หลี่โม่พูดปลอบใจฉินจี้เย่ ใจของฉินจี้เย่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าในการเริ่มต้นทำงานกับหลี่โม่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้ตระกูลฉินกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในประเทศให้ได้เฉินเสี่ยวถงมองลุงฝู กู้หยุนหลานปลอบเธอ จากนั้นก็ขยิบตาให้หลี่โม่บอกหลี่โม่ว่าไปได้แล้วหลี่โม่ตบไหล่ของฉินจี้เย่ แล้วพูดยิ้ม ๆ “รักษาอาการป่วยให้หายดี เราไปก่อนนะ”“กลับดี ๆ นะครับ ถ้ามีอะไรที่ต้องทำคุณแค่โทรหาผมก็พอ แม้ว่าสองวันนี้ผมจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ตระกูลฉินมีคนมากมายที่พร้อมช่วยเหลือคุณ”หลี่โม่โบกมือยิ้ม ๆ พากู้หยุนหลานกับเฉินเสี่ยวถงออกไปหลังจากออกจากอาคารผู้ป่วยในแล้ว กู้หยุนหลานก็แกว่งโทรศัพท์กับหลี่โม่ “แม่ฉันส่งข้อความมาบอกว่าหวังจงฉวนใกล้จะถึงแล้ว ให้พวกเราจับคู่หวังจงฉวนกับเฉินเสี่ยวถงให้ดี”เฉินเสี่ยวถงเบะปาก ดึงแขนของกู้หยุนหลานแล้วเขย่าเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ“งั้นก็เจอดู ไม่แน่บางทีเสี่ยวถงกับหวังจงฉวนอาจตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็นก็ได้” หลี่โม่พูดล้อเล่น“ฉันไม่ตกหลุมรักผู้ชายตั้งแต่แรกเห็นหรอกนะคะ”เฉินเสี่ยวถงเชิดคอราวกับหงส์ที่เย่อหยิ่งหลี่โม
“พี่ไว้ใจเขาจริง ๆ นะเนี่ย” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างอิจฉา“เหอะ ๆ นี่ไม่ใช่ความไว้ใจหรอก แต่เราเชื่อใจซึ่งกันและกัน”เฉินเสี่ยวถงก้มหน้าไม่พูดอะไร คิดในใจว่าความเชื่อใจคือเพราะว่ามีข้อต่อรองในการทรยศไม่เพียงพอ ถ้ามีข้อต่อรองเพียงพออยู่ต่อหน้าจริง ๆ หลี่โม่คงจะต้องทรยศอย่างแน่นอนถ้าใช้การช่วยเขาโค่นล้มราชินีมังกรมาเป็นข้อต่อรอง ไม่รู้ว่าหลี่โม่จะทรยศกู้หยุนหลานหรือเปล่าเฉินเสี่ยวถงครุ่นคิดเงียบ ๆ ไม่ได้สังเกตว่ากู้หยุนหลานกำลังสังเกตสีหน้าของเธออย่างจริงจังหลี่โม่ขับรถออกจากลานจอดรถ พลางต่อสายหาชูจงเทียนด้วยไม่นานก็โทรติด เสียงของชูจงเทียนเห็นได้ชัดว่ากังวลเล็กน้อย “คุณหลี่”“ทำไมคุณดูกังวลจัง สองวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง การเตรียมการแข่งขันชกมวยใต้ดินนานาชาติเป็นยังไงบ้าง?” หลี่โม่ถามอย่างสบาย ๆชูจงเทียนมองซ้ายทีขวาที จากนั้นหลบเข้าไปด้านในสุดของห้องน้ำ“คุณหลี่ครับ นักมวยมาถึงหลายคนแล้ว สองวันมานี้ผมอยู่กับพวกเขาตลอด มักจะมีคนจ้องมองผมอยู่ตลอด ผมเลยไม่กล้าโทรหาคุณ พวกนักมวยมันบ้ามากจริง ๆ !”หลี่โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามอย่างสงสัย “คุณถูกควบคุมอิสรภาพเหรอ?”“ไม่ครับ แต่ก็เกื
