หลี่โม่พูดปลอบใจฉินจี้เย่ ใจของฉินจี้เย่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าในการเริ่มต้นทำงานกับหลี่โม่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้ตระกูลฉินกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในประเทศให้ได้เฉินเสี่ยวถงมองลุงฝู กู้หยุนหลานปลอบเธอ จากนั้นก็ขยิบตาให้หลี่โม่บอกหลี่โม่ว่าไปได้แล้วหลี่โม่ตบไหล่ของฉินจี้เย่ แล้วพูดยิ้ม ๆ “รักษาอาการป่วยให้หายดี เราไปก่อนนะ”“กลับดี ๆ นะครับ ถ้ามีอะไรที่ต้องทำคุณแค่โทรหาผมก็พอ แม้ว่าสองวันนี้ผมจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ตระกูลฉินมีคนมากมายที่พร้อมช่วยเหลือคุณ”หลี่โม่โบกมือยิ้ม ๆ พากู้หยุนหลานกับเฉินเสี่ยวถงออกไปหลังจากออกจากอาคารผู้ป่วยในแล้ว กู้หยุนหลานก็แกว่งโทรศัพท์กับหลี่โม่ “แม่ฉันส่งข้อความมาบอกว่าหวังจงฉวนใกล้จะถึงแล้ว ให้พวกเราจับคู่หวังจงฉวนกับเฉินเสี่ยวถงให้ดี”เฉินเสี่ยวถงเบะปาก ดึงแขนของกู้หยุนหลานแล้วเขย่าเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ“งั้นก็เจอดู ไม่แน่บางทีเสี่ยวถงกับหวังจงฉวนอาจตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็นก็ได้” หลี่โม่พูดล้อเล่น“ฉันไม่ตกหลุมรักผู้ชายตั้งแต่แรกเห็นหรอกนะคะ”เฉินเสี่ยวถงเชิดคอราวกับหงส์ที่เย่อหยิ่งหลี่โม
“พี่ไว้ใจเขาจริง ๆ นะเนี่ย” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างอิจฉา“เหอะ ๆ นี่ไม่ใช่ความไว้ใจหรอก แต่เราเชื่อใจซึ่งกันและกัน”เฉินเสี่ยวถงก้มหน้าไม่พูดอะไร คิดในใจว่าความเชื่อใจคือเพราะว่ามีข้อต่อรองในการทรยศไม่เพียงพอ ถ้ามีข้อต่อรองเพียงพออยู่ต่อหน้าจริง ๆ หลี่โม่คงจะต้องทรยศอย่างแน่นอนถ้าใช้การช่วยเขาโค่นล้มราชินีมังกรมาเป็นข้อต่อรอง ไม่รู้ว่าหลี่โม่จะทรยศกู้หยุนหลานหรือเปล่าเฉินเสี่ยวถงครุ่นคิดเงียบ ๆ ไม่ได้สังเกตว่ากู้หยุนหลานกำลังสังเกตสีหน้าของเธออย่างจริงจังหลี่โม่ขับรถออกจากลานจอดรถ พลางต่อสายหาชูจงเทียนด้วยไม่นานก็โทรติด เสียงของชูจงเทียนเห็นได้ชัดว่ากังวลเล็กน้อย “คุณหลี่”“ทำไมคุณดูกังวลจัง สองวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง การเตรียมการแข่งขันชกมวยใต้ดินนานาชาติเป็นยังไงบ้าง?” หลี่โม่ถามอย่างสบาย ๆชูจงเทียนมองซ้ายทีขวาที จากนั้นหลบเข้าไปด้านในสุดของห้องน้ำ“คุณหลี่ครับ นักมวยมาถึงหลายคนแล้ว สองวันมานี้ผมอยู่กับพวกเขาตลอด มักจะมีคนจ้องมองผมอยู่ตลอด ผมเลยไม่กล้าโทรหาคุณ พวกนักมวยมันบ้ามากจริง ๆ !”หลี่โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามอย่างสงสัย “คุณถูกควบคุมอิสรภาพเหรอ?”“ไม่ครับ แต่ก็เกื
