สัปดาห์ต่อมา...“ไม่มีของขวัญให้ผมจริงดิ?” เจ้าของวันเกิดที่ในมือถือกล่องของขวัญใบเล็กสองชิ้นซึ่งได้รับมาจากบิดามารดา และน้องชายของเขาเอ่ยถามคนตัวเล็กข้างกาย ขณะเดินออกมาจากร้านหลังรับประทานอาหารกับครอบครัวเสร็จพวกเขานัดรับประทานอาหารและมอบของขวัญให้กับชายหนุ่มซึ่งวันนี้มีอายุครบสามสิบหกปีบริบูรณ์อย่างเรียบง่ายในช่วงค่ำของวัน"คุณก็มีทุกอย่างแล้ว จะอยากได้อะไรอีกล่ะคะ"ดารินแสร้งเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อต้องการจะแกล้ง เพราะหลังจากแยกย้ายกันกับครอบครัวดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยังคงถามเธอถึงเรื่องนี้ตลอดการทางเดินไปยังลานจอดรถ“ขึ้นรถได้แล้วค่ะ”ครั้นมาถึงรถเธอรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วเหลือบมองใบหน้าที่งอง้ำเล็กน้อยของเขา ซึ่งแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเรียบเฉยดังเดิม ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วสตาร์ทรถก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป“คืนนี้ เราไปนอนที่บ้านฉันกันเถอะค่ะ”ไม่ถึงสามนาทีที่รถเคลื่อนตัวออกมา เธอก็รีบทำลายความเงียบโดยการเอ่ยชวนเขา“อืม”ตอบกลับแค่สั้นๆ ราวกับว่ายังงอนเธอเรื่องของขวัญก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นภาคินัยก็ขับรถไปตามทางที่เธอบอกโดยไม่
“อ้อใช่! พรุ่งนี้เราต้องไปงานประมูลแทนคุณแม่นะ” ภาคินัยบอกกล่าวคนตัวเล็กทันทีที่นึกขึ้นได้ เนื่องจากมารดาส่งข้อความมาบอกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเรื่องการไปงานประมูลในวันพรุ่งนี้ดารินกำลังนั่งเช็ดผมเปียกหมาดของตนเอง หลังจากอาบน้ำใส่ชุดนอนอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง ดวงตากลมโตมองร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงผ่านกระจกใสบานเล็กแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย“ท่านกลับไปเชียงรายแล้วเหรอคะ”“เปล่าหรอก พวกท่านแค่ติดธุระนะ เราเลยต้องไปแทน”“งานใหญ่รึเปล่าคะ แล้วเรื่องชุด...” คนที่กำลังจะได้ออกงานแบบนี้ครั้งแรกดูจะตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่รีบยิงคำถามใส่รัวๆ ทำให้เขาต้องรีบบอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เธอได้เตรียมตัว“งานไม่ใหญ่มาก ส่วนเรื่องชุดกับช่างแต่งหน้าทำผม คุณแม่ติดต่อไว้ให้คุณแล้ว”“ดูน่าตื่นเต้นจังค่ะ ฉันยังไม่เคยไปงานแบบนั้นเลย”“เดี๋ยวพอไป อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ งานพวกนั้นน่าเบื่อจะตาย”เขาออกความคิดเห็นโดยไล่สายตามองไปยังโปสเตอร์นักแสดงคนโปรดที่ติดอยู่ตามผนังห้องของเธอ 'ก็ว่าอยู่ ทำไมคุยกับแม่ของเขาถูกคอนัก ชอบนักแสดงคนเดียวกันนี่เอง'อีกอย่างที่เขาพึ่งรับรู้มาว่า วันนั้นเธอไ
ร่างเล็กรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาที่แปลกไปของคนข้างกายก็เลื่อนมือไปจับชายเสื้อเขาแล้วกระตุกเบาๆ ให้รู้สึกตัว ภาคินัยรวบรวมสติที่เหมือนล่องลอยไปไกลให้กลับมาพร้อมถอนหายใจเบาๆ แล้วใช้มือใหญ่กุมไปยังมือของคนตัวเล็กอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนั้นดารินเงยมองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาด้วยความรู้สึกหลากหลาย เนื่องจากเธอสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันค่อนข้างตึงเครียด อีกทั้งเธอเองก็ไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาว่าเป็นมาอย่างไร อันนา เจ้าของใบหน้ารูปไข่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนดูโฉบเฉี่ยวเข้ากันกับผมทรงบ๊อบเทสีบลอนด์สว่าง ซึ่งขับผิวที่ขาวผ่องเป็นยองใยให้ดูโดดเด่นมากขึ้น รูปร่างสมส่วนในชุดราตรีรัดรูปตัวยาวทรงหางปลาแนบเข้ากับเรือนร่างจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างชัดเจนหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับภาคินัย ทั้งสองรู้จักและสนิทสนมกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกดีต่อกันตั้งแต่ตอนนั้น แต่กลับไม่มีฝ่ายใดยอมปริปากพูดความในใจออกมา จึงทำให้หลังจากเรียนจบคนทั้งสองก็แยกย้ายกันไปถึงสามปีและระหว่างนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยกระทั่งพวกเขากลั