ทอมป์สันและเคลตี้กำลังนั่งดูการฝึกซ้อมอยู่ข้างสังเวียนด้วยกัน เป็นการต่อสู้ของนักชกผิวขาวกับนักชกผิวดำ ทั้งสองต่างไม่ได้สวมนวมและอุปกรณ์ป้องกัน ของอย่างนวมและอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสังเวียนมวยใต้ดินระดับนานาชาติอยู่แล้ว เพราะไม่มีเหล่านักชกคนไหนคำนึงถึงชีวิต การต่อสู้ในสังเวียนสามารถเรียกได้เลยว่าต่อยให้ตายกันไปข้าง บ่อยครั้งที่มีแต่ต้องสังหารคู่ต่อสู้เท่านั้น การแข่งขันยกหนึ่งถึงจะสิ้นสุดลง ผู้แพ้ในการแข่งมวยใต้ดินนานาชาติ ถึงขั้นที่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรอดชีวิตลงจากสังเวียนได้ ถึงพวกเขาจะรอดมาได้ด้วยโชคช่วย แต่ส่วนใหญ่ก็มักทำได้เพียงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียงเท่านั้น สองคนบนสังเวียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด นักชกไวลด์การ์ดจำนวนไม่น้อยส่งเสียงเชียร์อยู่รอบ ๆ การซ้อมต่อสู้ยกนี้สู้ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน สองคนบนสังเวียนกำปั้นปะทะเนื้อ บนร่างของพวกเขาล้วนมีเลือดสาดกระเซ็น ชูจงเทียนมองดูสถานการณ์บนสังเวียน สีหน้าพลันซีดเผือดลงเล็กน้อย เขาเดินค้อมตัวไปหาทอมป์สันและเคลตี้ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ทั้งสองท่าน ผมต้องไปซื้อของนิดหน่อยในเมือง จึง
”เลือดที่เอามาจากบนสังเวียนอาจไม่เหมาะสำหรับการทดลอง เพราะมันเป็นไปได้ที่จะเลือดของทั้งสองฝ่ายจะผสมปนเปกัน หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุอื่นขึ้นมาก็ได้ ต้องคว้าทุกโอกาสเอาไว้เพื่อให้ได้ตัวอย่างทดลองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่อยากทำให้ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ไม่พอใจ” “ก็ได้ นายพูดมีเหตุผลมาก ถึงยังไงปฏิบัติการก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของนาย บอกแผนการของนายมาแล้วกัน” เคลตี้ยักไหล่แล้วเลิกขัดคอทอมป์สัน ทอมป์สันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูกล้องวงจรปิด “บนรถและบนตัวของชูติดเครื่องติดตามไว้หมดแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางหนีรอด จะได้เอาพวกยอดฝีมือกังฟูที่จ้างมาจากไชน่าทาวน์พวกนั้นมาใช้เสียที หวังว่าพวกเขาจะสามารถทำร้ายหลี่โม่ได้นะ” “จะไปเอาอะไรกับลิงเหลืองพวกนั้น ฉันยังสงสัยเลยว่าพวกมันจะใช้หลอดทดลองเก็บเลือดเป็นหรือเปล่า” เคลตี้เอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกลิงเหลืองรับหน้าที่แค่ต่อสู้เท่านั้น งานเทคนิคอย่างการเก็บตัวอย่างเลือดน่ะนายเป็นคนไปทำ” ทอมป์สันพูดกลั้วหัวเราะ เคลตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย อยากจะค้านคำพูดของทอมป์สันแต่จนแล้วจนรอดก็ยังอดกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรทอมป์สันก็ตำแหน่งสูงกว่าเขา นอกจา
“ประกาศศักดาเหรอครับ?” ชูจงเทียนเกาหัว “ใช้การแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาติมาประกาศศักดา คุณเองก็เล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่าครับ อย่าว่าแค่ภายในประเทศเลย แม้แต่ในระดับนานาชาติก็ยังไม่มีใครกล้าทำแบบนี้เลย” “ไม่มีวิธีแล้ว สถานการณ์ซับซ้อนเกินไป มีหลายอย่างที่ผมบอกคุณอย่างละเอียดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องแสดงอำนาจความแข็งแกร่งออกมา ไม่อย่างนั้น น่ากลัวว่าจะมีใครบางคนเกิดความคิดไม่ซื่อขึ้นมา” หลี่โม่ต้องแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา ไม่เพียงเพื่อให้ราชินีมังกรเห็นแต่ยังทำเพื่อให้จ้าวมังกรทั้งแปดเห็นด้วยเช่นกัน มีเพียงต้องแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมาเท่านั้น ถึงอาจจะพอทำให้คนที่ไม่พอใจในตัวเขาเกิดเกรงกลัวและอาจทำให้คนที่เป็นกลางเอนเอียงมาทางเขาได้อีกด้วย ตอนที่ภายในแดนมังกรท่าทีของจ้าวมังกรทั้งแปดต่างคลุมเครืออย่างมาก รวมไปถึงท่านปาจ้าวมังกรลำดับแปดที่ต่อหน้าแสร้งทำเป็นศิโรราบไปแล้วก็คงจะดีดลูกคิดคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองแล้วเหมือนกัน ระหว่างหลี่โม่กับราชินีมังกรยังไม่ถึงบทสรุปสุดท้ายว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร เกรงว่าจ้าวมังกรทั้งแปดล้วนไม่อาจแสดงท่าทีออกมาได้อย่างชัดเจน หลี่โม่จำเป็นต้องดึงดูดค
หลี่โม่เอ่ยกำชับ ในตอนที่ชูจงเทียนเดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัว ประตูห้องก็ถูกคนถีบเข้ามาจากข้างนอก ชายฉกรรจ์สามสี่คนในชุดคอจีนกำลังยืนตระหง่านอยู่นอกประตู “พวกแกจะทำอะไร!” ชูจงเทียนตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “อย่ามาขวางทางโว้ย พวกข้ามาหาคน!” ชายฉกรรจ์ที่นำอยู่ด้านหน้ากวาดตามองหลี่โม่ ก่อนจะส่งสัญญาณด้วยมือซ้ายที่ไพล่อยู่ข้างหลัง จากนั้นแววตาของชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็วาบประกายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาพลันสูดหายใจลึกแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ “ทั้งกรุงโซลคือถิ่นของฉัน มาวางก้ามโอหังในถิ่นของฉัน พวกแกอยากรนหาที่ตายนักใช่ไหม” ชูจงเทียนวางมาดแสดงบารมี เตรียมจะใช้อำนาจสยบชายฉกรรจ์เหล่านี้ “รีบไสหัวไปซะไอ้แก่ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าแกซะ” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าผลักชูจงเทียนออก รูม่านตาของชูจงเทียนหดเล็ก รู้สึกว่าแรงผลักของอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยังใช้กำลังภายในอีกด้วย ชูจงเทียนจึงก้าวถอยหลังแล้วบิดเอวเบี่ยงหลบการผลักนี้ของอีกฝ่าย “โอ้โหเฮ้ย แกก็มีวิชาอยู่บ้างนี่หว่า รู้จักหลบก็ไปให้พ้นซะ ถ้าไม่พอใจก็เข้ามาประมือกับข้าได้เลย ข้าเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งแห่งไชน่าทาวน์เซียงซาน กังฟูหงฉว
เฉินเจียตั๋วพินิจหลี่โม่เล็กน้อย หลังจากยืนยันแล้วว่าหลี่โม่คือเป้าหมายที่ตนกำลังตามหาบนใบหน้าก็พลันเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมา “มาเลย ถ้าจะลงมือก็รีบ ๆ เข้า ฉันจะซัดแกให้ฟันร่วงหมดปาก” เฉินเจียตั๋วพูดจบก็กระดิกนิ้วเรียกหลี่โม่ หลี่โม่ยิ้มเย็นชาพลางมองไปที่พวกชายฉกรรจ์ข้างหลังเฉินเจียตั๋ว “พวกแกเองก็เข้ามาพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องจัดการทีละคน แบบนั้นมันน่ารำคาญ” “ไอ้เวร แกใจกล้านักนะ หัวหน้า ไอ้หมอนี่มันจองหองเกินไปแล้ว ให้พวกเราสั่งสอนมันให้รู้สำนึกเถอะครับ!” “จัดการทีละคนมันน่ารำคาญงั้นเหรอ ไอ้กระจอกอย่างแกมีแต่ถูกพวกเรากระทืบเท่านั้นแหละ เดี๋ยวจะอัดให้พ่อแม่แกจำไม่ได้เลย” เฉินเจียตั๋วยืนเอามือไพล่หลังเย่อหยิ่งวางมาดเป็นคนมีฝีมือ “หึหึ ในเมื่อแกไม่รู้อะไรเป็นอะไรขนาดนี้ งั้นก็ให้พวกลูกน้องของฉันช่วยสั่งสอนแกให้หนักสักหน่อยแล้วกัน พวกนายรุมมันเข้าไป สนองความต้องการของมันหน่อย” ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วเข้าไปล้อมกรอบหลี่โม่เอาไว้ทันที “ตายซะเถอะ! อวดดีนัก!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่หน้าหลี่โม่ก่อน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็พากันพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่โม่จากรอบด
ชูจงเทียนพูดอย่างกังวลใจ “ไอ้สกุลเฉิน แกเล่นขี้โกงนี่หว่า พอสู้ด้วยวิชาไม่ได้ก็ชักปืนออกมา ไม่เคยเห็นใครที่น่าอับอายขนาดนี้เท่าแกมาก่อนเลย” “ฮ่าฮ่า อายไม่อายแกไม่ใช่คนตัดสิน คนชนะต่างหากถึงจะพูดได้ ฉันมีปืนอยู่ในมือ พวกแกทุกคนก็ต้องเชื่อฟัง” เฉินเจียตั๋วพูดอย่างไร้ยางอาย ในขณะเดียวกันสายตาก็มองไปทางชูจงเทียน จึงเสียสมาธิเล็กน้อย ร่างของหลี่โม่โยกไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลันเคลื่อนไหวเป็นเส้นโค้งและปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ตัวเฉินเจียตั๋วในชั่วพริบตา ในตอนที่เฉินเจียตั๋วรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว ขณะที่เขากำลังจะยกปืนขึ้นเล็งไปที่หลี่โม่นั้น มือของหลี่โม่ก็คว้าข้อมือของเฉินเจียตั๋วเอาไว้ได้แล้ว เมื่อเขาออกแรงบีบ เสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นกร๊อบ ๆ จากนั้นเฉินเจียตั๋วก็รู้สึกว่ามือไร้เรี่ยวแรงและถูกหลี่โม่แย่งปืนในมือไปแล้ว หลี่โม่ถือปืนจ่อที่ด้านหลังหัวของเฉินเจียตั๋ว แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บอกมาว่าใครเป็นคนบงการ หาเรื่องฉันทำไม” “ไม่ ไม่มีใครบงการ ฉันไม่ได้มาหาเรื่องนายสักหน่อย ก็แค่อยากหาคนมาประลองวิชากันสักหน่อยเท่านั้น” เฉินเจียตั๋วพยายามกดกลั้นความหวาดกลัวในใจพลางเอ่ยขึ้น “หึ