ทอมป์สันและเคลตี้กำลังนั่งดูการฝึกซ้อมอยู่ข้างสังเวียนด้วยกัน เป็นการต่อสู้ของนักชกผิวขาวกับนักชกผิวดำ ทั้งสองต่างไม่ได้สวมนวมและอุปกรณ์ป้องกัน ของอย่างนวมและอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสังเวียนมวยใต้ดินระดับนานาชาติอยู่แล้ว เพราะไม่มีเหล่านักชกคนไหนคำนึงถึงชีวิต การต่อสู้ในสังเวียนสามารถเรียกได้เลยว่าต่อยให้ตายกันไปข้าง บ่อยครั้งที่มีแต่ต้องสังหารคู่ต่อสู้เท่านั้น การแข่งขันยกหนึ่งถึงจะสิ้นสุดลง ผู้แพ้ในการแข่งมวยใต้ดินนานาชาติ ถึงขั้นที่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรอดชีวิตลงจากสังเวียนได้ ถึงพวกเขาจะรอดมาได้ด้วยโชคช่วย แต่ส่วนใหญ่ก็มักทำได้เพียงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียงเท่านั้น สองคนบนสังเวียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด นักชกไวลด์การ์ดจำนวนไม่น้อยส่งเสียงเชียร์อยู่รอบ ๆ การซ้อมต่อสู้ยกนี้สู้ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน สองคนบนสังเวียนกำปั้นปะทะเนื้อ บนร่างของพวกเขาล้วนมีเลือดสาดกระเซ็น ชูจงเทียนมองดูสถานการณ์บนสังเวียน สีหน้าพลันซีดเผือดลงเล็กน้อย เขาเดินค้อมตัวไปหาทอมป์สันและเคลตี้ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ทั้งสองท่าน ผมต้องไปซื้อของนิดหน่อยในเมือง จึง
”เลือดที่เอามาจากบนสังเวียนอาจไม่เหมาะสำหรับการทดลอง เพราะมันเป็นไปได้ที่จะเลือดของทั้งสองฝ่ายจะผสมปนเปกัน หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุอื่นขึ้นมาก็ได้ ต้องคว้าทุกโอกาสเอาไว้เพื่อให้ได้ตัวอย่างทดลองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่อยากทำให้ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ไม่พอใจ” “ก็ได้ นายพูดมีเหตุผลมาก ถึงยังไงปฏิบัติการก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของนาย บอกแผนการของนายมาแล้วกัน” เคลตี้ยักไหล่แล้วเลิกขัดคอทอมป์สัน ทอมป์สันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูกล้องวงจรปิด “บนรถและบนตัวของชูติดเครื่องติดตามไว้หมดแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางหนีรอด จะได้เอาพวกยอดฝีมือกังฟูที่จ้างมาจากไชน่าทาวน์พวกนั้นมาใช้เสียที หวังว่าพวกเขาจะสามารถทำร้ายหลี่โม่ได้นะ” “จะไปเอาอะไรกับลิงเหลืองพวกนั้น ฉันยังสงสัยเลยว่าพวกมันจะใช้หลอดทดลองเก็บเลือดเป็นหรือเปล่า” เคลตี้เอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกลิงเหลืองรับหน้าที่แค่ต่อสู้เท่านั้น งานเทคนิคอย่างการเก็บตัวอย่างเลือดน่ะนายเป็นคนไปทำ” ทอมป์สันพูดกลั้วหัวเราะ เคลตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย อยากจะค้านคำพูดของทอมป์สันแต่จนแล้วจนรอดก็ยังอดกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรทอมป์สันก็ตำแหน่งสูงกว่าเขา นอกจา