เช้าวันใหม่ดารินตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายอิดโรยเนื่องจากเมื่อคืนเธอแทบไม่ได้นอนเพราะมีความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว อีกทั้งยังต้องเตรียมตัวสำหรับการพรีเซนต์งานในวันนี้ด้วย หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเธอก็ลงมาเรียกแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยซึ่งปกติแล้วภาคินัยจะเป็นคนมาส่งเอง แต่ด้วยเรื่องเมื่อคืนที่ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาทำให้เธอแยกมานอนอีกห้องพร้อมกับอารมณ์กรุ่นโกรธที่ก่อตัวขึ้นในใจทีละน้อย จึงเลือกที่จะไม่สนใจเขาบ้างครั้นมาถึงมหาวิทยาลัยร่างเล็กก็รีบเดินไปใต้ตึกคณะเพื่อไปยังโต๊ะตัวเดิมที่เธอกับเพื่อนสาวคนสนิทมักจะนัดเจอกัน ซึ่งเห็นว่าทอฝันมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในมือของเธอถือซาลาเปาลูกใหญ่พร้อมกับกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อยคนที่กำลังมีความสุขอยู่กับซาลาเปานุ่มๆเอ่ยทักทายคนตัวเล็กทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งลงตรงข้าม แล้วไม่ลืมที่จะเอ่ยชวนเพราะมีซาลาเปาอีกลูกที่ซื้อมาเผื่อหญิงสาว ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบอะไร ทอฝันจึงเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจกับสภาพของเพื่อนจนต้องถามออกมา“ทำไมหน้าตาแกเป็นแบบนั้นอะ”“เมื่อคืนนอนไม่หลับนะสิ” ดารินเอ่ยตอบเบาๆ แล้วยกแขนมาวางบนโต๊
ภาคินัยรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อยกับเรื่องที่น้องชายได้พูดไว้ก่อนหน้า ครั้นภรัณยูกลับไป ชายหนุ่มรีบเดินไปเคาะประตูห้องของดารินเบาๆ เพื่อต้องการคุยกับคนที่อยู่ข้างในร่างเล็กในชุดนอนลายน่ารักเดินมาเปิดประตูให้เขาด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลานั้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” ร่างสูงยืนมองเงาสะท้อนของเธอผ่านกระจกใสบานใหญ่แล้วเอ่ยถามอย่างรอฟังคำตอบ ทว่าคนตัวเล็กกลับไม่ปริปากออกมาราวกับไม่ได้ยินคำถามของเขา อีกทั้งยังหยิบหวีขึ้นมาสางผมตนเองเบาๆ“ผมถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าเหมือนจะไม่สบายตั้งแต่กลับมาแล้ว”เพราะเขาสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนตัวเล็กตั้งแต่เธอกลับมา“…”“ทำไมถึงไม่พูด!”เขาเดินเข้าไปจับไหล่แล้วหมุนตัวเธอให้มาเผชิญหน้าพร้อมตวาดออกมาอย่างลืมตัวตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอกำลังเล่นสงครามประสาทกับเขาอยู่ อีกทั้งยังมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาไม่เกรงกลัวแล้วเอ่ยถามกลับเสียงแผ่ว“เป็นไงล่ะคะ เวลาที่เราต้องการคำตอบอะไรบางอย่าง แล้วอีกฝ่ายไม่ยอมพูด มันรู้สึกยังไงล่ะ”“อย่ามายอกย้อน”“ถ้าคุณไม่ยอมอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้น เราก็ไม่ม
ภายในรถสปอร์ตคันหรูมีแต่ความเงียบเข้ามาปกคลุม จนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน หลังออกมาจากโรงพยาบาลต่างฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในความคิดของตัวเอง จะมีก็แต่ชายหนุ่มที่คอยหันไปมองคนข้างกายซึ่งเธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตลอดเส้นทาง กระทั่งมาถึงเพนต์เฮาส์ ดารินรีบก้าวฉับๆเข้าไปในห้องนอนของตัวเองพร้อมกับล็อกประตู ร่างสูงมองไปที่ประตูบานนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ถึงแม้จะตกใจในตอนแรก แต่กลับมีความดีใจอยู่ลึกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงมันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่เขาก็ไม่ลืมว่า ดารินยังเรียนไม่จบและตอนนี้เธอก็คงกำลังคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนชายหนุ่มเลือกที่จะยกเลิกงานทุกอย่างในวันนี้แล้วอยู่ดูแลเธอแทน คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้เธอ ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยได้ทำอาหารเองเพราะไม่ถนัดเท่าทำงานนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นรสชาติก็ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอนภาคินัยเลือกทำเมนูโปรดของเธออย่างเอาใจ นั่นก็คือปลาหมึกชุบแป้งทอด ทุกขั้นตอนล้วนเต็มไปด้วยความพิถีพิถันและตั้งใจ ซึ่งกว่าเมนูนี้จะเสร็จก็เล่นเอาแขนของเขาเต็มไปด้วยรอยแดงจากน้ำมันร้อนๆที่กระเด็นใส่จนรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
ภาคินัยได้ยินประโยคคำสั่งที่แฝงน้ำเสียงดุดันของบิดาก็ถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะ ด้วยความรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ว่าตนเองกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ “แกกับเธอก็เข้ากันได้ดีนี่ ยังต้องคิดมากอะไรอีก”ผู้เป็นพ่อที่มองอากัปกิริยาของลูกชายตลอดเวลาเอ่ยออกมาอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนก็ตาม แต่ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง“ไม่ว่ายังไง ลูกก็ต้องรับผิดชอบน้อง” คุณหญิงมัทนาที่มีใบหน้าเคร่งเครียดกว่าใครเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อย้ำเตือนเรื่องนี้กับลูกชาย"เรื่องนี้ผมทราบครับ"ภาคินัยพยักหน้าเข้าใจ“ตอนนี้ผมคิดว่า พี่ต้องทำให้เธอมั่นใจในตัวพี่ก่อน เพราะพี่เองก็ยังไม่ได้บอกหรืออธิบาย เรื่องพี่อันนาให้เธอได้รับรู้เลย และการที่พี่ทำแบบนั้นมันก็เหมือนการไม่แคร์เธอแม้แต่น้อย”ภรัณยูที่นั่งเงียบอยู่ในตอนแรกออกความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดบ้าง เพราะเขาค่อนข้างรู้เรื่องราวทุกอย่างของผู้เป็นพี่อยู่แล้วภาคินัยนั่งฟังความคิดเห็นของแต่ละคนในครอบครัวก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เขารู้ดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากความประมา
คนถูกถามเงียบงันไปชั่วขณะ เหมือนกำลังประมวลความคิดที่วกวนอยู่ในหัว หรืออีกนัยหนึ่งคือเธอกำลังสับสนกับอะไรบางอย่าง“ฉัน...”ดารินมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยในตอนแรก สักพักก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังรอฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ“ฉันขอเวลาคิดอีกหน่อยได้มั้ยคะ ตอนนี้ทุกอย่างมันดูรวบรัดไปหมด จนตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ”ตอนนี้ความรู้สึกของเธอกำลังสับสนอย่างที่ว่าจึงตัดสินใจบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเธออยากรอดูพฤติกรรมของเขาอีกสักพัก เพราะคำพูดใครๆก็พูดได้ แต่การกระทำมันย่อมเด่นชัดมากกว่า“เป็นเพราะเรื่องราวในอดีตของผมหรือเปล่า”“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันไม่ได้สนใจอดีตพวกนั้นเลยนะ ขอแค่คุณรับปากว่าจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นแบบเด็ดขาดก็พอ”“อืม ผมรับปาก และผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนอีกหน่อย แต่อย่านานนักละ”เขามองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจในความต้องการนั้น“แล้วเรื่องสัญญาฉบับนั้นก็ให้มันดำเนินต่อไป เผื่อระหว่างนี้คุณเกิดทำอะไรผิด ฉันจะได้เรียกค่าปลอบใจให้หมดตัวเลย และเรื่องก่อนหน้าที่ฉันพูดไว้ก็ไม่ได้ขู่นะคะ เพราะฉันทำจริง” เธอบอกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีน้ำเสียงล้
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม