างชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันนั้น ฉันอยากเป็นเเค่ผู้หญิงธรรมดา ไปอยู่กับฉินเป่ยเท่านั้น”
“เเม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ซึ่งไร้ความสามารถ ฉันก็จะยอมอยู่กับเขา เป็นผู้ผ่านทางคนหนึ่งในชีวิตเขา และเมื่อใดก็ตามที่วันนั้นใกล้จะมาถึง ฉันจะจากไปอย่างเงียบ ๆ”
“อันหนิง พาเขากลับ!”
เมื่อพูดจบ ใบหน้าขาวซีดเซียวของอวี่เจียวเฉียวหรงก็ได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น งามนดุจสายธารา!
......
เช้าตรู่วันที่สอง ฉินเป่ยตื่นมาจากอาการเมาเหล้า หัวเขาปวดจนเเทบจะเเตก คำเเรกที่เขาพูดขึ้นมาก็คือ จะดื่มน้ำ
เเต่จู่ ๆ เขารู้สึกว่านี่มันเเปลกไป
เพราะว่า ที่นี่ไม่ใช่บาร์!
“นี่มันที่ไหนกัน?”
ฉินเป่ยนวดหัวของตัวเอง ก่อนจะมองดูรอบ ๆ ด้วยความมึนงง ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่าตนเองกำลังนอนบนเตียงใหญ่เตียงหนึ่ง!
นี่มันเป็นห้องนอนของผู้หญิง!
ขณะนี้
เสียงดัง “ตึง” ดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดออก
อวี่เจียวหรงเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำในมือ
“ตื่นเเล้วเหรอ ดื่มน้ำเถอะ!”
ฉินเป่ยตะลึงทันที
“หา คุณ คุณคือใคร เเล้วผมอยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้กี่โมงเเล้ว ผมจำได้ว่าเมื่อคืนผมอยู่ในบาร์...”
เสียงของฉินเป่ยหยุดชะงักเพราะเขาเห็นว่าผูหญิงที่ยืนตรงหน้าใส่เพียงเสื้อนอนบางเบาโปร่งใสตังบาเกือบจะเห็นถึงเรือนร่างด้านใน ส่วนเว้นเว้าโค้งที่พอได้เห็นเป็นสัดส่วน ดึงดูดสายตาสุด ๆ!
หือ?
ผู้หญิงคนนี้อาการบาดเจ็บหนักเลยนะ แล้วยังเป็นนักรบเสียด้วย!
เธอคือใครกันแน่?