“ประกาศศักดาเหรอครับ?” ชูจงเทียนเกาหัว “ใช้การแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาติมาประกาศศักดา คุณเองก็เล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่าครับ อย่าว่าแค่ภายในประเทศเลย แม้แต่ในระดับนานาชาติก็ยังไม่มีใครกล้าทำแบบนี้เลย” “ไม่มีวิธีแล้ว สถานการณ์ซับซ้อนเกินไป มีหลายอย่างที่ผมบอกคุณอย่างละเอียดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องแสดงอำนาจความแข็งแกร่งออกมา ไม่อย่างนั้น น่ากลัวว่าจะมีใครบางคนเกิดความคิดไม่ซื่อขึ้นมา” หลี่โม่ต้องแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา ไม่เพียงเพื่อให้ราชินีมังกรเห็นแต่ยังทำเพื่อให้จ้าวมังกรทั้งแปดเห็นด้วยเช่นกัน มีเพียงต้องแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมาเท่านั้น ถึงอาจจะพอทำให้คนที่ไม่พอใจในตัวเขาเกิดเกรงกลัวและอาจทำให้คนที่เป็นกลางเอนเอียงมาทางเขาได้อีกด้วย ตอนที่ภายในแดนมังกรท่าทีของจ้าวมังกรทั้งแปดต่างคลุมเครืออย่างมาก รวมไปถึงท่านปาจ้าวมังกรลำดับแปดที่ต่อหน้าแสร้งทำเป็นศิโรราบไปแล้วก็คงจะดีดลูกคิดคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองแล้วเหมือนกัน ระหว่างหลี่โม่กับราชินีมังกรยังไม่ถึงบทสรุปสุดท้ายว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร เกรงว่าจ้าวมังกรทั้งแปดล้วนไม่อาจแสดงท่าทีออกมาได้อย่างชัดเจน หลี่โม่จำเป็นต้องดึงดูดค
หลี่โม่เอ่ยกำชับ ในตอนที่ชูจงเทียนเดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัว ประตูห้องก็ถูกคนถีบเข้ามาจากข้างนอก ชายฉกรรจ์สามสี่คนในชุดคอจีนกำลังยืนตระหง่านอยู่นอกประตู “พวกแกจะทำอะไร!” ชูจงเทียนตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “อย่ามาขวางทางโว้ย พวกข้ามาหาคน!” ชายฉกรรจ์ที่นำอยู่ด้านหน้ากวาดตามองหลี่โม่ ก่อนจะส่งสัญญาณด้วยมือซ้ายที่ไพล่อยู่ข้างหลัง จากนั้นแววตาของชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็วาบประกายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาพลันสูดหายใจลึกแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ “ทั้งกรุงโซลคือถิ่นของฉัน มาวางก้ามโอหังในถิ่นของฉัน พวกแกอยากรนหาที่ตายนักใช่ไหม” ชูจงเทียนวางมาดแสดงบารมี เตรียมจะใช้อำนาจสยบชายฉกรรจ์เหล่านี้ “รีบไสหัวไปซะไอ้แก่ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าแกซะ” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าผลักชูจงเทียนออก รูม่านตาของชูจงเทียนหดเล็ก รู้สึกว่าแรงผลักของอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยังใช้กำลังภายในอีกด้วย ชูจงเทียนจึงก้าวถอยหลังแล้วบิดเอวเบี่ยงหลบการผลักนี้ของอีกฝ่าย “โอ้โหเฮ้ย แกก็มีวิชาอยู่บ้างนี่หว่า รู้จักหลบก็ไปให้พ้นซะ ถ้าไม่พอใจก็เข้ามาประมือกับข้าได้เลย ข้าเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งแห่งไชน่าทาวน์เซียงซาน กังฟูหงฉว
เฉินเจียตั๋วพินิจหลี่โม่เล็กน้อย หลังจากยืนยันแล้วว่าหลี่โม่คือเป้าหมายที่ตนกำลังตามหาบนใบหน้าก็พลันเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมา “มาเลย ถ้าจะลงมือก็รีบ ๆ เข้า ฉันจะซัดแกให้ฟันร่วงหมดปาก” เฉินเจียตั๋วพูดจบก็กระดิกนิ้วเรียกหลี่โม่ หลี่โม่ยิ้มเย็นชาพลางมองไปที่พวกชายฉกรรจ์ข้างหลังเฉินเจียตั๋ว “พวกแกเองก็เข้ามาพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องจัดการทีละคน แบบนั้นมันน่ารำคาญ” “ไอ้เวร แกใจกล้านักนะ หัวหน้า ไอ้หมอนี่มันจองหองเกินไปแล้ว ให้พวกเราสั่งสอนมันให้รู้สำนึกเถอะครับ!” “จัดการทีละคนมันน่ารำคาญงั้นเหรอ ไอ้กระจอกอย่างแกมีแต่ถูกพวกเรากระทืบเท่านั้นแหละ เดี๋ยวจะอัดให้พ่อแม่แกจำไม่ได้เลย” เฉินเจียตั๋วยืนเอามือไพล่หลังเย่อหยิ่งวางมาดเป็นคนมีฝีมือ “หึหึ ในเมื่อแกไม่รู้อะไรเป็นอะไรขนาดนี้ งั้นก็ให้พวกลูกน้องของฉันช่วยสั่งสอนแกให้หนักสักหน่อยแล้วกัน พวกนายรุมมันเข้าไป สนองความต้องการของมันหน่อย” ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วเข้าไปล้อมกรอบหลี่โม่เอาไว้ทันที “ตายซะเถอะ! อวดดีนัก!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่หน้าหลี่โม่ก่อน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็พากันพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่โม่จากรอบด
ชูจงเทียนพูดอย่างกังวลใจ “ไอ้สกุลเฉิน แกเล่นขี้โกงนี่หว่า พอสู้ด้วยวิชาไม่ได้ก็ชักปืนออกมา ไม่เคยเห็นใครที่น่าอับอายขนาดนี้เท่าแกมาก่อนเลย” “ฮ่าฮ่า อายไม่อายแกไม่ใช่คนตัดสิน คนชนะต่างหากถึงจะพูดได้ ฉันมีปืนอยู่ในมือ พวกแกทุกคนก็ต้องเชื่อฟัง” เฉินเจียตั๋วพูดอย่างไร้ยางอาย ในขณะเดียวกันสายตาก็มองไปทางชูจงเทียน จึงเสียสมาธิเล็กน้อย ร่างของหลี่โม่โยกไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลันเคลื่อนไหวเป็นเส้นโค้งและปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ตัวเฉินเจียตั๋วในชั่วพริบตา ในตอนที่เฉินเจียตั๋วรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว ขณะที่เขากำลังจะยกปืนขึ้นเล็งไปที่หลี่โม่นั้น มือของหลี่โม่ก็คว้าข้อมือของเฉินเจียตั๋วเอาไว้ได้แล้ว เมื่อเขาออกแรงบีบ เสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นกร๊อบ ๆ จากนั้นเฉินเจียตั๋วก็รู้สึกว่ามือไร้เรี่ยวแรงและถูกหลี่โม่แย่งปืนในมือไปแล้ว หลี่โม่ถือปืนจ่อที่ด้านหลังหัวของเฉินเจียตั๋ว แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บอกมาว่าใครเป็นคนบงการ หาเรื่องฉันทำไม” “ไม่ ไม่มีใครบงการ ฉันไม่ได้มาหาเรื่องนายสักหน่อย ก็แค่อยากหาคนมาประลองวิชากันสักหน่อยเท่านั้น” เฉินเจียตั๋วพยายามกดกลั้นความหวาดกลัวในใจพลางเอ่ยขึ้น “หึ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา